กรรมที่ทำให้เก็บเงินไม่อยู่

กรรมที่ทำให้เก็บเงินไม่อยู่

กรรมที่ทำให้เก็บเงินไม่อยู่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อาการที่เรียกกันว่า “ กระเป๋ารั่วเก็บเงินไม่อยู่” เข้ามือซ้ายออกมือขวานั้น เชื่อว่าหลายท่านคงจะประสบปัญหานี้ทั้งๆ ที่บางคนมีอุปนิสัยในการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด แต่เงินกลับไม่ค่อยเหลือมีเหตุสุดวิสัยให้ต้องจ่ายเงินออกไปอยู่ตลอดนั้น พบเห็นกันมากมาย ซึ่งขอให้พิจารณาจากกรรมเก่าและกรรมใหม่เป็นลำดับขั้นดังนี้

เหตุจากกรรมเก่า
กรรมในลักษณะนี้อาจเป็นเพราะในอดีตชาติหรือแม้แต่ภพชาติปัจจุบัน ต้องเคยไปหยิบยืมเงินใครมา แล้วไม่ยอมใช้คืนทำให้เจ้าของเขาเป็นทุกข์ร้อนและอาฆาตพยาบาทด้วยเหตุที่ยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้คืน หรือ เคยทุจริตเงินทองของคนอื่น เช่นไปหลอกลวงเขา หรือให้เขาเสียผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาควรจะได้ก็แอบไปเบียดบังมา เอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตนโดยไม่ขออนุญาตเขาเสียก่อน คนที่ทำงานราชการจะเป็นกันมากที่ชอบเอาของหลวง อย่างพวกที่ทำงานโรงพยาบาลที่เอาสำลี ยามาใช้ที่บ้านหรือใช้น้ำมันหลวงมาใช้ส่วนตัว

หรือชอบโกงเวลานายจ้าง งานเข้า 8 โมงก็มา 8โมงครึ่งแบบตั้งใจมาสายโดยไม่มีเหตุอันควร เวลาเลิกงาน 5 โมง แค่เกินมา 1 นาทีก็ไม่ได้ต้องรีบออกมาก่อน แอบเล่นอินเตอร์เน็ต แอบเล่นโปรแกรมต่างๆ เช่นพวกทวิสเตอร์ เฟซบุ๊ค ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับงานเลย เมื่อมีคนอื่นเห็นก็รีบปิดหน้าจอ ทำเป็นแกล้งทำงานอยู่

แอบใช้เวลาทำงานไปทำธุระส่วนตัวแล้วอ้างว่าไปทำงานให้บริษัท ทำทุกอย่างเพื่อเอาเปรียบนายจ้างทั้งๆ ที่เขาให้โอกาสให้เงินเลี้ยงชีวิต ซึ่งส่วนมากจะตอบว่า ฉันไม่ได้เงินมาฟรีๆ แต่ฉันทำงานแลกเปลี่ยน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่อยากถามหน่อยว่า เราทำงานคุ้มค่ากับเงินที่นายจ้างให้หรือไม่ พิจารณาให้ดีในข้อนี้ถ้าไม่อยากสร้างกรรมมาหน่วงตัวเองไว้ไม่ให้เจริญหรือไม่มีเงินจะใช้จ่ายแบบที่ต้องการ แม้แต่ทางโลก คนที่มีนิสัยเอาเปรียบแบบนี้คงยากที่จะได้รับการส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าได้

บางคนแอบหลอกเบิกเงินเจ้านายเกินจริงหรือคดโกงเงินส่วนรวม ยิ่งเป็นเงินของแผ่นดิน บอกได้คำเดียวว่า ต่อให้มีเงินพันล้านก็หมดพันล้านหรืออาจจะหมดมากกว่านั้นเพราะเป็นดอกเบี้ยกรรม อย่างอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่วันนี้เข้าใจในธรรม เข้าใจในเรื่องของกรรมและรู้ตัวสำนึกผิดแล้ว ออกมาเปิดเผยว่าเคยสร้างกรรมของแผ่นดินไว้มากมายหากินกับโครงการต่างๆ แม้ทำให้มีเงินมาก แต่สุดท้ายเก็บเงินบาปนั้นไม่อยู่ ไม่ว่าจะเอาไปซ่อนไปแอบที่ไหนตำรวจก็ตามไปเจอยืดกลับมาได้ สุดท้ายต้องถูกจับติดคุก พ้นคุกออกมาแล้วก็สำนึกผิดบวชกินข้าวแค่มื้อเดียว เดินตามรอยพระพุทธองค์ ที่เป็นทางสว่างแห่งแท้จริง

หรือเด็กบางคนที่มีนิสัยชอบโกหกพ่อแม่ บอกขอเงินจะเอาไปทำอย่างหนึ่งแต่กลับไปใช้อีกอย่างหนึ่งเช่น ขอเงินพ่อแม่ไปจ่ายค่าเทอมแต่ขอมากกว่าค่าเทอมจริง ตั้งใจหลอกพ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อเอาส่วนที่เหลือไปเที่ยวเล่นหรือใช้จ่ายส่วนตัว หรือเอ่ยปากขอยืมรถของพ่อแม่ไป บอกท่านว่าจะเอาขับไปเรียนหนังสือแต่ ถึงเวลากลับไม่เรียนขับรถหนีเที่ยว แบบนี้ก็เป็นทุจริตกรรม ย่อมมีผลให้ชาตินี้ทำให้ปัจจุบันนี้เราจึงมีปัญหาเรื่องเงินทอง เก็บเงินไม่อยู่ เป็นหนี้สิน หากเป็นกรรมที่หนักมาก ๆ ก็อาจล้มละลาย ถูกหลอก ถูกโกง ถูกเอาเปรียบเรื่องเงิน เสียผู้เสียคนยิ่งมีกรรมด้านอื่นด้วยแล้ว จะยิ่งหนักอีกหลายเท่า

หรือในอดีตเคยทำแท้งหรือมีส่วนร่วมในการทำแท้งคือ ให้เงินคนอื่นไปทำแท้งทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ถ้ารู้แล้วยังให้เงินไปอีก รับรองว่ากรรมทางการเงินจะหนักมากเพราะ ถือเป็นการสนับสนุนการฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐอย่างเด็กทารก ทำให้วิญญาณนั้นตามอาฆาตทำให้ต้องเดือดร้อนที่เหตุก็คือ เมื่อใช้ทรัพย์เพื่อฆ่าผู้อื่นตนเองก็ต้องเดือดร้อนเพราะทรัพย์คือหามาเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเก็บทรัพย์ได้มีเหตุให้ต้องจ่ายทรัพย์หรือเสียเงินตลอดเวลา แม้ว่าในชาตินี้ไม่เคยทำแท้งหรือมีส่วนร่วมใดๆ แต่กรรมนั้นอาจจะมาจากในอดีตชาติที่เราไม่สามารถระลึกได้ จึงควรทำการแก้ไขเสียอย่าประมาท

เหตุจากกรรมใหม่
กรรมใหม่นั้นยังพอที่จะหาสาเหตุได้ง่ายกว่ากรรมเก่าในเรื่องของกรรมที่ทำให้เก็บเงินไม่เคยอยู่นี้ โดยขอกล่าวถึงในแง่นิสัยส่วนตัวเสียก่อน บางคนเก็บเงินไม่อยู่เองก็เพราะนิสัยชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้เงินมาก็เอาไปใช้หมดเพื่อสนองปรนเปรอกิเลสตนเอง ถือความปรารถนาตนเองเป็นที่ตั้งเสมอเนื่องจากในวัยเด็กอาจถูกเลี้ยงดูมาจนเคยตัว พ่อแม่ตามใจจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของเงิน ไม่รู้จักการเก็บออม

