เขื่อน ภัทรดนัย เรียนเพื่อรู้วิถีชีวิตต่างแดน
ถ้าพูดถึงนักร้องกลุ่มวัยรุ่นแห่งยุคที่เป็นขวัญใจของวัยรุ่นอยู่ ณ ตอนนี้ เห็นทีคงจะต้องมีหนุ่ม ๆ วงนี้เข้าไปรวมอยู่ด้วย นั่นคือ เคโอทิค (K-OTIC) แห่งค่ายกามิกาเซ่ และหนึ่งในสมาชิกมากความสามารถกับพัฒนาการที่เห็นได้ชัด ที่ครั้งนี้แอบถูกจับมานั่งสัมภาษณ์เดี่ยว นั่นคือหนุ่มหน้าใส เขื่อน-ภัทรดนัย เสตสุวรรณ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้อง เรื่องเต้น เรียกได้ว่าฝีมือไม่เป็นรองใคร แต่ใครจะรู้บ้างเล่าว่าเห็นเอนเตอร์เทนแบบสุดเหวี่ยงอย่างนี้ แต่ดีกรีเรื่องเรียนเบียดกันมาติด ๆ กับการเป็นนักเรียนทุนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (Stamford International University (Thailand) และเมื่อย้อนหลังกลับไป หนุ่มคนนี้เคยไปเยือนต่างแดนมาแล้วด้วยวัยเพียง 13 กับการเป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
คิดต่อโทนิวยอร์ก
ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดครับ อีกประมาณหนึ่งเดือนก็จบแล้ว รับปริญญาช่วงเดือนธันวาคม เป็นเด็กทุนและพรีเซ็นเตอร์ให้มหาวิยาลัยด้วยครับ คือสำหรับทุนนี้ที่ได้จะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยที่เกิน 3 ขึ้นไปตลอด ซึ่งทุนนี้นอกจากเรียนฟรีแล้ว หากจบแล้วใครที่อยากไปเรียนต่อปริญญาโทก็จะมีโครงการส่งไปถึง 30 ประเทศแล้วแต่ว่าใครอยากจะไปเรียนอะไร โดยส่วนตัวเขื่อนเองคิดเรียนโทต่อเมืองนอกเหมือนกันครับ คือจบเดือนหน้า แล้วคุยกับที่บ้านไว้ว่าอยากไปต่อโทที่อเมริกา อยากไปอยู่นิวยอร์ก คิดว่าน่าจะเอ็กซ์ตรีมสนุกสุดแล้ว
จุดเริ่มจากการอยากเที่ยว
สำหรับจุดเริ่มต้นที่คิดไปเมืองนอก ตอนนั้นผมอายุประมาณ 13 ปีครับ ด้วยความที่ช่วงนั้นอยู่ว่าง ๆ ด้วยไม่มีอะไรทำ ประจวบเหมาะกับคุณแม่ถามว่าอยากไปลองสอบชิงทุนดูหรือเปล่า เลยตัดสินใจไปลองสอบดูครับ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ คุณแม่จะเป็นคนช่วยหาให้ด้วยครับ และตอนนั้นเราก็ยังเป็นเด็ก ไม่เคยเดินทาง ก็อยากไปเที่ยวด้วย เลยลองมาสอบชิงทุนดู ปรากฏว่าสอบติดขึ้นมา และบังเอิญไปเจอป๊อปี้ เคโอทิคด้วยครับ ก็สนุกนะครับ ไปอยู่ที่โน่นได้อยู่รวมกับเด็กอีก 6 สัญชาติ
ได้ไปเพราะความอยากลอง
ทุนแรกที่ผมสอบติดและได้ไปนั้นเป็นทุน CISV ได้ไปประเทศอิตาลีช่วงซัมเมอร์ ใช้เวลาในการไปอยู่ประมาณ 2 เดือน ซึ่งทุนนี้เหมือนกับเป็นการไปเพื่อเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเพื่อนต่างชาติครับ
ก่อนที่จะได้ไปอิตาลีต้องไปเข้าค่ายร่วมกับเด็กพันกว่าคนก่อน เขาจะเลือกเด็กจากจำนวนนั้น 5 คน เพื่อให้เป็นตัวแทนประเทศไทย ซึ่งทางค่ายเขาจะคอยดูว่าเด็กคนไหนกล้าแสดงออกขนาดไหน ภาษาดีขนาดไหนและความรู้ทางด้านวัฒนธรรมดีขนาดไหน ตอนที่ติดไม่คิดว่าจะได้ เหมือนไปลองขำ ๆ แค่ไปอยู่ค่ายกับเพื่อนก็สนุกแล้ว พอกลับมาเขาก็โทร.มาให้ไปสัมภาษณ์ แล้วเราเป็นเด็กระยองด้วย เลยคิดว่าเด็กต่างจังหวัดอย่างเราจะได้เหรอ ปรากฏว่าติดเลยได้ไปครับ
เตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง
ก่อนที่จะไปจะมีคนมาคอยแนะแนวให้ครับว่าเราควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องของที่นำไปตอนนั้นก็ยังไม่ได้แต่งตัวอะไรมาก จำได้ว่าเอาเสื้อผ้าไปไม่เยอะ และก็พกโฟมล้างหน้าไปครับ (ขำ) คือกระเป๋าน้ำหนักประมาณ 10 กิโลฯ จะมีกางเกงเลที่เราเตรียมไว้สำหรับไปแลกกับเพื่อนต่างชาติอยู่ 5 กิโลฯ และมาม่าต้มยำกุ้งอีก 2 กิโลฯ คือเพื่อนต่างชาติจะชอบมากครับ
ก้าวแรกสู่ต่างเมือง
หลังจากที่เตรียมของเตรียมตัวเสร็จสรรพ พร้อมขึ้นเครื่องแล้ว บอกได้เลยว่า ช่วงวัยเด็กตอนนั้นกลัว บนเครื่องบินเห็นมีแต่เด็ก ๆ ตอนเครื่องขึ้นเกร็งนิดหนึ่งเพราะในชีวิตไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย แอร์พอร์ตคืออะไรก็ยังไม่รู้ และเราเองไม่เคยไปอยู่ยุโรป คือไม่เคยไปแถบนั้นเลยครับ พอไปถึงมันก็หนาวครับ แล้วเราไม่ได้นอนโรงแรม ไม่ได้นอนบ้านโฮสต์ นอนในโบสถ์ แต่ก็แอบรู้สึกสนุกและได้ความรับผิดชอบกลับมาเยอะมาก เรื่องของวัฒนธรรมกินนอนของเขาไม่เหมือนกับเรา อย่างเราเปิดแอร์ เขาเปิดฮีตเตอร์ เรากินข้าว เขากินพาสต้า สปาเกตตี เช้ากลางวันเย็น ครั้งนั้นก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างครับ และที่อิตาลีจะมีคอร์สเรียนภาษาครับ คอร์สเรียนที่นั่นก็สนุกดีนะ ซึ่ง 6 ประเทศที่นั่งเรียนกันก็ไม่มีใครรู้ภาษาอิตาลี พูดยากมากครับ สับสน แต่ตอนนั้นที่รู้สึกได้คือความสนุกที่อยู่กับเพื่อน
คิดถึงบ้านจุดเชื่อมของการไปต่อ
การไปอิตาลีครั้งนั้น เรื่องของการปรับตัว เกิดอาการเคาเจอร์ช็อกอยู่พักหนึ่ง แต่เด็กอีกหลายคนหลายชาติเขาคงงงเหมือนกัน แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วมันสนุก ช่วงภาวะความลำบากเกิดขึ้นตอนช่วงหลัง ๆ ครับ คือเริ่มคิดถึงบ้าน อยากกลับเมืองไทย คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ แต่สุดท้ายแล้วก็คือสนุก เป็นจุดที่ทำให้ทำทุนไปต่ออีก 2 ประเทศครับ คือ ญี่ปุ่นและจีน
ญี่ปุ่น..การเดินทางครั้งที่สอง
สำหรับการเดินทางครั้งที่สองของผม ผมสามารถสอบชิงทุนไปญี่ปุ่นได้ครับ โครงการนี้กับอิตาลีจะใกล้ ๆ กัน แต่ตรงนี้จะต่างตรงที่เราไปอยู่ญี่ปุ่นสองเดือน และเขาก็มาอยู่กับเราสองเดือน ตอนเขามาผมก็พาไปเที่ยวทะเล ตอนเราไปเขาก็พาไปใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่น ไปอยู่กับครอบครัวที่นั่นเลย เขื่อนไปอยู่ที่ฮานากาว่า คือไปไหว้พระญี่ปุ่น เรียนรู้การชงชา เวลาที่อากาศหนาว ๆ จะเห็นคุณตาคุณยายนั่งอยู่ในโต๊ะที่เป็นฟูก
และทุกคนจะตื่นเช้า หลังบ้านมีสวนผัก เก็บผักมาทำอาหารเช้า คือตัวเราไม่เคยทำแบบนั้นเลย พอไปอยู่ที่โน่นก็สนุก ได้เรียนรู้อะไรเยอะ ได้นอนฟูกญี่ปุ่นจริง ๆ กำแพงก็เป็นกระดาษจริง ๆ ครับ และเราได้ทำเหมือนที่เขาทำทุกอย่าง เราเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเลยครับ
จีน..การเดินทางที่โตขึ้น
การเดินทางต่อมาคือประเทศจีน ซึ่งได้ทุนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเหมือนกัน เมืองที่ไปคือกวางโจ ช่วงนั้นจะโตขึ้นมาอีกหน่อย อายุประมาณ 15 ปี ครั้งนี้ที่ไป ที่นี่จะแตกต่างจากก่อนหน้านี้ตรงที่เมื่อเราไปถึงเราต้องไปจัดงานให้คนที่โน่นเขามาดูเรา ถือว่าเป็นงานใหญ่อยู่เหมือนกัน ใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณเดือนครึ่งครับ ซึ่งทางนั้นเขาจะจัดให้เราพักอยู่ที่โรงเรียนประจำครับ
ความแตกต่างที่ได้ประโยชน์
สำหรับความแตกต่างระหว่างอยู่ที่บ้านกับต่างประเทศนั้น อย่างแรกเลยคือ เราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ยกตัวอย่างที่ญี่ปุ่น ไปอยู่กับครอบครัวที่เราไม่เคยเจอ คือเรามาจากเมืองไทย ก็ต้องทำให้ดูดีหน่อย ไปถึงเราก็เรียบร้อย ช่วยเขาล้างจาน ซักเสื้อผ้า แล้วก็ตื่นเป็นเวลา ต้องทำตามเวลาของเขา ทุกอย่างเป็นไปตามเวลาที่นั่นเขามีระเบียบวินัย จะเข้มงวดเรื่องเวลามาก คือถ้ารถไฟมาบ่าย 3โมง ก็ต้องบ่าย 3 โมง ถ้าเราช้าวันนั้นตารางเวลาก็จะรวนไปทั้งวันครับ แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากตรงนั้นคือมีความมั่นใจมากขึ้น ในเรื่องของภาษา ความรับผิดชอบ และการได้เพื่อนใหม่ ๆ ถือว่าเป็นกำไรชีวิต เป็นพอร์ตที่ดีครับ และการไปแบบนี้มันฝึกตัวเราหลายอย่างนะ กลับไปบ้านก็ต้องไปติวภาษา คือมันเป็นโครงการที่ดีในชีวิต ถ้าน้อง ๆ คนไหนว่างก็อยากให้ลองทำดูครับ
ท้ายสุดฝากถึงน้อง ๆ ต้องบอกก่อนว่าเมืองไทยเราโชคดีมีองค์กรซับพอร์ตเรื่องพวกนี้เยอะนะครับ ก็ให้น้อง ๆ หาไปเรื่อย ๆ จะมีทุนแบบนักกีฬา ทุนเรียนเก่ง และอีกหลากหลายทุน หรือน้อง ๆ ที่อยากไปเอง ก็อยากให้ไปนะครับ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่เราจะได้ไปเรียนรู้วิถีชีวิตผู้คนครับ