[รีวิว] สมการรอคอย! Phoenix โชว์สนุกทุกเม็ด ฟินตั้งแต่แถวแรกยันหลังฮอลล์
ต่อให้ฝนจะตก แดดจะออก รถจะติด หรือบัตรจะขายหมดเกลี้ยงจนแทบจะหาซื้อกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับแฟนเพลงชาวร็อก/ซินธ์ป็อบ/อัลเทอร์เนทีฟตัวพ่อที่อยู่ในวงการมากว่า 2 ทศวรรษอย่าง Phoenix ได้เลย เพราะทุกคนยอมฝ่าฟันทุกอุปสรรค ดั้นด้นมาถึงที่ Moonstar Studio กันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรอชม SINGHA LIGHT Live Series Vol 2.4 – Phoenix เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา แถมขนเอาเสื้อยืด และ poster ติดไม้ติดมือกันไปคนละชิ้นสองชิ้นกันถ้วนหน้า
หลังจากเราออกมาจากห้องสัมภาษณ์กับ 4 สมาชิกสุดเก๋า (ที่ตอนแรกก็แอบเกร็งด้วยว่าเป็นศิลปินรุ่นใหญ่ แต่พอออกมาจากห้องแล้วรู้สึกตัวลอยด้วยความฟินเวอร์ เพราะทุกคนน่ารักเป็นกันเอง และมีอารมณ์ขันมาก ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์สนุกๆ ได้เร็วๆ นี้) เราก็เข้าไปซื้อเสื้อที่เป็น official merchandise ของงานนี้ทันที และเข้าไปจับจองพื้นที่แถวแรก เพราะตั้งใจจะเก็บภาพความทรงจำ และประสบการณ์ดีๆ กับวงดนตรีระดับตำนาน (ที่ทำเพลงได้ถูกจริตเรามาก) วงนี้อย่างใกล้ชิด
Polycat เป็นศิลปินเปิดให้กับคอนเสิร์ตนี้ เมื่อซาวนด์ของ Phoenix ออกแนวซินธ์ป็อบที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มาหลายอัลบั้มแล้ว การเลือก Polycat มาเป็นวงเปิดก็ดูจะเข้ากัน พี่นะนำทีมร้องเพลงทั้งเก่า ใหม่ และเพลงจากอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นให้พวกเราได้ฟัน ครบ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็โบกมืกลา แล้วเตรียมลงมาฟังเพลง Phoenix ที่พวกเขาชอบด้วยกันกับแฟนเพลงด้านล่าง
Phoenix ขึ้นเวทีเวลา 22.06 น. ด้วยลุคเสื้อเชิ้ต และเสื้อยืดทับด้วยเชิ้ตบ้าง แจ๊กเก็ตบ้าง ลุคเนี้ยบสไตล์วงดนตรียุคเก่า พร้อมอุปกรณ์เครื่องดนตรีอย่างกีต้าร์ เบส และไมโครโฟนที่มาพร้อมสายไฟ ไม่ได้ใช้ air guitar หรือไมค์ลอยเหมือนศิลปินยุคใหม่ๆ เริ่มต้นเรียกเสียงกริ๊ดจากแฟนเพลงด้วยเพลงจากอัลบั้มใหม่ Ti Amo อย่าง “J-Boy” เป็นการอุ่นเครื่องเบาๆ แต่หลังจากนี้ต่างหากที่ของจริง เพราะวงเริ่มสาดเพลงเก่าๆ มันๆ แสนคุ้นหูอย่าง “Lasso” และ “Lizstomania” ที่แฟนเพลงร้องตามได้แทบทุกคำ ทั้งร้องทั้งโยกตามกันอย่างไม่คิดชีวิต เพราะมันนานมากจริงๆ จนไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงของเจ้าของเพลงที่พวกเรานั่งฟังกันมาตลอดหลายปี
ยิ่งได้ “Entertainment” ต่อเข้าไปอีก เราไม่ได้ชอบเพลงนี้เป็นพิเศษ แต่บอกได้คำเดียวว่าเป็นเพลงที่สร้างมาเพื่อการแสดงสดโดยเฉพาะ เพราะปลุกอะดรีนาลีนให้พุ่งพล่านจนตอนนั้นแทบไม่สนใจคนรอบข้าง มือถือก็ไม่คิดจะหยิบขึ้นมาถ่ายอะไรทั้งนั้น ขอดื่มด่ำกับดนตรีสุดกระแทกกระทั้น (ผิดกับบุคลิกของสมาชิกในวงที่ออกจะนุ่มนวล ชิลๆ และขี้อายเล็กๆ) สาดกีต้าร์กันไม่ยั้ง รัวกลองดังสนั่นจนเราต้องหันไปมองว่าพี่เขาโอเคอยู่หรือเปล่า (ฮา)
“Trying To Be Cool” และ “Drakkar Noir” เป็นช่วงหนึ่งที่เราต้องยอมใจตัวเองหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้บ้าง เพราะฉากหลังเป็นโลโก้วง Phoenix พาดผ่านสายรุ้งที่เป็นโลโก้ของการโปรโมตเพลงในช่วงนั้น ฉากสีสดใส แสงไฟก็หลากสี ทำให้เป็นอีกเพลงที่นึกย้อนไปถึงช่วงที่อัลบั้ม Bankrupt! ออกมาใหม่ๆ ดนตรีเต็มไปด้วยสีสันสดใส แต่ก็ยังมีความเท่ที่ฟังแล้วติดหูอยู่หลายวัน
Thomas Mars ไม่ลืมที่จะทักทายแฟนเพลง และขอบคุณเป็นภาษาไทยที่มาเจอพวกเขาในคืนนี้ และขอบคุณสำหรับบัตร sold out ในครั้งนี้ด้วย ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกัน ถึงจะเป็นวงอินดี้ร็อกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ความถ่อมเนื้อถ่อมตัว ติดดิน และขี้อายเล็กๆ ยังคงเห็นได้ชัดจนเราเกิดความเอ็นดูขึ้นมาอีกหลายเท่า
ตลอดการแสดงนอกจากอารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสของสมาชิกทุกคนในวงที่ทำให้แฟนเพลงปลื้มไปตามๆ กันแล้ว ภาพบนจอด้านหลังที่เข้ากันกับอารมณ์ของเพลงในแต่ละเพลงแล้ว ที่อดชมไม่ได้เลยคือแสงไฟ และระบบเสียงของคอนเสิร์ตครั้งนี้ มีการวางแผนมาอย่างดี ทุกอย่างเป็นฝีมือของทีมงานของ Phoenix ที่ขนอุปกรณ์มาเอง เซ็ตกันเองล้วนๆ ช่วงที่อยากโชว์เสียงร้องก็ฉายสปอต์ไลต์ไปที่นักร้องนำ ช่วงอยากโชว์กีต้าร์ อยากโชว์เบส ก็ฉายไฟไปที่คนๆ นั้นโดยเฉพาะ ส่วนคนอื่นๆ ก็จะหลบฉากให้เป็นช่วงๆ เป็นโชว์ที่ทำได้อย่างมืออาชีพ และวางแผนกันมาเป็นอย่างดีในทุกรายละเอียด
Phoenix ขนเพลงอัลบั้มเก่าออกมาเรียบเรียงใหม่เล็กน้อย เพื่อปรับให้เป็นเข้ากับเพลงในอัลบั้มใหม่ Ti Amo ให้แฟนเพลงฟังต่อได้เพลินๆ โดยที่อารมณ์ไม่สะดุด ทั้ง “Lovelife”, “Role Model”, “Girlfriend” และ “Sunskrupt!” เพลงบรรเลงที่สมาชิกแต่ละคนปล่อยพลังทางดนตรีออกมาอย่างน่าขนลุก สะกดแฟนเพลงให้ตกอยู่ในภวังค์ ทั้งกีต้าร์ เบส เสียงอิเล็กทรอนิกส์ และแสงสีบนเวทีดึงจิตให้ล่องลอยไปกับเสียงดนตรีอย่างยาวนานเกือบ 8 นาที Thomas Mars นักร้องนำนอนดูเพื่อนๆ ในวงประโคมเครื่องดนตรีใส่กันบนเวทีอย่างสบายใจ จนสุดท้ายลุกขึ้นจบเพลงอย่างนุ่มนวล พร้อมเสียงกริ๊ดจากแฟนเพลงที่พร้อมใจกันปรบมือให้อย่างยาวนาน
เนิบๆ สบายๆ กันไปแล้ว ก็มาโยกกันต่อด้วยคอมโบเพลงฮิตในอดีต “Long Distance Call” แฟนเพลงพร้อมใจตะโกนพร้อมกันในท่อนร้องซ้ำๆ ว่า ‘It’s never been like that’ และ “If I Ever Feel Better” ที่ Thomas Mars กล่าวว่าเป็นเพลงเก่าพอสมควร หากใครร้องตามได้ให้ช่วยร้องกันด้วย และแน่นอนแฟนเพลงชาวไทยไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง เพราะร้องตามกันได้อย่างคล่องปาก แถมยังต่อด้วย “Funky Squaredance” ผลงานในอัลบั้มแรกอัลบั้มเดียวกันที่ผสมผสานดนตรีร็อกเข้ากันกับฟังค์/อิเล็กทรอนิกส์ในแบบที่ฟังแล้วนึกถึง Daft Punk ได้ไม่ยาก (ก็ไม่น่าแปลกหรอก Laurent Brancowitz มือกีต้าร์อีกคนเคยอยู่วงเดียวกับสมาชิก Daft Punk มาก่อนนี่นา)
ต่อด้วย “Ti Amo” เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่แฟนเพลงหลายคนโยกตามได้ไม่ยากแม้ว่าจะเป็นเพลงใหม่ เพราะยังมีกลิ่นอายของความเป็น Phoenix อยู่เต็มไปเปี่ยม และสามารถเรียบเรียงดนตรีได้อย่าลื่นไหลจนส่งต่อให้กับเพลงเก่าๆ สนุกๆ จังหวะกลางๆ อย่าง “Armistice” และ “Rome” ได้อย่างไม่รู้สึกขัดอารมณ์แต่อย่างใด และเป็นอีกช่วงที่แฟนเพลงตะโกนร้องคอรัสตามอย่างสนุกปาก
โบกมือลากันไม่นาน Phoenix ก็กลับออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มีแค่ Thomas Mars นักร้องนำ และ Christian Mazzalai มือกีต้าร์ ที่ออกมาโชว์อะคูสติกเบาๆ เคล้าคลอไปกับเสียงใสๆ อันมีเสน่ห์ของ Thomas ที่ร้องออกมาได้ดีอย่างกับกินซีดีเข้าไป เขาเดินลงจากเวทีข้ามบันไดมานั่งท่ามกลางแฟนเพลงด้านหน้าที่รุมทึ้งกันอยู่สักพัก เจอพี่ Thomas ยิ้มบอกขอให้นุ่มนวลกับเขานิดนึง เขาอยากร้องเพลงกับทุกคนใกล้ๆ เราเลยได้ฟังพี่เขากล่อมด้วย “Goodbye Soleil” เวอร์ชั่นแบบโครตสดกีต้าร์ตัวเดียว แฟนเพลงทั้งฮอลล์เคลิบเคลิ้มไปกับเพลงน่ารักๆ จนแทบไม่อยากให้เพลงนี้จบ
Thomas กลับขึ้นไปบนเวทีพร้อมสมาชิกอีก 2 คนที่ตามออกมาเพื่อต่อกับเพลง “Fior Di Latte” ที่หวานเจี๊ยบเหมือนไอศกรีมเจลาโต้ที่กำลังละลายช้าๆ ก็ไม่ปาน (นี่คือสิ่งที่พวกเขานิยามให้กับเพลงในอัลบั้มล่าสุด) ก่อนที่จะจบด้วยเพลงเก่งอย่าง “1901” ที่ทำเอาแฟนเพลงทุกคนกระโดดร้อง hey, hey, fold it, fold it กันแบบไม่กลัวเหนื่อย
แปบเดียวเพลงสนุกๆ ก็จบลง Thomas กล่าวขอบคุณเสียงดัง แต่โชว์ยังไม่จบอย่างที่คิด Thomas Mars ถอดเสื้อนอกออก เหลือแต่เสื้อยืดสีพื้น ลากสายไมค์สีแดงเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงกลางฮอลล์ เทินตัวเองขึ้นบนมือของเหล่าแฟนเพลงที่พร้อมใจกันอุ้มพี่ Thomas ให้ยืนขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านบน ท่ามกลางแบ็คกราวนด์ของเพลง Ti Amo พี่ Thomas ขอให้แฟนเพลงกระโดดให้แรงที่สุดไปตามจังหวะดนตรีพร้อมกัน
เมื่อถึงจังหวะคลื่นมหาชนก็กระโดดสุดเหวี่ยงไปตามเพลง พี่ Thomas ก็เอาปากคาบสายไมค์ นอนว่ายกลับไปขึ้นเวทีพร้อมๆ กับมือของแฟนเพลงนับร้อยที่เข้าไปช่วยส่งพี่เขาโดยสวัสดิภาพ เป็นการจบโชว์โดยมีเราเป็นหนึ่งในทีมช่วย crowd surfing ของพี่ Thomas แฟนเพลงเองก็ให้เกียรติศิลปินกันเป็นอย่างดี จบโชว์ไปด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานจนใครหลายๆ คนไม่อยากก้าวขาออกจากฮอลล์
ใครที่นอนฟังเพลงของ Phoenix มาตั้งแต่สมัยวุ่ยรุ่นคงฟินไปตามๆ กัน อิ่มเอม ประทับใจ ตื้นตันใจ ที่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางดนตรีที่วงดนตรีระดับโลกมาแสดงให้เห็นตรงหน้า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น หรือสิบตาเห็นผ่าน youtube ก็ไม่เท่ากับการได้มาดูในคอนเสิร์ตจริงๆ อาจจะฟังดู cliché ไปหน่อย แต่เราก็อยากจะบอกอีกว่า ได้ดูโชว์นี้ เรานอนตายตาหลับแล้วล่ะ
ขอขอบคุณ Have You Heard? สำหรับศิลปินสุดเจ๋งในครั้งนี้ด้วยค่ะ
Photos : labyrinth film l music, Sami, WeerayutK, Seesan, this_is_a_book
Story : Jurairat N.
อัลบั้มภาพ 32 ภาพ