Thailand Limited Edition! 5 เรือนเวลาบ่งบอกสไตล์ความเป็น Thailand Only
โดย สุรศักดิ์ จรินทร์ทอง
ในฐานะที่เป็นคนไทยและชื่นชอบการสะสมนาฬิกาด้วยแล้ว หากเป็นนาฬิการุ่นพิเศษซึ่งมีความเกี่ยวข้องประเทศไทย เชื่อเลยว่ามักจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้น ที่ผ่านมาบรรดานาฬิกาแบรนด์ดังต่างๆ จึงมองเห็นความสำคัญถึงเรื่องนี้ และนั่นทำให้เราได้เห็นเรือนเวลาที่เป็น Thailand Limited Edition ออกมาขายกันอย่างสม่ำเสมอ
1. Audemars Piguet Royal Oak Perpetual Calendar Thailand Limited Edition
จากจุดเริ่มต้นในปี 1950 ที่ทาง Audemars Piquet หรือ AP ได้เปิดตลาดเมืองไทยและผลิตนาฬิการุ่นพิเศษเพื่อลูกค้าจากประเทศนี้โดยเฉพาะเพียง 12 เรือนนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ของแบรนด์ต่อคนที่นี่มีมาอย่างยาวนาน และ AP ก็มักจะมีอะไรที่เป็นพิเศษสำหรับคนไทยอยู่เสมอ เหมือนกับครั้งนี้ที่พวกเขาผลิตรุ่น Royal Oak Perpetual Calendar Thailand Limited Edition ออกมา ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากธงไตรรงค์ของประเทศไทย โดยนอกจากสายโลหะแล้วก็ยังมีสายยางสีน้ำเงินและแดงให้เลือกสลับเปลี่ยนอีกด้วย
บนตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตรผลิตจากทองคำขาว 18K พร้อมลวดลายที่สวยงามบนพื้นหน้าปัดสีแดง พร้อมกับการใช้อีก 2 สีคือ ขาวและน้ำเงินเป็นสีหลักในการตกแต่งจุดต่างๆ ที่อยู่บนหน้าปัด เช่น พื้นและของวงย่อยที่ใช้ในการจับเวลา ของกลไก Cal.5134 ที่สามารถสำรองพลังงานได้ 40 ชั่วโมง
การผลิตมีเพียง 20 เรือนเท่านั้น ส่วนราคาก็อยู่ที่ 3,622,700 บาทเท่านั้น
2. Hublot Big Bang Unico Retrograde Buriram United
ทราบกันดีว่า Hublot เป็นแบรนด์ที่ให้ความสนใจกับโลกของฟุตบอลค่อนข้างมาก และมีการผลิตนาฬิกาที่ออกมาเพื่อเอาใจแฟนๆ ของทั้งนักเตะ และสโมสรฟุตบอลหลายแห่ง แต่ที่น่าสนใจกับแฟนๆ ชาวไทยคือ เมื่อ 2 ปีที่แล้วพวกเขาจับมือกับสโมสรฟุตบอลชั้นนำของเมืองไทยอย่าบุรีรีมย์ ยูไนเต็ดในการเปิดตัว Limited Edition 30 เรือนที่ชื่อว่า Big Bang Unico Retrograde Buriram United ออกมา
Big Bang Unico Retrograde Buriram United เป็นนาฬิกาจับเวลาโครโนกราฟ ที่มีคุณสมบัติเด่นมาพร้อมระบบจับเวลา 45 นาทีด้วยเข็มตีกลับแบบ ‘Retrograde’ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้จับเวลาการแข่งขันฟุตบอลโดยเฉพาะ สำหรับหน้าปัดบอกเวลานั้นถูกจัดวางไว้ที่ตำแหน่ง 6-นาฬิกา ผลิตออกมาในตัวเรือนขนาด 45 มิลลิเมตร ทำจากวัสดุเซรามิกสีดำ โดยมีการเลือกใช้โทนสีหลักอย่างสีกรมท่า ซึ่งเป็นสีประจำสโมสรในการตกแต่งพื้นหน้าปัด และเลือกใช้สีเทาตกแต่งปุ่มจับเวลาโครโนกราฟ รวมถึงรายละเอียดของเข็มจับเวลาวินาที ที่ตอกย้ำความแรงของทีมสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยการแต่งปลายเข็มวินาทีเป็นรูปสายฟ้า ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลโก้ของสโมสร พร้อมประทับตราสโมสรบนพื้นหน้าปัดและฝาหลัง
สำหรับราคาในตอนที่เปิดตัวอยู่ที่ 1,099,990 บาท และมีแค่ 30 เรือนเท่านั้น
3. Luminox 3501 BO Thai Navy SEALs
Luminox เป็นนาฬิกาที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของความบึกและทนทาน โดยมีภาพลักษณ์ที่สอดคล้องกับเรื่องของทหาร จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเลือกจับมือกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ หรือ SEAL จัดทำนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษที่สร้างสรรค์จากความศรัทธาในจิตวิญญาณของหน่วย SEAL ซึ่งผลิตเพียง 999 เรือน เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น
ไฮไลท์ของนาฬิกาเรือนนี้คือ สัญลักษณ์ที่อยู่ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฉลาม คลื่น สมอเรือ และธงชาติ ซึ่งรวมกันเป็นเครื่องหมายของนักทำลายใต้น้ำจู่โจม ที่ถือเป็นความภูมิใจของผู้ที่ผ่านหลักสูตรนี้ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ SEAL โดยนาฬิการุ่นนี้ถูกต่อยอดจากรุ่น 3501 BO ที่มากับตัวเรือนดำสนิท และนำสไตล์การออกแบบจาก Luminox Navy Chronograph 3580 Series มาผสมผสานเข้าไป โดยเฉพาะการแต้มสีบนขอบสเกล 0-20 บนขอบ Bezel เช่นเดียวกับแถบสีแดงที่ลากจากตำแหน่ง 0-20 บนหน้าปัด ซึ่งในรุ่นปกติจะเขียนว่า ‘The Only Easy Day Was Yesterday’ แต่จะเปลี่ยนมาเป็น ‘NSW : No Space For The Weak’ หรือไม่มีที่ว่างสำหรับคนอ่อนแอ โดยตรงนี้ถือเป็นการเล่นคำที่มีชั้นเชิงหน่อยๆ เพราะ NSW นอกจากจะเป็นคำขวัญของหน่วย SEAL แล้วยังเป็นคำย่อในภาษาอังกฤษของ Naval Special Warfare Command หรือหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรืออีกด้วย
ตัวเรือนผลิตจาก Carbonox ซึ่งเป็นวัสดุคาร์บอนพิเศษเฉพาะ Luminox เท่านั้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษคือมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กถึง 6 เท่าแต่มีความทนทานสูง ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนังของผู้สวมใส่ที่แพ้ง่าย หน้าปัดขนาด 45 มิลลิเมตร ฝาหลังและเม็ดมะยมทำจาก Stainless Steel กันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร ใช้กลไกควอตซ์ และมีจุดเด่นอยู่ที่ Gastube ที่มีความสามารถในการเรืองแสงด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งแสงอาทิตย์ในการสะสมพลังงาน และสามารถส่องสว่างได้นานถึง 25 ปี
เพียง 999 เรือนเท่านั้นในเมืองไทยส่วนราคาอยู่ที่ 19,500 บาท และรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธินักทำลายใต้น้ำจู่โจม เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
4. Sevenfriday Thailand Limited Edition “RAVANA”
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว Sevenfriday นาฬิกาดีไซน์สุดเท่ได้จัดการผลิตนาฬิกาที่มีความเกี่ยวพันกับความเป็นไทยด้วยรุ่น Ravana กับดีไซน์หน้าปัดที่ออกแบบเป็นพิเศษ โดยนำตัวเลขไทยและลายกนกมาไว้บนหน้าปัด รวมถึงธีมสีที่ใช้เป็นสีของธงชาติไทย คือ สีขาว สีน้ำเงิน และสีแดง นำมาแต่งแต้มตามสเกลรอบหน้าปัด เข็มยาว และตัวเลขไทยสีขาวแสดงเวลาชั่วโมง โดยพัฒนาต่อเนื่องมาจากรุ่นหลักคือ V3-1
ทุกรายละเอียดถูกรวบรวมอยู่ในตัวเรือนรูปทรงกลมตัดปีกแบบสมัยใหม่ ทำจากวัสดุสเตนเลสสตีลเคลือพีวีดีสีเทาผ่านการแปรงและขัดลาย นับเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความอ่อนช้อยงดงามของศิลปะไทยและความแข็งแกร่งของเครื่องจักรกล อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการออกแบบเรือนเวลารุ่นพิเศษนี้ คือ การแกะสลักรูปเศียรทศกัณฐ์ไว้ที่ฝาด้านหลังตัวเรือน ตรงตำแหน่งที่ติดตั้งชิป NFC เพื่อการสแกนตรวจสอบและยืนยันว่าเรือนเวลานี้เป็นของแท้ ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ โดยมีการผลิตออกสู่ตลาดเพียง 99 เรือน และมีราคาอยู่ที่ 55,900 บาท ณ ตอนนั้น
5. Oris The Cha-Lam Special Edition
ปกติ Oris มักจะมีนาฬิกา limited Edition ที่เกี่ยวข้องกับท้องทะเลออกมาเป็นประจำ เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งอื่นๆ ในต่างประเทศ ยกเว้นคราวนี้ที่พวกเขาเปิดตัวรุ่น The Cha-Lam ออกมาเมื่อปี 2016 โดยอ้างอิงพื้นฐานจากรุ่น Aquis ที่มีความสามารถในการกันน้ำ 300 เมตร และผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือนเท่านั้น
การเพิ่มความพิเศษครั้งนี้มากับดีไซน์หน้าปัดสีแดง - สีขาว - น้ำเงิน ซึ่งการตัดกันของสีเหล่านี้ ทำให้การมองเห็นค่าเวลาได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใต้ท้องทะเลลึก นาฬิกาเรือนนี้เปิดตัวออกมาที่ราคา 89,900 บาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดจำหน่ายนาฬิการุ่นพิเศษนี้ จะมอบเป็นทุนวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เพื่อดำเนินการศึกษาและนับจำนวนประชากรฉลามใต้ท้องทะเลไทย ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยเป็นครั้งแรกของเมืองไทย
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