วิธีแก้ไขในทางโลก
การแก้ไขเรื่องนี้ต้องฝึกและแก้ที่ “ใจ” ก่อนอื่น เพราะใจที่หมกมุ่นในวัตถุภายนอกทำให้เกิดปัญหา โดยฝึกระงับความต้องการและต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเคยชอบที่จะออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นประจำ ข้าวที่บ้านวัน ๆไม่เคยแตะ ก็ลองเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหันมาประหยัดขึ้น ลองซื้อมาทำเองปรุงเองที่บ้านและรับประทานพร้อมหน้าพร้อมตากัน หากลองทำบัญชีรับจ่ายในครอบครัวหรือบัญชีส่วนตัวก็จะพบว่าเงินที่เคยเสียไปกับเรื่องค่าอาหารนอกบ้านในแต่ละเดือนนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการทำอาหารกินเองจะประหยัดและมีเงินเหลือมากแค่ไหน นี่กรณีของการฝึกประหยัดและเก็บเงินระมัดระวังเงินไม่ให้รั่วไหลทางหนึ่ง และยังได้สร้างความรักความเข้าใจในครอบครัวมากขึ้น

แต่ทว่าบางคนแม้จะกระทำแล้วก็พบว่า ประหยัดรายจ่ายขึ้นมาได้ไม่มากนักเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะได้ลาภมาอย่างเช่น ถูกหวยหรือบางคนเคยมาถึงเวลาที่บุญนั้นส่งผล ถูกหวยรางวัลใหญ่ๆ หรือมีโชคจากการทำงานมีลาภก้อนใหญ่ก็ยังไม่สามารถเก็บเงินได้ ก็ขอให้ลองเปลี่ยนวิธีเก็บเสียใหม่

เช่น ขอให้เอาเงินที่ได้มาไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่นบ้าน ที่ดิน เก็บไว้ เรียกว่าโยกย้าย แปรรูปทรัพย์ให้เป็นทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้แทน ซึ่งวิธีนี้เป็นการช่วยลดรอยรั่วของเงินที่จะสูญเสียไปได้มากทางหนึ่งหรือถ้าหากทำไม่ได้จริง ก็ขอให้คนอื่นที่ไว้ใจเก็บเงินแทนเรา เพราะเขาผู้นั้นมีพลังบุญบารมีเรื่องนี้มากกว่าคือเป็นคนที่ไม่เคยทำกรรมที่ทำให้ผู้อื่นเสียเงินมาก่อน ซึ่งเป็นวิธีอีกหนึ่งวิธีในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ บางครอบครัวให้สามีหรือภรรยาเป็นผู้เก็บเงินแทน เพราะจะได้ไม่รั่วไหลง่าย

วิธีแก้ไขในทางธรรม
การแก้ไขในทางธรรมนั้นต้องทำควบคู่กันและควรจะทำให้เป็นประจำอย่างเข้มข้นคือให้หมั่นออกไปทำทานตามกำลังทรัพย์ที่มี ขอเน้นอีกครั้งว่า ให้ทำทานตามกำลังทรัพย์ที่มี โปรดอย่าไปคิดว่าต้องทำทานด้วยเงินมากๆ แล้วจะได้ผลเร็วๆ เช่น เมื่อเรามีโอกาสไปทำบุญที่วัด ก็เอาเงินหยอดใส่ตู้บริจาคที่วัด จะเป็นเงินมากน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่เงินบริสุทธิ์ ใจที่ศรัทธาบริสุทธิ์ แม้นว่าหน้าตู้จะเขียนว่านำไปทำประโยชน์อย่างอื่น ก็ให้อธิษฐานขอให้เงินที่บริจาคไปนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ให้เป็นประโยชน์ของสงฆ์ทั้งปวง หรือทำทานช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายพยายามทำให้บ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิม

หรือจะทำบุญถวายสังฆทานที่วัดก็ได้ โดยขอให้ทำให้บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่บังคับหรือฝืนฐานะของตัวเองที่จะสังฆทานในแต่ละครั้ง การทำสังฆทานที่วัดนั้นสำหรับคนที่เคยทำแท้งหรือมีส่วนร่วมนั้น ควรถวายบ้านหลังเล็กๆ และเสื้อผ้า ขวดนมของเล่นเด็กไปให้ลูกที่ตายด้วย เพื่อให้เขาได้รับเป็นของทิพย์ได้ใช้ในภพภูมิของเขาและให้อโหสิกรรมให้กับเรา และถอนตัวจากอุปสรรคต่างๆ ที่เขาขวางเอาไว้ช่วยเปิดทางให้เงินทองความสุขความเจริญไหลเข้าสู่ชีวิตตามบุญที่เราทำมา
ภายหลังการทำทานในแต่ละครั้งแล้ว ก็ขอให้ตั้งจิตเป็นกุศลนึกถึงบุญที่ทำมาทั้งหมด ยิ่งนึกถึงได้มากก็ยิ่งดี แล้วอธิษฐานจิตว่า
“หากข้าพเจ้าเคยมีกรรมเกี่ยวกับเรื่อง เงินทอง กับผู้ใด หรือ เคยทำทุจริต นำเงินทองใครมาโดยไม่ชอบธรรมในอดีตที่ผ่านมาทั้งที่ข้าพเจ้าจำได้หรือจำไม่ได้ก็ดี ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ด้วยผลแห่งทานที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในครั้งนี้ ขอให้หมดเวรหมดกรรมเรื่องเงินทองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด”

เคล็ดลับสำคัญมากอีกประการหนึ่งที่จะช่วยเหลือเราให้พ้นจากเหตุเรื่องเสียเงินเก็บเงินไม่อยู่นี้มากก็คือ เรื่องของการรักษาศีลให้ครบทุกข้อโดยเฉพาะศีลข้อที่ 2 และศีลข้อที่ 4 เพราะเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เราเสียทรัพย์และความน่าเชื่อถือ
โดยเฉพาะข้อที่ 4 เรื่องการพูดโกหกเพื่อให้ได้ทรัพย์หรือพูดฉ้อฉลเพื่อให้ได้ประโยชน์ส่วนตนมากที่สุด เป็นสิ่งที่ต้องเลิกกระทำทันที นอกจากจะเป็นการป้องกันไม่ให้เราเสียทรัพย์เพิ่มแล้วยังเป็นทางมาแห่งทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกด้วย การรักษาสัจจะ รักษาคำพูดนั้นจะเป็นการสร้างบารมีให้กับตนเองที่ดีที่สุด เป็นการสร้างเครดิตให้กับตัวเองด้วยการกระทำที่ถูกต้องที่สุด

สำหรับคนที่ทำมาค้าขาย เรื่องของการมุสา การโกหกนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเราไม่รู้คิดว่าไม่เป็นอะไรแต่ที่จริงกรรมทางวาจานั้นจะไปขวางไม่ให้ทำการค้าเจริญ อย่างเช่น มีลูกค้าถามว่าลดราคาอีกได้ไหม เราก็โกหกไปว่าลดราคาไม่ได้แล้ว เท่านี้ก็ขายขาดทุนแล้วหรือต้นทุนมันสูงได้กำไรหน่อยเดียว หรือซื้อมาเท่านั้นเท่านี้ ทั้งๆ ที่ไม่จริงเรารู้อยู่แก่ใจ แต่โกหกเพื่ออยากจะได้กำไรมากๆ ให้เปลี่ยนวิธีพูดเสียใหม่ว่า ลดได้เท่านี้จริงๆ ขายพอมีกำไรเลี้ยงครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องบอกจำนวนหรอกว่าเรามีกำไรเท่าไร แต่ถ้าลดได้ไม่เดือดร้อนก็ลดไปเถอะ ยิ่งทำให้ลูกค้ามีความพอใจมีความผูกพันกัน

