ทำกรรมใดไว้ ถึงต้องกลายเป็น “เปรต”

ทำกรรมใดไว้ ถึงต้องกลายเป็น “เปรต”

ทำกรรมใดไว้ ถึงต้องกลายเป็น “เปรต”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“เปรต” หรือ “ผีเปรต” เป็นผีที่น่ากลัว ติดอันดับต้นๆ ของผีไทยทุกประเภทเลยก็ว่าได้ เพราะรูปร่างสูงใหญ่เสียดฟ้า แขนยาว มือเท่าใบลาน ผอมโซ ตาโปน และปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความทรมาน และคอยปรากฏตัวตามงานบุญต่างๆ เพื่อขอส่วนบุญ เป็นใครก็คงไม่อยากตายไปแล้วกลายเป็นเปรตอย่างแน่นอน


ทำกรรมอะไร ถึงกลายเป็นเปรต

เปรต มี 12 ประเภท แต่ละประเภททำกรรมไว้ต่างกัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากกรรมจากความโลภ และเห็นแก่ตัว ตระหนี่ขี้เหนียว


1. วันตาสาเปรต

เปรตเหล่านี้เห็นมนุษย์ถ่มเสลด น้ำลายออกมา ต่างตื่นเต้นดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดเป็นอาหาร กินแล้วยังหิวโหยเช่นเดิม จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น

ชาติก่อนเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในประเภทนี้

2. กุณปขาทาเปรต

ชอบซอกซอนหาซากศพสัตว์อึดเน่าเหม็นกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย

ชาติที่เป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยความปรารถนาจะแกล้งประชด ไม่เคารพในทาน จึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้

3. คูถขาทาเปรต

เปรตชนิดนี้ชอบเที่ยวแสวงหาอุจจาระของสิ่งมีชีวิตกินเป็นอาหาร

ตอนเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอข้าว ขอน้ำดื่ม จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แล้วยังขับไล่ไสส่งให้ไปกินมูลสัตว์ ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดนี้

4. อัคคิชาลมุขาเปรต

เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างผอมโซ มีเปลวไฟแลบออกมาจากปากตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน ไฟไหม้ปากไหม้ลิ้นเจ็บแสบเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องไห้ครวญครางไปไกลถึงร้อยโยชน์ พันโยชน์

ตอนเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่ขี้เหนียวอย่างมาก เมื่อมีใครมาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบ จะได้เลิกมาขอ เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการทำทาน

5. สุจิมุขาเปรต

เปรตประเภทนี้ มีเท้าทั้งสองใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม

ตอนเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหาร ก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ

6. ตัณหาชิตาเปรต

เปรตเหล่านี้จะเดินตระเวนท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ เพื่อหาอาหาร เมื่อมองไปเห็นสระ บ่อ ห้วย หนอง ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ครั้นไปถึงแหล่งน้ำนั้น กลับกลายเป็นสิ่งอื่น

ตอนเป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อ ปิดหม้อ ไม่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน

7. นิชฌามักกาเปรต

เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างเหมือนต้นเสาหรือต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อย ริมฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง ฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง ยืนทื่ออยู่ที่เดิมไม่ท่องเที่ยวไปไหนเหมือนเปรตชนิดอื่น

ตอนเป็นมนุษย์ เป็นคนใจหยาบ เห็นผู้มีศีลก็โกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่า ท่านเหล่านั้นจะมาขอของตน จึงแสดงกิริยาอาการเยาะเย้ยถากถาง ขับไล่คนเหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเพราะความชรา แกล้งให้ท่านตกใจจะได้ตายไวๆ ตัวเองจะได้ครอบครองสมบัติ

8. สัพพังคาเปรต

เปรตประเภทนี้ มีร่างกายใหญ่โต เล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบและงอเหมือนตะขอ ก้มหน้าก้มตาตะกายข่วนร่างกายตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินเลือดเนื้อของตนเองเป็นอาหาร

ตอนเป็นมนุษย์ชอบขูดรีดชาวบ้าน เอาเปรียบผู้อื่น หรือบางครั้งชอบรังแกหยิกข่วนบิดามารดา หรือทำร้ายคู่ครองของตนเอง

9. ปัพพตังคาเปรต

เปรตประเภทนี้ มีร่างกายใหญ่เหมือนภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสวด้วยเปลวไฟ กลางวันเป็นควันล้อมรอบกาย ถูกไฟเผาคลอก นอนกลิ้งไปมาทุรนทุรายเหมือนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่า โศกเศร้าร้องไห้ตลอดเวลา

ครั้งเป็นมนุษย์ได้เอาไฟเผาบ้าน เผาโรงเรียน เผากุฏิ วิหาร เป็นต้น

10. อชครเปรต

เปรตประเภทนี้ มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉาน เช่น มีรูปร่างเป็นงูเหลือม เป็นเสือ เป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย เป็นต้น แต่จะถูกไฟเผาไหม้ทั่วร่างกายทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา

ครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เมื่อเห็นผู้มีศีลมาเยือน ก็ด่าเปรียบเปรยท่านว่า เหมือนเป็นสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ เพราะไม่อยากให้ทาน หรือแกล้งล้อเลียนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ

11. เวมานิกเปรต

เปรตประเภทนี้จะมีสมบัติ คือ วิมานทองอันเป็นทิพย์ บางตนจะเสวยสุขราวเทวดาในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนจะเสวยทุกข์ที่เกิดจากความตระหนี่ในทรัพย์ บางตนเสวยสุขเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะเสวยทุกข์ ตามสมควรแก่กรรม

ครั้งเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ หรือเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว แล้วไม่มีศรัทธาในการสร้างบุญกุศลอื่น และมีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป แม้รักษาศีลก็รักษาแบบเสียไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจรักษา

12. มหิทธิกาเปรต

เปรตประเภทนี้ เป็นเปรตที่มีฤทธิ์และรูปงามดุจเทวดา แต่ว่าอดอยากหิวโหยอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมือนเปรตชนิดอื่นๆ จะเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อพบมูลสัตว์ หรือของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร

ครั้งเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุสามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงมีรูปงามผุดผ่องราวเทวดา แต่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญธรรมตามวิสัยของบรรพชิต จิตใจจึงมากไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ

ถึงแม้เปรตในความเชื่อของคนไทยจะดูน่ากลัว และเหลือเชื่อสำหรับพุทธศาสนิกชนบางคน แต่หากเราประพฤติตัวอยู่ในศีลในธรรม และมีจิตกุศล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ยากไร้ มีจิตสงสารและเห็นใจ เวทนาต่อผู้ที่มาขอความช่วยเหลือ และอิ่มเอมใจที่ได้เสียสละให้สิ่งที่ตนมี หวังเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ของคนอื่นที่พึงได้ เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าตายไปจะทุกข์ทรมาน กลายเป็นเปรตอันน่ากลัวแน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก tammathai.exteen.com 
ภาพประกอบจาก horrorthai.com 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook