ฤทธิ์ คิ้วคชา นักธุรกิจรุ่นใหม่ ทายาทซาฟารีเวิลด์

ฤทธิ์ คิ้วคชา นักธุรกิจรุ่นใหม่ ทายาทซาฟารีเวิลด์

ฤทธิ์ คิ้วคชา นักธุรกิจรุ่นใหม่ ทายาทซาฟารีเวิลด์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับทายาทที่มีสายเลือดนักบริหารเต็มตัวอย่าง "ฤทธิ์ คิ้วคชา" บุตรชายของคุณผิน คิ้วคชา เจ้าของธุรกิจชื่อดังอย่างซาฟารีเวิลด์ ภูเก็ตแฟนตาซี ที่วันนี้กำลังก้าวเดินตามรอยพ่อในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ผู้ก่อตั้งและบริหารงานบริษัท คชาบราเธอร์ 

ฤทธิ์ คิ้วคชา
จากนักการเงินสู่นักธุรกิจ F&B

"ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ผูกพันกับเรื่องการเงินมาตลอด เพราะคุณพ่อก็เป็นนักการเงินมาก่อน ตอนเรียนปริญญาตรีผมเลือกเรียนวิศวคอมพิวเตอร์ คือเลือกเรียนในสิ่งที่เราชอบก่อน แต่พอเรียนปริญญาโทก็เริ่มคิดแล้วว่าจะเรียนอะไร เพราะจบมายังไงต้องกลับมาช่วยงานของครอบครัว ก็เลยเลือกเรียนด้านการเงิน
พอเรียนจบตั้งใจว่าจะทำงานที่เมืองนอกสักพัก แต่สุดท้ายต้องรีบกลับมาช่วยงานทางบ้าน เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงที่ซาฟารีเวิลด์กำลังจะครบรอบ 20 ปี ซึ่งคุณพ่อมีโครงการที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ 40 กว่าโครงการ เลยต้องมาเริ่มเรียนรู้การทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับซาฟารีเวิลด์
ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับซาฟารีเวิลด์มาตั้งแต่เด็ก พอปิดเทอมก็จะเข้ามาร่วมประชุมกับคุณพ่อคุณแม่ตลอด พนักงานทุกคนเราก็รู้จักหมด พอมาเริ่มงานก็เหมือนกับการมาต่อยอด ทำงานที่ซาฟารีเวิลด์ได้ประมาณ 3-4 ปี ก็เริ่มอยากจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งคุณพ่อก็ให้การสนับสนุนอย่างยิ่ง
จากนั้นก็คุยกันระหว่างพี่น้องว่าจะทำอะไรดี โดยผมมองว่าจะเริ่มจากธุรกิจเล็ก ๆ แต่ต้องมีโอกาสโต เลยคิดว่าธุรกิจเกี่ยวกับอาหารน่าจะเหมาะ เพราะมีโอกาสขยายการเติบโตได้ ซึ่งเราเริ่มจาก 1 แต่มีสิทธิ์เพิ่มเป็น 100 เป็น 1,000 สาขาได้ คือความเป็นไปได้มันมี ก็เลยคิดว่าจะทำเป็นแบรนด์อาหาร ซึ่งอาหารเป็นสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวชื่นชอบอยู่แล้ว
โดยเริ่มด้วยการเปิดบริษัท คชาบราเธอร์ส จำกัดขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ F&B พอจะเริ่มทำร้านอาหารก็ลองมาวิเคราะห์ตลาด สำรวจดูว่าบ้านเรายังขาดอะไรอยู่เปรียบกับสิ่งที่เราเห็นจากเมืองนอกเลยมองว่าไอศกรีมและจำพวกของหวานที่มีคุณภาพจริงๆในบ้านเรายังไม่มีถ้ามีก็ต้องพวกในโรงแรม 5 ดาวซึ่งไม่ใช่ทุกคนทานได้ ประกอบกับน้องชาย (คุณเดช คิ้วคชา) เป็นคนชอบและเคยเรียนทำขนมหวานด้วย เลยตัดสินใจเปิดร้านไอศกรีมขึ้นมาภายใต้ชื่อ "Sfree"

 


Sfree ร้านไอศกรีมสไตล์ญี่ปุ่นแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีเมนูไอศกรีมและกรานิต้าให้เลือกกว่า 80 เมนู ซึ่ง GRANITA (กรานิต้า) คือ ไอศกรีมเกล็ดคริสตัลสูตร Sugar-Free(ไร้น้ำตาล) ที่เน้นการใช้แต่ผลไม้สดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค ในราคาขายเริ่มต้น 45-145 บาท ซึ่งทุกเดือนจะเปิดตัวเมนูใหม่ ๆ อยู่เสมอ พร้อมให้บริการในบรรยากาศสบาย ๆ Style Japanese Dessert Caféโดยเชิญ มร.อิเคดะ คาซูโตะ ผู้เชี่ยวชาญจากกรุงโตเกียว มาเป็น Partner
ปัจจุบันร้านไอศกรีม "สฟรี" เปิดบริการแล้ว 9 สาขา และแบรนด์น้องใหม่ Parferio by Sfree บนถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นศูนย์รวมของหวานและไอศกรีมมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 150 ชนิด ในราคาขายเริ่มต้น 100 บาท ให้ลูกค้าได้เลือกรับประทานภายใต้แนวคิดร้านของหวานเพื่อสุขภาพ (Dessert Café) ซึ่งภายในปีนี้ทางบริษัท มีโครงการที่จะขยายสาขาที่ Paradise Park , Central World , ทองหล่อ, Fashion Island ฯลฯ 5-10 สาขา
ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะตลาดไอศกรีมรูปแบบโฮมเมด แต่ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"จุดเด่นของไอศกรีมเราคือ เน้นใช้ของสด โดยเฉพาะผลไม้ต้องสดและใหม่ไม่ใช้ผลไม้กระป๋อง เพราะเราให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก ประกอบกับไอศกรีม 1 ถ้วยจะมีส่วนผสมที่หลากหลายมาก รวมถึงขนมหวานและไอศกรีมก็จะมีแคลอรี่ต่ำ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มครอบครัว วัยรุ่น ซึ่งสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำหนัก ซึ่งเราจะมีเมนูทั้งของเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง และผู้ชาย คือทานได้ทุกเพศทุกวัย"

 


ก้าวเดินตามฝันหวังสร้างธุรกิจสู่ตลาดโลก
ตั้งแต่แรกที่ทำตรงนี้ ด้วยความที่ผมอยู่เมืองนอกมาตั้งแต่เด็ก สิ่งหนึ่งที่รู้สึกและทุกวันนี้ก็คิดอยู่ตลอดคือ ในต่างประเทศเราจะเห็นแบรนด์ไทยน้อยมาก แทบจะไม่มีร้านแบรน์ไทยเลย ตรงกันข้ามกับบ้านเราที่นิยมแบรนด์ต่างประเทศทั้งนั้น
ผมมองว่าเมืองไทยเวลาเปิดร้านอาหารจะมีอยู่สองทางเลือกคือ เปิดแบรนด์เอง หรือไปซื้อแบรนด์เมืองนอกมา ซึ่งอย่างหลังจะทำธุรกิจได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า แต่ผมไม่เคยคิดเลย เพราะคชาบราเธอร์มิชชั่นของเราคือการสร้างแบรนด์ไทยให้ได้ระดับสากล
ความฝันคือ เราอยากจะโกอินเตอร์ โดยเอาแบรนด์เราไปเมืองนอก ซึ่งคงจะเป็นแบรนด์ "สฟรี" เพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าโพรดักส์ของสฟรีเราได้มาตรฐานสากล ด้วยรูปแบบและหน้าตาของไอศกรีมที่มีความเป็นญี่ปุ่นมาก ฉะนั้นตลาดเอเชียน่าจะเหมาะ
จริง ๆ มีคนติดต่อมาพอสมควรในเวลาอันสั้นที่เราได้เปิดมาให้ไปเปิดตลาดในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนจากประเทศสิงค์โปร์และดูไบที่มาติดต่อ เพราะเขาเห็นภาพลักษณ์ของร้านเราแล้วค่อนข้างจะอินเตอร์และมีโพรดักส์ที่ดี เขาก็อยากติดต่อให้เราไปเปิด แต่ผมปฏิเสธไปก่อน เพราะเพิ่งเปิดมา3ปีคงยังไม่พร้อมที่จะโกอินเตอร์ตอนนี้
ด้วยความที่เรายังไม่รู้อะไรอีกเยอะ บริษัทก็เพิ่งเปิดมาได้เพียงแค่ 3 ปี พนักงานส่วนใหญ่ก็เป็นวัยรุ่นฉะนั้นเราคงไม่กล้าคิดว่าเราสามารถเทียบเท่าแบรนด์อินเตอร์ในเวลานี้ต้องพัฒนาอีกหลายจุด เพราะตลาดในเมืองไทยเรายังจับไม่หมดเลย อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องตลาดเมืองนอกแล้วกันตอนนี้
มุ่งมั่นตั้งใจทำงานด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
ผมจะคิดอยู่เสมอว่าตัวผมเองประสบการณ์ยังน้อย และที่สำคัญคือในธุรกิจอาหารครอบครัวเราไม่เคยทำมาก่อน ถ้าเป็นธุรกิจท่องเที่ยวเราเป็นเบอร์ 1 มาตลอดฉะนั้นเรื่องธุรกิจท่องเที่ยวมีอะไรถามคุณพ่อได้แต่ธุรกิจอาหารเราไม่เคยทำ ฉะนั้นเราจะเดินทีละก้าวค่อยๆเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปผมรู้สึกว่าเวลาเรารู้อะไรเยอะขึ้นก็จะรู้ว่าเราไม่รู้อะไรอีกเยอะ


