"TVXQ! Circle in Bangkok" เมื่อ "ดงบังชินกิ" แผดเผาความคิดถึงด้วยโชว์อันร้อนแรง
"จำได้ไหม? ใครคือศิลปินที่ทำให้คุณเข้ามาติดตามวงการเคป็อป"
เชื่อว่าหลายๆ คน โดยเฉพาะแฟนๆ ที่ติดตามวงการเคป็อปมานานกว่า 10 ปี จะต้องนึกถึงวงบอยแบนด์อย่าง ดงบังชินกิ หรือ TVXQ! เพราะถึงแม้จะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้สมาชิกต้องแยกทางจากกันจนกลายเป็นวงดูโอ้ที่นำทีมโดย U-Know (ชอง ยุนโฮ) และ Max (ชิม ชางมิน) แต่พวกเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วง 15 ปี บนเส้นทางดนตรี โดยความสามารถและเสน่ห์ของพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาเป็นศิลปินที่มียอดขายอัลบั้มสูงกว่า 10 ล้านชุด โดย 8 อัลบั้มที่วางขายในญี่ปุ่นของพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่มียอดขายสูงกว่า 200,000 ชุดทุกอัลบั้ม
ในแง่ของการจัดคอนเสิร์ตนั้น TVXQ! ก็เป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมาก เพราะการแสดงที่ทรงพลังของพวกเขา ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการทัวร์คอนเสิร์ตอย่างมาก โดยล่าสุดทัวร์คอนเสิร์ต Begin Again ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการกลับมาแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้งในรอบ 3 ปี หลังเข้ารับใช้ชาติในกองทัพเกาหลีใต้ ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยจำนวนผู้ชมที่มากกว่า 1,000,000 คน จากการแสดงทั้งหมด 20 รอบ โดยการแสดงใน Nissan Stadium ที่เมืองโยโกฮาม่าของพวกเขาในวันที่ 8-10 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ชมมากกว่า 200,000 คน โดยสิ่งนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าทำไม TVXQ! ถึงควรค่ากับการถูกเรียกว่าเป็น เทพเจ้าแห่งโลกตะวันออก
ส่วนตัวแล้ว เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะ TVXQ! เพราะเราเองได้ก้าวเข้ามาสู่วงการเคป็อปหลังได้ฟังผลงานอัลบั้มชุด Triangle ของวง ที่มากับเพลงประสานเสียงบัลลาดอย่าง “Hug”, “My Little Princess” รวมไปถึงเพลงอย่าง “The Way U Are” และ “Triangle” ที่ทางวงได้แสดงความสามารถในการร้องที่มีพลังและการเต้น จากการที่เราเองได้เห็นความสามารถของพวกเขา ก็ทำให้เรานำเรื่องของวงไปเล่าตามเว็บบอร์ด และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้พลิกจากนักศึกษาภาควิชาธุรกิจ กลายมาเป็นนักเขียนคอนเทนต์เกี่ยวกับเพลงในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อเราได้โอกาสมาคอนเสิร์ต TVXQ! CONCERT - CIRCLE - #welcome in Bangkok เราก็รีบคว้ามันเอาไว้โดยทันที ซึ่งผู้จัดคอนเสิร์ตนี้ก็คือ 4Nologue ทีมงานที่ดูแลการจัดคอนเสิร์ตของวง TVXQ! ในไทยตั้งแต่ทัวร์แรกๆ ของพวกเขา
สิ่งแรกที่ทำให้เราแปลกใจเมื่อมาถึง Impact Arena ก็คือถึงแม้จะเป็นวันศุกร์ช่วงเย็นที่เป็นวันทำงาน แต่แฟนๆ ก็ได้พากันมาชมคอนเสิร์ตกันเป็นจำนวนมาก และมีชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาร่วมชมคอนเสิร์ตเช่นกัน โดยหลายๆ คนได้เตรียมแท่งไฟสีแดง ใส่เสื้อสีแดง เพื่อต้อนรับ 2 หนุ่มที่ห่างหายจากเมืองไทยไป 3 ปี และก็มีหลายคนที่บังเอิญได้เจอเพื่อนเก่าที่เคยตามศิลปินเกาหลีด้วยกัน จนต้องทักทายด้วยความดีใจ ซึ่งทำให้เราอมยิ้มตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเข้าฮอลล์คอนเสิร์ต
เมื่ออินโทรคอนเสิร์ตที่เป็นธีมย้อนยุคในยุค 1930s จบลง คอนเสิร์ตก็ได้เริ่มขึ้นด้วยเพลง "Bounce" จากอัลบั้มชุดล่าสุด New Chapter #1: The Chance of Love และเพลง "Something" จากอัลบั้มชุดที่ 7 The 7th Album Repackage "Spellbound" ก่อนตามด้วยเพลง "Top of the World" ซึ่งการแสดงดังกล่าว พวกเขาได้มาพร้อมการแสดงที่เปลี่ยนฮอลล์คอนเสิร์ตเป็นงานปาร์ตี้ในสไตล์ภาพยนตร์ Great Gatsby ที่อยู่ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1930 ซึ่งการแสดงพาร์ทนี้ทำให้ผมทึ่งมาก เพราะมันแสดงให้เห็นถึงการเติบโตจากวัยรุ่นที่ร้องเพลงป็อปร่วมสมัย สู่การเป็นชายหนุ่มที่นำการร้องและการเต้นแบบแจ๊สร่วมสมัยมาผสมในการแสดงของตัวเอง แต่ก็ยังคงพื้นฐานการเต้นที่แข็งแรงเอาไว้ จนทำให้บางช่วงเรารู้สึกเหมือนชมการแสดงศิลปะการเต้นชั้นสูงมากกว่าการชมคอนเสิร์ตไอดอล
หลังจากที่พวกเขาได้ทักทายแฟนๆ พวกเขาก็ได้นำเพลง "The Way U Are" จากอัลบั้มแรกมาร้อง ก่อนจะต่อด้วยเพลงใหม่จากอัลบั้ม 8 อย่าง "Love Line", "Sun & Rain", "Puzzle" ที่เป็นเพลงเดี่ยวของ U-Know และ "The Chance of Love" ซึ่งการแสดงในพาร์ทนี้พวกเขาค่อยๆ ลดความสนุกสนานในเพลงลงเพื่อเปลี่ยนเข้าสู่โหมดเพลงช้า โดยช่วงกลางของพาร์ทนี้ ยุนโฮ กับ ชางมิน ก็พูดคุยกับแฟนๆ และเล่าว่า เหตุผลที่ใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่า Circle นั้นเพื่อสื่อถึงการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดเหมือนวงกลมของพวกเขา และคำว่า #welcome นั้นเป็นความตั้งใจของพวกเขาที่อยากให้คอนเสิร์ตนี้เป็นเหมือนคฤหาสน์ที่ให้แฟนๆ มาเยี่ยม ก่อนที่จะบอกรักแฟนๆ และแซวแฟนๆ เรื่องอายุที่มากขึ้นจนเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม ก่อนที่จะปิดท้ายช่วงนี้ด้วยเพลง "Lazy Bones" และ "I Believe" ซิงเกิลสุดฮิตที่เรียกเสียงกรี๊ดอย่างท่วมท้น
ช่วงกลางของคอนเสิร์ต โทนคอนเสิร์ตก็ได้เปลี่ยนเข้าสู่ความลึกลับด้วย VTR ที่แสดงให้เห็นสองหนุ่มกลายร่างเป็นแวมไพร์ ก่อนที่เพลง "Without You" จะดังขึ้นและตามด้วยการแสดงสุดฮอตของ Max ในเพลง "Closer" และในพาร์ทนี้ก็ตามด้วยเพลง "Vertigo" และซิงเกิลฮิต "Mirotic" ที่มาจากอัลบั้มชุดที่ 4 จาก 2 หนุ่ม โดยธีมของการแสดงช่วงนี้เหมือนพาแฟนๆ เข้าไปอยู่ในห้องใต้ดินสุดลึกลับและเย้ายวนของคฤหาสน์ที่สองหนุ่มเป็นเจ้าของ
และเมื่อการแสดงจบลงอีกครั้ง ก็ได้มี VTR ที่แฟนๆ ได้เห็น U-Know และ Max ในอิริยาบถสบายๆ ก่อนออกจากบ้านและโชว์ลิปซิงค์เพลงดังจากอัลบั้มแรก ก่อนที่เพลง "Wake Me Up" จะเริ่มขึ้นและแฟนๆ ได้เห็นพวกเขาในชุดที่สบายๆ ก่อนที่จะเรียกเสียงกรี๊ดสนั่นฮอลล์ด้วยการร้องเพลง "Hug" ผลงานเพลงแรกที่ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ และตามด้วยเพลง "Balloon" อีกหนึ่งเพลงฮิตที่ชาวไทยชื่นชอบ ก่อนทั้งคู่จะกระโดดขึ้นรถเลื่อนเพื่อโบกมือให้แฟนๆ ตอนร้องเพลง "Dream" เพื่อแสดงให้แฟนๆ ได้เห็นว่าพวกเขายังมีความสดใสแบบไอดอลในวันวานอยู่
ด้วยความที่หลายคนรู้จัก TVXQ! จากเพลงที่มีกลิ่นอายความเป็นเอเชียและวิชวลร็อคแบบญี่ปุ่น ทำให้แฟนๆ เองได้ชมพวกเขากับเพลงอย่าง "Maximum", "Keep Your Head Down", และ "Rising Sun" ที่ทำให้เราต้องเซอร์ไพรส์กับการแสดงของพวกเขา เพราะนอกจากจะเต้นแบบจัดเต็มแล้ว พวกเขายังโชว์พลังเสียงอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ Max ที่แผดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างต่อเนื่อง
การแสดงสุดท้ายของคอนเสิร์ตในช่วง Encore นั้น ทั้งสองหนุ่มได้นำเพลง "Hi ya ya" จากอัลบั้มพิเศษ Summer 2005 มาร้อง ในบรรยากาศที่สดใส ก่อนจะตามด้วยเพลง "Somebody to Love" และบอกรักแฟนเพลงด้วยเพลง "You're My Melody" พร้อมกระดาษที่โปรยลงมาจากเพดาน ที่แฟนๆ เองก็ตอบกลับด้วยโปรเจ็กต์ป้ายภาษาเกาหลีที่เขียนว่า “처음 만났을 때처럼 여전히 사랑해요 (ฉันยังรักคุณเหมือนวันแรกที่เราได้เจอกัน)” ซึ่งหลังการแสดงจบลง ทั้ง U-Know และ Max เองก็เดินไปที่ปลายเวทีทั้งสามด้าน และ โค้งขอบคุณผู้ชมชาวไทยและเรียกทีมเเดนเซอร์ขึ้นมารับเสียงปรบมือและถ่ายรูปร่วมกัน
สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็คือการจัดธีมคอนเสิร์ตให้เหมือนแฟนๆ ได้ชมคฤหาสน์ ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเพลงสนุกสนานจากอัลบั้มใหม่ ที่เหมือนอยู่ในงานปาร์ตี้แนวยุค Great Gatsby ในห้องโถง พาร์ทเพลงแนวเซ็กซี่ที่สร้างบรรยากาศเหมือนอยู่ในห้องใต้ดินอันลึกลับ หรือพาร์ทเพลงสนุกสนานที่สดใสราวกับพาแฟนๆ มาสนุกสนานในสวนของคฤหาสน์ ซึ่งเพลงที่เลือกมา รวมถึงการแต่งตัว และ องค์ประกอบอย่างเอฟเฟ็กต์ และ VTR ก็เหมาะสมกับบรรยากาศของพาร์ทนั้นๆ แต่ขณะเดียวกันเราก็แอบรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่หลายเพลงที่เราชอบของวงอย่าง "Triangle", "O Jeong Ban Hap" และ "Humanoid" ไม่ได้ถูกนำมาโชว์แบบเต็มๆ ในงานนี้ เพราะส่วนตัวแล้วมองว่า 3 เพลงนี้ก็เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ และน่าจะเปิดโอกาสให้สองหนุ่มได้ปล่อยของแบบเต็มที่
นอกจากการแสดงที่เต็มที่ทั้งการร้องและเต้นที่แสดงถึงสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง และ พัฒนาการทางการแสดงของ U-Know และ Max แล้ว คนอีกกลุ่มที่สมควรได้รับคำชมก็คือแดนเซอร์ 14 ชีวิต ที่สามารถส่งให้ทั้งสองหนุ่มดูเด่น รวมถึงรับส่งท่าเต้นได้อย่างไหลลื่น จนเราสงสัยว่าเขาใช้เวลาซ้อมนานไหมกว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ ส่วนทีมงานแสงสีเสียงที่ทำ VTR เองก็ทำองค์ประกอบของงานออกมาได้ดี ในขณะที่ทีมงานของผู้จัดชาวไทยอย่าง 4Nologue ก็ดูแลผู้ชมได้ดีทั้งการเปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถเข้าฮอลล์ได้เร็วและการตรวจความปลอดภัย
การกลับมาครั้งนี้พร้อมการแสดงที่ร้อนแรงและความน่ารักในฐานะศิลปินไอดอลทำให้เราได้รู้ว่า ทำไมตัวเราและแคสสิโอเปียทั่วโลกรวมถึงในไทยถึงรัก TVXQ! เหมือนวันแรกที่เจอกัน ซึ่งเราก็หวังว่าในอนาคต ทางวงจะเดินทางมาโชว์เพลงใหม่ที่มาพร้อมการแสดงที่ตื่นตาและพาแคสสิโอเปียย้อนเวลาสู่วันวานไปกับเพลงฮิตที่ทำให้แฟนๆ หลงรักพวกเขาอีกครั้ง
ขอบคุณภาพจาก 4Nologue
Story : Sidhipong W.
>> TVXQ! คัมแบ็คพร้อมซิงเกิลเดี่ยว "DROP" และ "In A Different Life"
>> TVXQ! ครองวงการ K-POP อีกครั้ง กับอัลบั้มใหม่คว้าที่ 1 ชาร์ต iTunes 13 ประเทศ
อัลบั้มภาพ 18 ภาพ