มีเคล็ดอยู่ข้อหนึ่งที่จะทำให้เงินทองหลั่งไหลมาสู่กิจการค้าขายตลอดเวลา เราตั้งใจลดราคาให้ลูกค้าทุกครั้งโดยที่ลูกค้าไม่ต้องมาต่อรองราคาเลย เพื่อสร้างบุญก็จงทำเถิด เพราะจะเกิดผลดีมาก เช่น เราขายเสื้อตัวละ 200บาท แต่เราอยากทำบุญกับลูกค้าอยากทำบุญกับอาชีพของเราเอง เราก็ลดให้อีก 5 บาททุกตัวเป็นเหลือ 195 บาท มีคนลองเอาไปทำแล้วกิจการเจริญแบบผิดหูผิดตาทันตาเห็นเลย

สำหรับน้องๆ ลูกหลานๆ หรือคนที่ในอดีตเคยโกหกพ่อแม่เรื่องเงินทอง พ่อบอกให้เอาไปใช้เรื่องนี้แต่กลับไปใช้อีกอย่างหนึ่ง ก็ขอให้เปลี่ยนพฤติกรรมการพูดและหัดซื่อตรงให้มากขึ้น เมื่อมีความซื่อสัตย์ทั้งในคำพูดและการกระทำ ผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่า หรือเป็นผู้ใหญ่กว่าก็จะให้ความเอ็นดูช่วยเหลือยิ่งขึ้นด้วย และจากที่เคยต้องจ่ายเงินเพื่อการใดการหนึ่งมาก เมื่อมีคนมาช่วยก็จะทำให้ลดภาระรายจ่ายไปได้ อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา เฟชบุ๊ค ธรรมะกับมนุษย์

สุดท้ายคือการหมั่นเจริญภาวนาอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอยู่ให้บ่อยที่สุดจากนั้นให้อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เหล่าเจ้ากรรมนายเวรด้วยบทอธิษฐานอุทิศส่วนบุญกุศลและแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำ ก่อนที่จะแผ่เมตตาให้กับคนอื่น ต้องเผยเมตตาให้ตนเองด้วย จะได้มีพลังมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่เคยมีส่วนร่วมหรือเคยไปทำแท้งมา ซึ่งควรกระทำบ่อยๆ ส่วนจะหมดเวรหมดกรรมเมื่อไหร่นั้น ก็ดูที่ผลแห่งวิบากกรรมนั้นจะหนักหนาแค่ไหน คือดูจากความยากลำบากในชีวิตปัจจุบัน

ถ้าปัจจุบันยังลำบากมากก็คือกรรมยังหนักอยู่มาก ก็อาจต้องทำบ่อยมากขึ้นอย่าท้อถอย ขอให้เชื่อในพลังแห่งบุญ ที่ยังลำบากอยู่ก็เพราะวิญญาณอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรนั้นยังคงมีอยู่และมีความรุนแรง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้สร้างบุญอยู่เป็นประจำเช่นนี้แล้วจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด บุญของตัวเราก็จะเพิ่มขึ้น ความเดือดร้อนต่างๆ จะบรรเทาเบาบางลง เงินทองเริ่มเก็บได้เป็นกอบเป็นกำ เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้แล้วแสดงว่า เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอาจจะผ่อนปรนให้อภัยแล้ว แต่ก็ต้องกระทำบุญส่งบุญต่อไปให้ต่อเนื่องเป็นประจำเพราะเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้นมีมากมาย เราอาจพลั้งเผลอไปสร้างเจ้ากรรมนายเวรขึ้นมาใหม่ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
การจะทำชีวิตให้ดีนั้นต้อง”ซ่อม”และ ”สร้าง” ไปพร้อมๆ กัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook