ดำดิ่งสู่โลกกาแฟของ “ต๋อง อานนท์” แชมป์โลก World Latte Art Battle 2017 คนแรกของไทย

ดำดิ่งสู่โลกกาแฟของ “ต๋อง อานนท์” แชมป์โลก World Latte Art Battle 2017 คนแรกของไทย

ดำดิ่งสู่โลกกาแฟของ “ต๋อง อานนท์” แชมป์โลก World Latte Art Battle 2017 คนแรกของไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การสัมภาษณ์คุณต๋องในครั้งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความคิดเชิงบวกมหาศาล ทั้งแววตาและการตอบคำถามที่มุ่งมั่น ทำให้เราหมดความสงสัยถึงที่มาของรางวัลแข่งขันทำกาแฟมากมาย (แชมป์ประเทศไทย National Thailand Latte Art Championship ปี 2015 2016 2017 และ World Latte Art Finalist ได้ที่ 6 ของโลกปี 2011 ได้ที่ 5 ของโลกปี 2015) จนล่าสุดคว้าตำแหน่งแชมป์โลก World Latte Art ปี 2017 คนแรกในประเทศไทย! มาครอง ซึ่งสร้างความตื้นตันให้คนรักกาแฟบ้านเราได้ภาคภูมิอย่างสุดหัวใจ

คุณต๋องเล่าว่า เมื่อเริ่มเข้าสู่วงการกาแฟก็ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรกว่าอยากเป็นแชมป์โลกให้ได้ แต่การจะเป็นที่ 1 ของทุกประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเข้าไปดู #latteart ก็มีรูปและคลิปต่างๆ จากทั่วมุมโลกกว่าหลายสิบล้านแฮชแท็กทำให้ถอดใจง่ายมาก แต่เขาไม่! “ถ้ารู้ว่าตัวเองขาดความชำนาญตรงไหนต้องฝึกฝนให้มาก กล้าที่จะแพ้บ้าง แล้ววันที่เราหวังจะมาถึงเสมอ” คุณต๋องบอกแบบนั้น

“ย้อนกลับไปปี 2007 โชคดีที่งานร้านแรกในออสเตรเลียของผมได้เจอกับแชมป์โลกกาแฟซึ่งเราทำงานที่เดียวกัน เลยคิดว่าแชมป์โลกเป็นเรื่องไม่ไกลตัว ผมซึมซับสิ่งที่เขาทำทุกเช้า ได้เห็นเขาซ้อมทำลาเต้อาร์ตเป็นประจำเลยเริ่มสนใจ และตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อไปสมัครเป็นบาริสตาโดยตรง ผมส่งจดหมายสมัครงานเป็นพันๆ แห่งจนได้ทำงานในร้านกาแฟหลายที่ จากนั้นก็ลงทุนเปิดร้านของตัวเองอีก 2 ปี มีเข้าร่วมแข่งขันหาประสบการณ์บ้างนิดหน่อยครับ แล้วจึงกลับมาเปิดร้าน “Ristr8to2” ที่เชียงใหม่

“ตอนเปิดร้านในไทย ผมเริ่มสนใจวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของแต่ละพื้นที่ เลยบินไปต่างประเทศปีละ 2 ครั้ง รวมๆ ตอนนี้ก็กว่า 40 ประเทศแล้ว เราไปเพื่อนำสิ่งที่เจอมาแชร์กับคนไทย ซึ่งทุกที่มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะใน “ญี่ปุ่น” มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟสลับขั้วกับโลกข้างนอกเลย คือเริ่มดื่มจากกาแฟคั่วอ่อนไปคั่วเข้ม แต่ก็ไม่มีผิดหรือถูกครับ สุดท้ายขึ้นอยู่กับความชอบมากกว่า แล้วที่ผมประทับใจเหนือสิ่งไหนคือเขามักพัฒนาเรื่องเดิมๆ ให้ไปถึงจุดสูงสุด

“ผมเคยไปร้านกาแฟที่ต้องให้ลูกค้าประจำแนะนำเท่านั้นถึงได้ไป ปล่อยเข้ารอบละ 2 คน อยู่ได้คนละ 1 ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงแรกหมดไปกับการดูเขาทำกาแฟซึ่งไม่มีอะไรหวือหวาเลย แต่วิธีที่ทำทุกขั้นตอนมันเป๊ะมาก ไม่มีอะไรหกหรือกระเด็นออกมาสักหยดเดียว เขาชำนาญเพราะเกิดจากการทำซ้ำๆ เท่าที่รู้น่าจะ 15 ปี เป็นความบ้าขั้นสุดที่ผมนับถือ อีกร้านที่ผมเจอคือเจ้าของเริ่มทำร้านกาแฟตั้งแต่อายุ 18 จนตอนนี้อายุ 48 แล้วก็ยังใช้วิธีการทำกาแฟแบบเดิม กาตัวเดิม สุดยอดจริงๆ

“ส่วนทางยุโรปส่วนใหญ่ก็ยังนิยมเป็นกาแฟคั่วเข้ม แล้วก็มี Filter ที่พบเห็นได้ทั่วทุกประเทศ ซึ่งอันที่จริงมันคือรูปแบบการชงที่ตายไปแล้ว เกิดขึ้นก่อน Espresso เสียอีก แล้วพอมี Espresso Machine ที่ทำกาแฟได้เร็วกว่า รสชาติเข้มข้นกว่า เหมาะกับ Commercial มากกว่า Filter เลยหายไป เพิ่งมาเมื่อ 7-8 ปีหลังที่ Specialty Coffee ได้รับความนิยม การชงแบบ Filter ก็กลับมา เพราะวิธีการชงที่ไม่ทำลาย Aroma ของกาแฟเลยเกิดเทรนด์ว่า Filter ทำให้ได้รสชาติของกาแฟมากที่สุด

“แต่ยังไงก็ขอยืนยันคำเดิมว่าขึ้นอยู่กับความชอบแหละครับ สำหรับผมเทใจให้ Espresso อยู่ดี ใครคอเดียวกันต้องลองไปที่ประเทศ “อิตาลี” ร้านอยู่ในกรุงโรมใกล้กับวิหารเก่า เรียกว่าเป็นร้านกาแฟเก่าแก่ที่มี Espresso รสชาติขมตามแบบฉบับชาวอิตาเลียน ถ้าจะดูว่ากาแฟโอเคไหมให้สังเกตที่ Crema ด้วย (ฟองสีทองที่อยู่บนกาแฟ) ถ้าใส่น้ำตาลแล้วไม่ตกลงกาแฟทันทีถือว่าผ่าน

“จริงๆ ยังมีอีก 6 เมืองที่อยากแนะนำให้ลองไปคือ Berlin, London, Budapest, Portland, Melbourne และเชียงใหม่ เพราะเมืองเหล่านี้มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่น่าสนใจ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองกันสักครั้งครับ ส่วนใครยังไม่มีแพลนไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด ที่กรุงเทพฯ ก็มีร้านเจ๋งๆ เหมือนกัน ผมชอบไปร้าน Factory Coffee – Bangkok อยู่ตรงราชเทวีนี่เอง”

คุณต๋องทิ้งท้ายไว้ให้คิดว่า เร็วๆ นี้อยากลงแข่งขันเวทีทำกาแฟผสมแอลกอฮอล์ ที่พักหลังๆ Cocktail Bar มักสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานให้เขาได้มากกว่าร้านกาแฟที่เริ่มเหมือนๆ กันไปหมด(แล้ว) เสียอีก

เราฟังแล้วก็รู้สึกเห็นเป็นอย่างนั้นด้วย

เรื่อง : ณัฐธพัฒน์ วรมิศร์

ภาพ : วัจนนท์ ภาคะ

เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพ

Compass Skyview Hotel สุขุมวิท 24 โทร. 0-2011-1111

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook