รุจ and the way I wanna be | Sanook Music

รุจ and the way I wanna be

รุจ and the way I wanna be
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
จากเวทีค้นฟ้า..คว้าดาว ส่งให้ศุภรุจ เตชะตานนท์ เป็นนักร้องหน้าใหม่ที่มาแรงสุดๆ ยิ่งได้เพลงอกหัก รักคุดอย่าง หมดเวลาแก้ตัว และ ฟ้าร้องไม่อายใคร ยิ่งเรียกคะแนนนิยมจากบรรดาแฟนเพลง โดยเฉพาะสาวๆ ให้พุ่งสูงขึ้น..สูงขึ้นทุกวัน เชื่อได้เลยว่าปีนี้ ชาร์ตเพลงไหนที่ว่าฮิตต้องมีเพลงของรุจ และรางวัลไหนที่ว่าดังต้องมีชื่อของรุจเข้าชิงอย่างแน่นอน






ว่ากันถ้าร้องเพลงรักได้อินจัด คนร้องมักจะมีประสบการณ์ตรง

........ผมว่าการร้องเพลงคือการถ่ายทอดความรู้สึกจากเพลงของเราสู่คนฟังนะ เอาง่ายๆ ถ้าเกิดว่าเราเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เพลงออกมาเป็นแบบนี้ เวลาเราร้องเราจะอินกับเพลงแบบนี้ แล้วผมว่ามีศิลปินอยู่ 2 แบบนะ แบบแรกคือ คนที่จินตนาการว่ามีหรือเคยมีความรู้สึกแบบนี้ แบบที่ 2 คือ เคยเป็นแบบนี้มาจริงๆ ชีวิตลำบากมาจริง ผิดหวังสมหวังจริง ถึงมาร้องได้



ซึ่งแบบแรกไม่ใช่ผม คือผมไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเคยเป็นแบบนี้หรือเคยเป็นแบบนั้นก่อน ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็น มันขัดกับความรู้สึกตัวเองน่ะ ผมมีปัญหาช่วงแรกในการร้องเพลงหมดเวลาแก้ตัว เป็นเพลงที่แต่งเตรียมไว้ให้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะร้องแบบไหน เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน เข้าห้องอัดนานมากกว่าจะร้องออกมาให้ได้ฟิล หลังๆ มาก็ค่อยๆ ศึกษา มันก็โอเคค่อยๆ ดีขึ้น (ไปหาประสบการณ์ อกหักน่ะหรือ) ไม่ใช่ครับ (ยิ้ม) ประสบการณ์อกหัก คงไม่ต้องหา



จริงหรือ ดูท่าทางรุจน่าจะไปหักอกสาวๆ มากกว่านา

.........อกหักมานับไม่ถ้วนเลยชีวิตนี้ มีตั้งแต่แอบชอบเขาแล้วไม่กล้าไปคุยกับเขาก็อกหักเองเงียบๆ มีแบบไปชอบคนที่มีเจ้าของแล้วก็มี แล้วก็มีแบบที่เป็นแฟนกันแต่เขามาบอกว่าเป็นพี่น้องกัน อกหักมาแล้วตั้งหลายแบบ






ครั้งไหนเสียใจที่สุด

......ในชีวิตมีอยู่ครั้งเดียวที่รู้สึกเสียใจมากๆ ประมาณ ม.4-ม.5 ชีวิตเสียศูนย์ไปประมาณ 2 เดือน คือผมไปจีบรุ่นน้องม.1 แล้วน้องเขายังเป็นเด็ก ไม่ได้คิดเลยเถิดจนถึงขั้นเป็นแฟนกันระยะยาว ผมก็ไปขอเขาเป็นแฟน ตอนแรกเขาก็อยากให้เป็นพี่น้อง แต่ก็ชอบเราบ้างเหมือนกัน เลยตกลงเป็นแฟนกันอยู่ประมาณปีครึ่ง ก็คิดว่าจะทำให้เขาชอบเราได้ แต่สุดท้ายเขาก็มาบอกว่า จริงๆ รู้สึกกับเราแบบพี่ชาย ก็เลยเฮิร์ตครับ..เฮิร์ต



เฮิร์ตระดับไหน?

......เอาง่ายๆ ว่าตอนที่กำลังโทรศัพท์คุยกัน ก่อนที่จะมาคุยถึงเรื่องเลิก ตอนนั้นผมอยากเข้าห้องน้ำมาก คือปวดปัสสาวะมาก พอคุยๆ เสร็จวางสาย ก็ไปเข้าห้องน้ำ แต่ฉี่ไม่ออก (หัวเราะ) เฮิร์ตขนาดนั้น แล้วปกติก่อนนอน เราจะโทร.คุยกันทุกวัน พอมาคิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้คุยแล้วนะ จากนี้ไปก็จะไม่ได้คุยแล้วนะ ผมเลยตื่นทุกชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง คือไม่ถึงกับร้องไห้ฟูมฟายนะ แต่จะรู้สึกว่าเฮ้ย ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน แล้วก็เครียด แต่ว่าที่รอดมาได้เพราะเปิดเทอมพอดี คือเลิกกันก่อนตอนเปิดเทอม 3 วัน พอเปิดเรียนมาก็ยังได้เจอเพื่อนบ้าง ได้ทำอะไรอย่างอื่นบ้าง แต่ก็เฮิร์ตอยู่อย่างนั้นประมาณ 2 เดือนได้นะ สุดท้ายก็คิดได้ ช่างมันเหอะ



พอมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกยังไง ขำๆ มั้ยว่า เออเราไปจีบเด็ก ม.1 ยังผูกคอซองอยู่เลย

.......โธ่ ตอนนั้นผมก็แค่ม.4 เอง แต่มองย้อนไปผมก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้รู้ว่า การที่เราอกหัก ทำให้รู้จักอะไรมากขึ้น ทำให้รู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีแต่ความสมหวัง ทำให้รู้สึกว่าเราจะเข้มแข็งขึ้นในอนาคต แต่ก็เคยมีคิดว่า เฮ้ยตอนนั้นทำไมเราถึงได้กล้าทำอะไรแบบนี้ แต่ที่สุดก็รู้สึกยิ้มได้มากกว่า ผมรู้สึกว่าการที่ชอบรุ่นน้อง มีความรักแบบเด็กๆ เป็นสิ่งที่ดีนะ ทำให้โลกสดใส แบบป๊อปปี้เลิฟมันน่ารัก พอมานั่งคิดถึง ก็ไม่ได้คิดถึงแต่เรื่องเศร้าไง แต่จะคิดถึงว่าเราก็เคยมีความรักแบบนี้เหมือนกัน เหมือนในเพลง 14 อีกครั้ง ของพี่เสก โลโซ แบบนั้นเลย น่ารัก ประทับใจ คิดถึงแต่ไม่ได้เศร้านะครับ อย่างคิดถึงตอนเอาขนมไปให้ ตอนไปนั่งรอ ตอนโทร.ไปหาน้องครั้งแรกแล้วโดนพ่อเขาด่ากลับมา (หัวเราะ) อะไรแบบนี้ มันดูน่ารักดี เป็นสิ่งที่น่าจดจำ



คาดว่าตอนนี้คงไม่มีเวลาไปสร้างความเป็น 14 อีกครั้งกับใคร?

.....ไม่ค่อยมีโอกาสหรอกครับ ผมเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวด้วย แล้วที่สำคัญตั้งแต่ออกจากบ้านเดอะ สตาร์ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะ ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยสุงสิงกับคนนอกเท่าไหร่ คือจะมีกลุ่มเพื่อนๆ หลายกลุ่ม อย่างกลุ่มเล่นกีฬากลุ่มนึง กลุ่มเล่นเกมกลุ่มนึง กลุ่มเรียนเก่งกลุ่มนึง ก็จะอยู่แค่กลุ่มพวกนี้ ไม่ค่อยสังคมแบบเฮฮาปาร์ตี้กับคนอื่น



แต่ตอนนี้กลายเป็นคนของประชาชนไปแล้วนี่นา

.......ใช่ครับ พอเข้ามาอยู่ตรงนี้ สิ่งแรกที่เราต้องเปลี่ยน คือมุมมองในการเข้าสังคม เพราะว่าต้องพบปะกับผู้คน จากที่ปกติเราไม่ได้ไปเจอใครก็อยู่บ้าน คุยกับเพื่อนทาง msn หรือว่าในเกมออนไลน์ แต่เดี๋ยวนี้แค่เดินมาที่ตึกก็เจอตั้งแต่ทีมงาน แฟนคลับไปจนถึงคนที่เราไม่รู้จัก ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ จากที่เคยอยู่คนเดียวมาเป็นอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่น ข้อสองคือเรื่องเวลาส่วนตัว อันนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะพอทำงานตรงนี้ เรามีเวลาอยู่คนเดียวน้อย ต้องพร้อมสร้างมนุษยสัมพันธ์กับทุกคน



......เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าอยู่บ้านแล้วจะส่วนตัวนะ บางทีก็จะมีคนโน้นคนนี้โทร.มา บางทีเข้าไปดูเว็บแฟนคลับ ไปนั่งแก้ไขปัญหาที่คนโน้นคนนี้เค้าทะเลาะกัน ก็มีเยอะเหมือนกัน ทำให้เวลาที่จะใช้ไปทำอย่างอื่นลดลงไป อีกอย่างคือเราออกไปไหนมาไหนลำบาก เวลาจะไปซื้อของ ไปธุระ หรือไปดูหนังกับเพื่อนก็ลำบาก คือเจอคนที่รู้จักเราไปหมด นี่แค่ชีวิตโสดนะครับ ถ้ามีแฟนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย คงหนักกว่านี้แน่นอน จะไปกินข้าวกันคงต้องหาที่หลบมุม จะไปดูหนังก็ไม่ได้ ผมคิดถึงตรงนั้น เลยยังไม่มีใครดีกว่า ดังนั้นทุกวันนี้ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน อยากจะพักผ่อนหรือทำอะไรก็ทำไป



มีการปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้รุจอึดอัดมั้ยคะ

.....มีครับ เยอะแยะ แต่สุดท้ายแล้วเราก็คิดว่า เออไม่เป็นไร งานตรงนี้คือสิ่งที่เรารักและเลือกแล้วที่จะทำ เพราะฉะนั้นต้องยอมรับให้ได้ (แล้วทำใจให้ยอมรับยังไง) ไม่ใส่ใจครับ เวลามีปัญหา ผมจะมีทางแก้อยู่ 3 ข้อ ข้อแรกคือแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน สมมติแฟนคลับทะเลาะกัน ก็แก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน ข้อ 2 ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็โทร.ปรึกษารุ่นพี่ ถามเพื่อน หรือถามพี่ๆ ทีมงาน ถ้าไม่ได้จริงๆ คือ ปลงครับ มี 3 ข้อ ถ้าถึงขั้นปลงนี่คือใครอยากทำอะไรก็ทำไปเลย อย่างเช่นกำลังเดินห้างอยู่ เดินซื้อของอยู่ดีๆ มีคนมาขอถ่ายรูป ก็ให้เขาถ่ายไป พยายามอย่าไปซีเรียสกับมัน ผมเองมาอยู่ในวงการไม่ได้คิดจะเป็นแบบพี่เบิร์ด-ธงไชย ไม่ได้อยากเป็นดาราศิลปินค้างฟ้า แต่คิดว่านี่คืออาชีพนึงซึ่งเราแฮปปี้ที่จะทำ และพอทำวันนึงเราก็พอ



แปลว่ารุจกำหนดเวลาการเป็นนักร้องของตัวเองไว้แล้ว

........ถูกครับ ผมมีความใฝ่ฝันอย่างอื่นอยู่แล้วว่า อยากทำธุรกิจของตัวเอง ถ้าหากว่าวันนั้นเราพร้อมด้วยวุฒิภาวะ พร้อมด้วยเงิน พร้อมด้วยคนรอบข้าง พร้อมด้วยเวลา และพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ถ้าพร้อมครบเมื่อไหร่ผมก็ไป (กำหนดเวลาไว้มั้ย) สัก 10 ปีครับ ผมอายุไม่น้อยแล้วนะ อายุ 25 แล้ว (อีก 10 ปี ก็แค่ 35 เองนะ ) มันแล้วแต่คนน่ะครับ แต่ผมรู้สึกว่าอายุ 30 ขึ้นไป ผมควรคิดถึงเรื่องการทำธุรกิจแล้ว หนึ่งคือตั้งหลักเอาไว้ให้ครอบครัว สองคือชีวิตแต่งงาน แล้วถ้าอายุ 35 ผมยังทำงานบันเทิงต่อไป ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันมั่นคงเลยแล้วอยู่ดีๆ จะมาแต่งงาน แล้วจะเอาความมั่นคงที่ไหนไปให้เขา มีเงินอย่างเดียวไม่ได้แปลว่ามั่นคง



รุจมองว่าการเป็นนักร้องไม่ใช่อาชีพที่มั่นคง?

......ถูกครับ ผมรู้จักตัวเองว่า เป็นคนแบบนี้ มีนิสัยแบบนี้ และเป็นได้มากสุดก็แค่ศิลปินคนหนึ่งที่เข้ามาแล้ววันหนึ่งก็ต้องหายไป ไม่ได้อยากอยู่ค้างฟ้า ผมไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น แค่วันนี้ได้ทำในสิ่งที่ชอบและภูมิใจที่ได้ทำ พอถึงวันหนึ่งที่พร้อมเราก็ออกไปทำอย่างอื่นที่เคยตั้งใจไว้ ออกไปทำธุรกิจ ไปดูแลครอบครัว ผมว่าแค่นั้นก็มีความสุขอยู่ดี ไม่ต้องมานั่งแคร์คนอื่นมากมาย แค่ตัวเองและแคร์ครอบครัวก็พอแล้ว



พอตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นนักธุรกิจแล้ว ก็ต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดด้วยรึเปล่า

......ไม่ ! เป้าหมายผมคือ ทำธุรกิจสักอย่าง ที่ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นพันๆ ล้าน ขอแค่เราทำแล้วเรามีความสุข ไม่ลำบากกับการใช้ชีวิต และอยู่กับครอบครัวแล้วมีความสุขพอแล้ว



การเป็นที่หนึ่ง เป็นที่สุด ไม่สำคัญสำหรับรุจ

.......แต่ก่อนอาจจะเคยคิด เคยเป็นคนที่แพ้ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าถ้าจะเป็นที่หนึ่ง แปลว่าต้องแข่งขันตลอดเวลา เพราะต่อให้เราอยู่ ณ จุดหนึ่ง ก็จะมีคนมาแทน เพราะฉะนั้นอยู่อย่างธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องแข่งกับใคร ทำธุรกิจไม่ต้องรวยมาก แค่พอมีพอใช้ ให้ครอบครัวเรามีความสุข ถ้าวันไหนอยากจะไม่ทำก็หยุด ไปเที่ยว กลับมาค่อยทำต่อ ผมว่ามีความสุขกว่าต้องไปตั้งหน้าตั้งตาคิดแผนสู้กับชาวบ้านชาวเมืองเขา ยิ่งถ้าวันหนึ่งมีภรรยามีลูก แล้วมานั่งคิดสู้ตลอดเวลา คงเหนื่อย ผมอยากทำงานที่มีความสุข แล้วไม่ต้องแข่งขันกับใคร



รู้จัก ตัวตน และเบื้องลึกของ หนุ่มรุจ เดอะสตาร์ กันแล้ว หวังว่า สาวๆ คงถูกใจกันนะค่ะ...... ^__^




ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook