[รีวิว] CNBLUE โชว์ดีไม่มียั้ง จัดเต็มทุกอารมณ์ ก้าวข้ามไอดอลสู่ศิลปินมืออาชีพ
“เป็น Boice โดยสมบูรณ์แล้ว” เป็นประโยคแรกที่เราพิมพ์ตั้ง status ใน facebook หลังจากชมคอนเสิร์ต 2017 CNBLUE ASIA TOUR [BETWEEN US] in Bangkok จบ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่แฟนเพลงของ 4 หนุ่มวงนี้นะ เราชอบวงนี้มาตั้งแต่ “I’m A Loner” ซิงเกิลแรกที่เดบิวต์ในเกาหลีนั่นแหละ แต่ที่ไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับ หรือเป็น Boice เพราะคิดว่าเราคงไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น นอกจากฟังเพลงแล้วก็ไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรของพวกเขาสักเท่าไร (จะมีก็แค่ดูรายการ We Got Married กับซีรี่ส์ของสมาชิกบางคนไปบ้างบางตอน) แต่ที่คราวนี้เราพิมพ์ไปแบบนั้น เพราะเราตอบตัวเองได้แล้วล่ะ ว่าเราชอบวงนี้ ชอบเพลงวงนี้ เพราะอะไร
6 โมง 5 นาที เราวิ่งฝ่าฝนที่เพิ่งกระหน่ำไปซื้อแท่งไฟ (official light stick อันแรกของชีวิต) และวิ่งขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในฮอล อากาศเป็นใจเพราะเหมือนกับไล่แฟนเพลงทุกคนให้เข้าไปหาหนุ่มๆ ในฮอลได้แล้ว และงานคอนเสิร์ตเกาหลีมีความดีงามตรงที่มักจะเล่นตรงเวลาเสมอ คราวนี้ก็เช่นกันที่เราได้ยินเสียงกริ๊ดดังลั่นออกมาตั้งแต่เรายังไม่ได้เปิดประตูเข้าไป อาจจะเข้าไปช้าเล็กน้อยแต่ก็ยังทันเพลงแรก “Radio” ที่หนุ่มๆ ใส่ไม่ยั้งตั้งแต่เพลงแรก (ฟังทีไรก็คิดว่าซาวนด์มีความละม้ายคล้ายเพลงของ Coldplay ยังไงไม่รู้) ต่อด้วย “When I Was Young” ที่ยังมีซาวนด์ electronic ตามมาติดๆ และเป็นผลงานจาก EP ชุดล่าสุดที่มีส่วนผสมของดนตรี electronic อย่างชัดเจน
หนุ่มๆ ให้แฟนๆ ได้พักหายใจหายคอกันอีกนิดด้วยเพลงซาวนด์เท่ๆ อย่าง “Domino” ที่แฟนเพลงหลายคนร้องตามได้ไม่ยาก และหัวหน้าวงยงฮวาโชว์สกิลการเล่นคีย์บอร์ดเทพๆ ให้แฟนๆ ได้ดูอย่างน่าประทับใจ พอเริ่มหายเหนื่อยกันแล้ว ยงฮวาก็นำทีมปลุกอารมณ์กันอีกครั้งด้วย “I’m Sorry” เมื่อเป็นซิงเกิลเก่า แฟนเพลงจึงร้องตามได้คล่องปาก โบกแท่งไฟกันแทบหัก
พักเบรกแรกด้วยภาษาไทยเป็นชุดของแต่ละคน เมื่อสวัสดีครับมันธรรมดาเกินไป แต่ละคนจึงรัวใส่ทั้งภาษาไทยเป็นชุด ทั้ง “สบายดีไหมครับ” “สนุกไหมครับ” “ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ” “ผมยงฮวานักร้องนำและเล่นกีต้าร์ครับ” (เร็วจนแทบจะเป็นแร็ป พร้อมก้มตัวไหว้สวยๆ) “ผมจงฮยอนนักร้องนำและเล่นกีต้าร์ครับ” (ด้วยระดับความเร็วพอกัน) “ขอเสียงหน่อย” (เอ้า กริ๊ดดดด) “ผมมินฮยอกมือกลองครับ” “ขอบคุณมากครับ” (จองชิน)“สวัสดีครับ คิดถึงไหมครับ” “รอนานไหมครับ” (แฟนๆ ตอบว่าไม่นาน หนุ่มๆ งงเล็กน้อย อาจจะแปลไม่ออก ฮ่าๆ) “ขอโทษนะครับ นี่คนหรือนางฟ้าครับ” และยงฮวาตบท้ายด้วย “We miss you” “Do you miss us?” “Really?” “ทุกคนต้องเต็มที่นะครับ” แน่นอนว่าตลอดบทสนทนาบนเวทีมีแต่ภาษาอังกฤษ และภาษาไทยประโยคยาวๆ เชื่อว่าหนุ่มๆ ทำการบ้านมาหนักแน่ๆ
เมื่อยงฮวาโยนหินถามทางไปว่า รู้ไหมว่าเพลงต่อไปคือเพลงอะไร แฟนๆ พร้อมใจกันตอบว่า “No” แต่พอได้ยินอินโทรจากคีย์บอร์ดเท่านั้นแหละ หลายคนกริ๊ดลั่นเพราะมันคือ “Can’t Stop” นี่เอง แต่ยงฮวาเพิ่มลูกเล่นด้วยการใส่ Bangkok ลงไปตามจังหวะดนตรี ก่อนจะค่อยๆ เข้าเพลง “Can’t Stop” ต่อด้วยเพลงใหม่น่ารักๆ “It’s You” แล้วต่อด้วยขบวนพาเหรดเพลงฮิตเก่าๆ ที่ถือว่าเป็นช่วงไฮไลต์ของเรา เพราะมีแต่เพลงที่เราชอบล้วนๆ ทั้ง “Love Girl”, “Sweet Holiday” และ “LOVE” คอมโบเพลงน่ารักๆ มาทีเดียวแบบนี้ แฟนๆ ดำน้ำ ร้องตาม โบกแท่งไฟตามแบบไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว
หมดช่วงเพลงฮิตวันวาน ยงฮวาก็บอกว่า เพลงเก่าๆ ก็ช่วยดึงเอาความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาด้วยเนอะ เดี๋ยวเราค่อยๆ มาฟังเพลงใหม่ๆ กันบ้างดีกว่า จากนั้นก็เริ่มเล่น “Lie”, “Blind Love”, “Royal Rumble” ซึ่งเป็นเพลงจาก EP ล่าสุด 7 ˚CN และ “In My Head” ซิงเกิลเก่าที่เรียบเรียงใหม่เท่กว่าเดิมด้วยซาวนด์ electronic ช่วงหลังๆ มานี่หนุ่มๆ คงสนุกกับแนว electronic กันมาก โดยเฉพาะยงฮวาที่เอาอยู่ทั้งป็อบสนุกๆ ร็อกกีต้าร์หนักๆ ตะโกนร้องเสียงสูงแบบชาวร็อก แล้ววกกลับมาเล่นซาวนด์ electronic ได้อีก ในขณะที่จงฮยอนก็มีสกิลเล่นกีต้าร์ที่ไม่ธรรมดา แต่จะเหมาะกับแนวเพลงนุ่มๆ ที่ฟังแล้วก็ใจละลายได้ไม่แพ้กัน
หลังจากสนุกกับเพลงร็อกๆ ไปแล้ว ก็กลับมาสวีทหวานกันต่อกับ “You’re So Fine” ที่หนุ่มๆ แต่ละคนงัดเอาลุคน่ารักๆ ออกมาโชว์แฟนๆ กันแบบไม่มีใครยอมใคร ทั้งจองชิน และจงฮยอนที่เดินไปหาแฟนๆ อย่างใกล้ชิด ส่วนยงฮวาเห็นกล้องเป็นไปไม่ได้ ต้องยักคิ้วหลิ่วตา ทำท่า mini heart และอีกสารพัดเอกโย่ใส่กล้องตลอดเวลา ทำให้แฟนเพลงต้องกริ๊ดกันเป็นพักๆ แถมยังแยกประสาทลำบาก อีกตาก็อยากดูฝั่งนู้น อีกตาก็อยากจะดูฝั่งนี้ แปบเดียวจบเพลงรู้ตัวเลยว่าเมื่อยแก้ม เพราะเราเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ค้างไว้อย่างนั้นตลอดทั้งเพลง
ต่อด้วยเพลงน่ารักๆ อย่าง “Face to Face” ที่ยงฮวายังขยันทำท่าน่ารักๆ โยกซ้ายโยกขวาใส่แฟนๆ ตลอดเวลา แต่ไฮไลต์เด็ดอยู่ที่ “Wake Up” ที่ตัวเพลงว่ามันอยู่แล้ว ยงฮวายังเพิ่มความมันด้วยการโซโล่กีต้าร์พร้อมจงฮยอน โหนเสียงสูงปริ๊ด ตะโกนร้องซ้ำๆ วนไป 3-4 รอบ จบแล้วจบอีก ชวนแฟนเพลงร้อง wake up wake up สาดกีต้าร์ไม่ยั้ง ฝั่งมินฮยอกก็รัวกลองไม่หยุด ที่คิดว่าจะจบแล้ว แต่ยงฮวาก็เริ่มโซโล่กีต้าร์ท่อนเดิมขึ้นมาอีก วิ่งไปจบพร้อมกันที่กลอง วิ่งไปวิ่งมา จนแอบเห็นจองชินกับจงฮยอนทำท่าเหมือน “เอาเลยพี่ เอาที่สบายใจ พวกเรายืนรอจบเพลงพร้อมพี่อยู่ตรงนี้แล้วกัน” กว่าจะจบเพลงนี้ไปได้ เล่นเอาเหงื่อท่วมร่างทั้งศิลปิน ทั้งแฟนเพลง จำได้ว่ากว่าจะจบก็ล่อไปเกือบ 7 นาทีเลยทีเดียว (ณ จุดๆ นี้ สงสารน้องๆ ในวงที่ต้องตามพี่ยงฮวาด้นสดไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ขอบเขตว่าจะจบยังไงเมื่อไร พอจบได้ทีนี่โล่งหูเลย)
พักคุยกันจนหายเหนื่อย ก็ต่อกันด้วย “Feeling” และกระโดดมันสุดฤทธิ์กับ “Coffee Shop” กริ๊ดกันให้คอแตกกับ “Cinderella” และจบช่วงนี้ด้วยเพลงเท่ๆ ซิงเกิลล่าสุด “Between Us” แรกๆ เราไม่ค่อยถูกชะตากับเพลงนี้เท่าไร แต่พอฟังในคอนเสิร์ตแล้วมันใช้ได้ จนตอนนี้ติดหูไปแล้ว คงเพราะจังหวะ dubstep เก่ๆ ที่ยงฮวาใส่มานี่แหละ ที่ทำให้เพลงนี้แปลกแตกต่างไปจากเพลงอื่นๆ (ไม่นับ Can’t Stop ที่เป็นเพลงประหลาดอีกเพลง เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า)
แม้ว่าหนุ่มๆ จะบอกว่าเป็นเพลงสุดท้าย แต่พวกเรารู้ว่ายังมี encore หลังจากปล่อยให้แฟนๆ ตะโกนเรียกอยู่สักพัก 4 หนุ่มก็ออกมาพร้อมเสื้อยืดตัวใหม่ และเริ่มปลุกอารมณ์มันๆ กันอีกครั้งด้วยเพลงเท่ๆ อย่าง “Catch Me” ที่ยงฮวาไม่ลืมจะใส่คำว่า Bangkok ลงไปด้วย จบเพลงถึงกับหอบ จนยงฮวาต้องโชว์ smart watch ให้ดูว่าวันนี้เขาเผาผลาญพลังงานไปได้ 1,096 กิโลแคลอรี่ แถมด้วยอัตราการเต้นของหัวใจสูงถึง 135 BMP ยงฮวาชี้และหยอดคำหวานว่า “Because of you, Bangkok”
จบช่วงมัน ก็ถึงเวลาซึ้งๆ ไปกับช่วง acoustic ที่ 4 หนุ่มลงมานั่งที่เวทีกลางระยะประชิดกับแฟนเพลง และสมาชิกทุกคนได้ร้องเพลงพร้อมกันใน “Manito” พวกเราได้ฟังเสียงของมินฮยอก และจองชินชัดๆ และคอนเฟิร์มได้ว่าสองคนนี้ร้องเพลงได้ และร้องได้ดีด้วย แฟนๆ ด้านล่างทำโปรเจ็กที่เรามารู้ทีหลังว่าเป็นโปรเจ็กถือป้ายข้อความมากถึง 47 ข้อความหลากหลายกันไป (มิน่าเราแอบเห็นหนุ่มๆ จ้องอ่านทีละป้ายๆ ตอนแรกนึกว่าเขียนเหมือนกันทุกป้าย) ยงฮวาไม่ลืมที่จะเอนเตอร์เทนแฟนๆ มากขึ้นด้วยการให้สมาชิกแต่ละคนร้องท่อนบอกรักทีละคน และให้แฟนเพลงร้องเพลงบอกรักตอบกลับพวกเขาแบบทีละโซน ทีละชั้น จบเพลงนี้ด้วยบรรยากาศซึ้งๆ อบอุ่นๆ
ปิดท้ายโชว์คราวนี้จริงๆ ด้วย “Young Forever” ที่หนุ่มยงฮวาพูดย้ำๆ ว่าพวกเขาสัญญาว่าจะกลับมาที่ไทยอีกครั้งแน่นอน ขอให้รอจนถึงวันนั้นกันด้วย ขอให้ทุกคน stay young forever กันด้วย และจบด้วยท่อนร้องประสานเสียง “Can we go back? But there’s no way. We’re forever young” ที่ทั้ง 4 หนุ่มช่วยกันร้องพร้อมกัน รวมกับเสียงแฟนเพลงที่ร้องตามไปด้วย จบโชว์นี้ด้วยอารมณ์อบอุ่น อิ่มเอม กับโชว์ตลอด 2 ชั่วโมงครึ่งที่ทุกคนจัดให้ไม่ยั้ง ทุกเพลงทุกอารมณ์
สำหรับเรา เราว่า CNBLUE ก้าวข้ามผ่านช่วงที่เรียกตัวเองว่า K-POP Idol ไปแล้ว เพราะพวกเขาคือ real musician นอกจากแต่งเพลงกันเองทุกเพลงมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ยังผ่านร้อนผ่านหนาว เริ่มต้นจากวงเล่นดนตรีตามท้องถนน จนกระทั่งได้เดบิวต์เป็นศิลปินจริงๆ สั่งสมประสบการณ์ทางดนตรี ร้องดี เล่นได้ และเอนเตอร์เทนเป็นเลิศ สมแล้วที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนานกว่า 8 ปี
เราว่าครั้งที่แล้วสนุกแล้วนะ ครั้งนี้สนุกกว่าเดิมแบบ x5 เลย เพราะความสดใหม่ที่ไม่ใช้มาเล่นๆ ตามแพทเทิร์นแล้วกลับบ้านไปเหมือนที่ใครหลายคนทำ แต่ทุกเพลงทุกช่วงทุกคนใส่เต็ม และยงฮวาทำหน้าที่เอนเตอร์เทนได้ดีมาก (แปลกใจเล็กน้อยที่ไม่มี "I'm A Loner" แต่คงเบื่อแล้วมั้ง ฮ่าๆ ร้องมา 8 ปีละ) ครั้งหน้าหนุ่มๆ มาเมื่อไร ทุกคนพลาดไม่ได้จริงๆ (อย่าลืมซื้อแท่งไฟเพื่อเพิ่มความสนุกอีก 20% ด้วยนะ)
____________________
Story : Jurairat N.