เนื่องจากวัยผมจะน้อยกว่าผู้บริหารหลายคน ฉะนั้นเราต้องอ่อนน้อมถ่อมตัว แต่มีความชัดเจนในการทำงาน คือรับฟังทุกสิ่ง อย่างเวลาประชุมก็จะฟังลูกน้องเป็นหลัก พยายามดึงไอเดียของทุกคนออกมาก่อน เพื่อดูว่าแต่ละคนคิดอย่างไร สุดท้ายถ้าผมตัดสินใจอย่างไร ทุกคนก็ต้องเดินไปในทางเดียวกัน
จากนั้นมาดูกันว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นถูกหรือไม่ถูก ซึ่งมีบ้างที่บางทีตัดสินใจผิดพลาด แต่เราต้องยอมรับผิด แล้วกลับมาแก้ไขกัน พอทำงานกันไปเราได้แสดงฝีมือและความคิดของเราเรื่องความต่างของอายุก็
ไม่เป็นประเด็น ช่วงแรก ๆ อาจจะรู้สึกถึงความแตกต่างนิดหน่อย แต่ใช้เวลาสักพักจะรู้สึกว่าคนอายุ 30 40 ก็รู้สึกเหมือน 20 ได้ คนอายุ 20 ก็รู้สึกเหมือน 30 ได้ เพราะว่าเราทำงานกันเป็นทีมและกลมกลืนกันไปหมด
ค้นคว้าหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
ทุกวันผมจะจัดเวลาชัดเจน ด้วยธุรกิจที่ต้องดูแลผมแทบจะไม่มีเวลามาทบทวนหรือหาความรู้เพิ่มเติมตั้งแต่เช้าเข้าออฟฟิศจนถึงเดินออกจากออฟฟิศประชุมหลายเรื่องมาก คือประชุมทั้งวัน แล้วในแต่ละวันก็มีเรื่องให้จัดการมากมาย ฉะนั้นก็เลยคิดว่าถ้ายังใช้เวลาหมดไปกับการแก้ปัญหาและประชุมอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เราอาจจะไม่ได้พัฒนาตัวเองมากพอ
จริงอยู่ว่าเราอาจจะพัฒนาในเรื่องของประสบการณ์ แต่เรื่องความรู้มันไม่สิ้นสุด ฉะนั้นเราต้องจัดเวลาให้ตัวเรา กลางวันอาจมีไปเดินห้างบ้าง เพราะร้านเราเปิดในห้าง แต่เวลาเดินห้างก็จะมองร้านโน้นร้านนี่ว่าเขาทำกันอย่างไร ทำไมคนเข้าร้านเยอะ ทำไมร้านนี้คนน้อย สมองมันปิดไม่ได้แต่รู้สึกสนุกกับงานอยู่ตลอด
นอกจากนี้ ผมจะพยายามไปเมืองนอกบ่อย ๆ ไปดูงานบ่อยมาก จะไปญี่ปุ่นบ่อย เพราะญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำไม่ว่าจะเรื่องของอาหาร การออกแบบ และเทคโนโลยี ญี่ปุ่นเป็นผู้นำทั้งนั้น ของดีที่สุดอยู่ที่ญี่ปุ่นหมด ปีหนึ่งจะไปญี่ปุ่น 3-4 ครั้ง ส่วนยุโรปก็จะมีไปบ้าง แต่ช่วงนี้ไม่บ่อย เพราะหาเวลาไม่ค่อยได้ไปทีต้องไปหลายวันถึงจะคุ้ม
ถ้าอยู่เมืองไทย พอเลิกงานถึงบ้านช่วงเวลากลางคืนจะเป็นเวลาที่เงียบ ทุกอย่างสงบ ทำให้มีสมาธิดีมากเหมาะสำหรับการทบทวน เป็นเวลาคิดและอ่านหนังสือต่าง ๆ
บางทีก็ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้านบ้าง อย่างน้อย ๆ ต้องมีสัก 2-3 ชม. บ่อยครั้งจะประชุมกันในครอบครัวผมจะ พูดคุยกับคุณพ่อทุกคืนเป็นกิจวัตรประจำวันเพราะรู้สึกตลอดว่าโชคดีที่มีอาจารย์อย่างคุณพ่อ หาที่ไหนไม่ได้แล้ว

 


ไม่ท้อแท้และไม่ท้อถอย กำลังใจคือตัวเราเอง
ถ้าเรื่องของการทำงานไม่เคยรู้สึกท้อนะ จะดูคุณพ่อเป็นตัวอย่าง เพราะคุณพ่อผ่านวิกฤตมาเยอะมาก เจอมรสุมเยอะไปหมด วิกฤตการเงินคุณพ่อผ่านมา 2 รอบ ล้มแล้วก็ลุก ผมจะซึมซับสิ่งเหล่านี้จากคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น คำว่าท้อจะไม่มี และไม่รู้จักด้วยสำหรับผม
กำลังใจที่สำคัญสำหรับมาจากคือ ตัวเราเอง ทำธุรกิจระยะทางเป็นหมื่นๆ กิโลมันต้องมีคลุกคลักแน่นอน เมื่อเรารู้อยู่แล้วเราจะไปกลัวทำไม แก้ปัญหานี้ก็มีปัญหาใหม่ ปัญหานี้แก้แล้วก็แก้อีก ลูกน้องมีเราไว้แก้ปัญหาเป็นที่พักพิงของเขา
ฉะนั้น เวลาลูกน้องมีปัญหาหรือถึงผิดเราก็ยินดีที่จะช่วยแก้ แต่ถ้าแก้เสร็จแล้วอย่าผิดอีกเป็นครั้งที่สอง คุณพ่อเคยสอนว่าผิดครั้งแรกคือไม่รู้ ผิดครั้งสองคือโง่
ถ้าถามว่าเหนื่อยหรือท้อแท้กับการทำงานมั้ย ผมไม่รู้จักคำพวกนี้นะ เพราะไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราไม่รู้สึกทุกข์มันก็ไม่ทุกข์ ถ้าคิดว่ามีความสุขเราก็มีความสุขแต่ คนมีความสุขแล้วคิดในแง่ลบก็ทุกข์ คนมีทุกข์แต่คิดในแง่บวกก็สุขใช่ไหมครับ?
ความพอใจในวันนี้ ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่สุขใจที่ได้ทำ
ถ้าถามว่าธุรกิจที่ทำทุกวันนี้ประสบความสำเร็จหรือยัง ผมคงยังตอบไม่ได้ เพราะความสำเร็จที่แท้จริงมันไม่มี เป้าหมายเราปรับไปเรื่อย ๆสูงขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นไม่ได้คิดว่าประสบความสำเร็จแล้วหรืออะไรในธุรกิจนี้ แต่ถ้าถามว่าพอใจมั้ย ก็พอใจ เพราะเห็นแบรนด์ที่เปรียบเสมือนลูกเราเองมันกำลังโตก็เลยรู้สึกว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ชีวิตของผมคือ การทำงาน เราสามารถหาความสุขได้ในงานที่ทำ โดยไม่ต้องไปหาความสุขจากสิ่งอื่น ๆผมและพี่น้องทุกคนไม่ดื่มเหล้าไม่เที่ยวกลางคืนไม่สูบบุหรี่ไม่เล่นการพนัน ฉะนั้นชีวิตทุกวันนี้คืออยู่กับครอบครัวคือที่บ้านกับที่ทำงาน

 

ผู้เขียน : ณัฐกานต์
ช่างภาพ : ป.วรัตม์

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook