ประหารธนู หินแก้วจ้างฆ่าเจริญแกนนำบ่อนอกหินกรูด
คำพิพากษาใจความว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อระหว่างประมาณต้นปี 2547 ถึงวันที่ 21 มิ.ย.2547 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยที่ 3,4,5 จำเลยได้บังอาจร่วมกันใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่1,2 ฆ่านายเจริญ วัดอักษร ขณะลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพ-บางสะพาน จำเลยที่ 1,2 ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงนายเจริญ รวม 9 นัด เป็นเหตุให้นายเจริญ ถึงแก่ความตาย
// //
สำหรับประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 1,2 เป็นคนร้ายฆ่านายเจริญจริงหรือไม่ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายมานั่งพักในศาลาเดียวกัน ห่างกันประมาณ 1 เมตร โดยบริเวณดังกล่าวมีไฟฟ้าจากถนนและไฟฟ้าจากร้านค้า จนกระทั่งเวลา 21.00น. มีรถปรับอากาศมาจอดส่งผู้โดยสาร มีคนลงจากรถเดินลงไปทางวัดบ่อนอก แล้วได้ยินเสียงปืน3-4นัด ชายที่ถูกยิงยกมือไหว้ขอชีวิต คนร้ายยังยิงซ้ำอีก 6 นัด พวกพยานวิ่งไปดูพบว่าคนที่ถูกยิงคือนายเจริญ พยานจึงไปให้การกับตำรวจ ทั้งนี้จากวัตถุพยานในที่เกิดเหตุสอดรับกับคำให้การของพยาน นอกจากนี้จำเลยยังเคยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและเป็นผู้พาเจ้าหน้าที่ไปยึดอาวุธปืนของกลาง ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์ก็พบว่าหัวกระสุน ปลอกกระสุนที่ใช้ยิงผู้ตายมาจากปืนที่ยึดได้ จำเลยที่1,2 จึงมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อย่างไรก็ตามจำเลยที่1,2 เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาคดี โทษจึงเป็นอาญาจึงเป็นอันระงับไป
คำพิพากษาระบุด้วยว่า สำหรับจำเลยที่3 ซึ่งถูกฟ้องว่าเป็นผู้ใช้จ้างวานจำเลยที่1,2 ให้ฆ่าผู้ตายนั้น โจทก์มีพยานเบิกความว่า ผู้ตายเป็นแกนนำอนุรักษ์ถิ่นบ่อนอก ต่อต้านการสร้างโรงานไฟฟ้าหินกรูดบ่อนอก เมื่อสอบสวนขยายผล จำเลยที่1,2 ให้การว่าจำเลยที่ 3 เข้าประชุมวางแผน และจัดหาอาวุธปืนมาให้ ส่วนสาเหตุของการฆ่า เพราะผู้ตายเป็นแกนนำเคลื่อนไหวต่อต้านโรงไฟฟ้า โดยมีจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ในการก่อสร้างร่วมกับจำเลยอื่นๆ นอกจากนี้จำเลยที่1,2 ยังให้การว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ให้ไปยิงผู้ตาย
ศาลเห็นว่า แม้คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่า แต่มีการสอบสวนจำเลยต่อหน้าพนักงานสอบสวน ทนายความ และพนักงานอัยการหลายคน ก็ไม่ปรากฏว่ามีการขู่เข็ญบังคับจำเลยเพื่อให้การ จึงเชื่อว่าจำเลยที่1,2 ให้การด้วยความสมัครใจ หากบันทึกคำให้การไม่เป็นความจริง ก็อาจขอถอนคำให้การได้ตลอดขั้นตอนการสอบสวน
และคำซัดทอดของจำเลยที่2ก็ไม่ใช้ซัดทอดให้ตัวเองพ้นผิด อีกทั้งมีพยานหลายปากให้การว่า จำเลยที่1,2,3 มีความใกล้ชิดอยู่พักร่วมกันก่อนเกิดเหตุ และมีเหตุจูงใจในการฆ่าผู้ตายคือต้องการฆ่าผู้คัดค้านการสร้างโรงงาน แม้จำเลยที่1,2 จะเสียชิวิตระหว่างการพิจารณาคดีก็ไม่ได้ทำให้คำให้การมีน้ำหนักลดน้อยลง ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่า พิพากษาลงโทษประหารชีวิต
ส่วนจำเลยที่4 แม้โจทก์จะมีบันทึกการติดต่อโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่1,กับจำเลยที่4 ก็ตาม แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า พูดคุยกันเรื่องอะไร จึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่4 ร่วมใช้จ้างวานฆ่าผู้ตาย พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 5 พยานโจทก์ยังฟังไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธปืน แต่ปืนอยู่ในความครอบครองของภรรยาจำเลยที่3 อีกทั้งจำเลยที่1 ไม่เคยให้การพาดพิงจำเลยที่ 5 แต่อย่างใด ขณะที่จำเลยที่ 2 แม้เคยให้การถึงจำเลยที่ 5 แต่ก็กลับคำให้การกลับไปมา จนน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 5 แต่ให้ขังจำเลยที่ 5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
อาถรรพณ์นรกซานติก้า ที่ดินนี้มีตำนาน...เลือด!!!
จากที่ดินทำเลทองย่านเอกมัย เพียงชั่วข้ามคืนของวันแรกที่ย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2552 กลับกลายเป็นสุสานของเหยื่อเพลิงนรก นำมาสู่การผูกโยงถึงความเชื่อของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับ สุสานซานติก้าผับ ด้วยความหวาดผวา และบอกเล่าถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงลางร้ายบอกเหตุที่อาจจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้