วิจารณ์หนัง UNDERWORLD BLOOD WARS สงครามอันยืดเยื้อ (และน่าเบื่อหน่าย)
เหตุผลประการเดียวที่ยังคงมีหนังภาคต่อในตระกูล UNDERWORLD ผลิตออกมาเรื่อยๆ ก็เพราะว่า แฟรนชายส์นี้ยังคงทำเงินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับจากภาคแรกที่ทำเงินทั่วโลกไปถึง 95 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 22 ล้านเหรียญ ก่อนที่ภาค 2 Underworld: Evolution จะทำเงินทั่วโลกไป 111 ล้านเหรียญ ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อหนังภาคที่ 3 Underworld:Rise of the Lycans นักแสดงสาวอย่างเคต แบคคินเซลไม่กลับมารับบทเซลีน จึงทำให้รายได้ลดลงเหลือแค่ 91 ล้านเหรียญ
ก่อนที่เธอจะกลับมารับบทบาทเดิมอีกครั้งในภาคที่ 4 Underworld Awakening ซึ่งทำเงินทั่วโลกถึง 160 ล้านเหรียญ และถือเป็นภาคที่ทำเงินสูงสุดในแฟรนชายส์ชุดนี้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเอาเข้าจริงแล้วหนังสามารถทำเงินนอกตลาดอเมริกาเหนือไปถึง 97 ล้านเหรียญ คิดเป็น 61.1% ในขณะที่ในบ้านเกิดกลับทำเงินแค่ 62 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 38%
การวางหมากครั้งใหม่ของสตูดิโออย่างโซนี่ พิกเจอร์สจึงเลือกที่จะเปิดตัวหนังภาคล่าสุด Underworld: Blood Wars ในเอเชียและยุโรปก่อน ซึ่งตอนนี้รายรับรวมของหนังก็ทำเงินไปแล้ว 34 ล้านเหรียญ ส่วนในอเมริกาเข้าฉายต้นปีหน้า ซึ่งเหตุผลที่หนังเปิดตัวในตลาดต่างประเทศก่อน เพราะสตูดิโอน่าจะรู้ดีว่าแฟรนชายส์ชุดนี้ก็ไม่ใช่ที่รักของเหล่านักวิจารณ์ (หนังชุดนี้คำวิจารณ์ส่วนมากกองกันอยู่ที่เกรด C ถึง C+) และในตลาดอเมริกาเองก็อาจจะมีโอกาสแป๊กสูง ดังนั้นการเจาะตลาดนอกประเทศจึงเป็นทางรอดและโอกาสสานต่อแฟรนชายส์ได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตามเนื้อหาของหนังก็ยังสรุปจบได้ด้วยการหยิบเอาเรื่องย่อของหนังภาคแรกมาอธิบายเช่นเดิมนั่นคือก็มันเป็นหนังที่แวมไพร์ทำสงครามกับไลเคนส์ (และทุกอย่างก็ดูจะยืดเยื้อไปเช่นนี้ยันจักรวาลในหนังล่มสลาย) เหตุการณ์สืบเนื่องมาจากภาคก่อนเมื่อเซลีนต้องจากลาลูกสาว เพื่อความปลอดภัยของลูกเธอเอง เซลีนกลายเป็นคนหัวใจสลายเพราะไมเคิลคนรักของเธอเองก็ถูกพรากจากเธอไปเช่นกัน ชีวิตของเซลีนจึงตกอยู่ตรงกลางระหว่างคนที่ทรยศเผ่าพันธุ์ของตน แต่เธอก็ยังเป็นเป้าสังหารของไลเคนส์ เนื่องจากเลือดของเธอมีความพิเศษตรงที่ว่าเธอสามารถมีชีวิตรอดท่ามกลางแสงแดดได้ ในขณะที่แวมไพร์ตนอื่นไม่มี
จักรวาลอันยุ่งเหยิงใน Underworld: Blood Wars ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าสงครามที่ยืดเยื้อ ยาวนาน (และน่าเบื่อ เพราะคนดูก็คาดเดาทุกอย่างในหนังได้อยู่ดีและก็รู้ทั้งรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วฝ่ายไหนจะกุมชัยชนะ) ระหว่างทางของหนังอาจจะมีอะไรให้คนดูรู้สึกมีความแปลกใหม่บ้าง แต่ผู้กำกับอย่าง “แอนนา ฟอสเตอร์” ก็ไม่สามารถเล่าประเด็นยิบย่อยเหล่านั้น เพราะมัวแต่จะรีบเล่าเรื่องสงครามระหว่างแวมไพร์และไลเคนส์อย่างเดียว
ยังไม่รวมไปถึงฉากแอ็คชั่นของหนังที่ดูสับสน อลม่าน ประกอบกับการจัดแสงมืดๆสลัวๆ (ตามขนบของแฟรนชายส์ชุดนี้) ยิ่งทำให้คนดูมองไม่ออกว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นบนจอหนังกันแน่ กล่าวโดยสรุปก็คือ Underworld: Blood Wars ก็ยังรักษามาตรฐานความย่ำแย่ของมันอย่างคงเส้นคงวา ถ้าคุณชอบภาคก่อนๆก็จงติดตามต่อไป แต่ถ้าใครไม่ชอบ ไม่เคยชอบก็ไม่ควรจะทู่ซี้ดูครับ
@พริตตี้ปลาสลิด
1 คะแนนจาก 5 คะแนน
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