คิดตามธรรม แก้อาการจิตตก เมื่อรู้สึกหดหู่เศร้าใจจากเหตุการณ์ในข่าว

คิดตามธรรม แก้อาการจิตตก เมื่อรู้สึกหดหู่เศร้าใจจากเหตุการณ์ในข่าว

คิดตามธรรม แก้อาการจิตตก เมื่อรู้สึกหดหู่เศร้าใจจากเหตุการณ์ในข่าว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คิดตามธรรม แก้อาการจิตตก เมื่อรู้สึกหดหู่เศร้าใจจากเหตุการณ์ในข่าว

เมื่อเหตุภัยความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมมากขึ้นขณะที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการรับรู้ข่าวสารที่โศกเศร้าสะเทือนใจ ส่งผลให้สภาพจิตใจของผู้คนมากมายซึมซับความหดหู่จนรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมาก ยิ่งผู้ที่ประสบการณ์ร่วมกับเหตุสะเทือนขวัญยิ่งรู้สึกถึงความสูญเสียและความเจ็บปวด ความรู้สึกเหล่านี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจและปรับใจตนเองเป็นอย่างยิ่ง

ทำอย่างไรเมื่อรู้สึกหดหู่และจิตตก

ความรู้สึกหดหู่และจิตตกมากจากการรับข่าวสารเหตุการณ์ที่น่าเศร้าและน่าสะเทือนขวัญ แม้ไม่ใช่ความสูญเสียและความเจ็บปวดเพราะกระทบกับตนหรือครอบครัวโดยตรง แต่ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเศร้า เสียใจ หรือกลัว เมื่อทราบข่าว คำแนะนำเบื้องต้นเหล่านี้อาจช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

  • อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกเศร้าและเสียใจ เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกแบบนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น อย่าพยายามเก็บกดความรู้สึกของคุณเอาไว้
  • พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ พูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณกับคนที่คุณไว้ใจ เช่น เพื่อน ครอบครัว หรือนักบำบัด จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นและได้กำลังใจจากผู้อื่น
  • ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้คุณรู้สึกมีพลังและดีขึ้น
  • เปลี่ยนโฟกัสจากการติดตามข่าวสาร หันมามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ใช้เวลากับธรรมชาติ หรือทำกิจกรรมที่คุณชอบ

นอกจากนี้ คุณสามารถช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์กราดยิงได้อีกด้วย เช่น บริจาคเงินหรือสิ่งของให้กับองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือเหยื่อ หรืออาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นต้น การทำสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกมีความหมายและมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อื่น

ข้อคิดทางธรรมช่วยให้ใจสงบ แก้อาอาการจิตตก

สำหรับผู้ต้องการความสงบทางจิตใจ เหตุการณ์ที่ยากลำบาก หลักคิดทางธรรม หรือธรรมะสอนใจสามารถช่วยเยียวยาจิตใจผู้คนได้เสมอ เหล่านี้อาจช่วยให้คุณสามารถนำมาปรับใช้เพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้นจากเหตุการณ์ในสังคมได้

  • ความทุกข์เป็นธรรมดา ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ การรับรู้เหตุการณ์ที่น่าเศร้าและน่าสะเทือนขวัญ เป็นเหตุอันควรที่จะรู้สึกเศร้า เสียใจ หรือกลัว คุณยอมรับความทุกข์นี้และอย่าพยายามเก็บกดเอาไว้
  • ความทุกข์เป็นบทเรียน หลายเหตุการณ์อาจทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและความสัมพันธ์ของเรามากขึ้น อาจทำให้เราเห็นถึงด้านมืดของมนุษย์และสังคม และอาจทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น
  • ความทุกข์เป็นโอกาสในการเจริญปัญญา เราสามารถเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ที่ยากลำบากได้ เหตุการณ์เลวร้ายอาจทำให้เราเข้าใจโลกและตัวเราเองได้ดีขึ้น และอาจทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น

แนวทางปฏิบัติการใช้ธรรมนำใจเยียวยาตนเอง

  • ฝึกสติ การฝึกสติช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะและรับรู้ความรู้สึกของเราได้อย่างมีสติ การฝึกสติสามารถทำได้โดยการทำสมาธิ การนั่งสมาธิจะช่วยให้เราใจสงบและผ่อนคลาย และช่วยให้เรารับมือกับความทุกข์ได้ดีขึ้น
  • ฝึกความเมตตา การฝึกความเมตตาช่วยให้เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เราสามารแผ่ความรักและความเห็นอกเห็นใจทั้งผู้ถูกกระทำและผู้ที่ก่อเหตุด้วยได้
  • ช่วยเหลือผู้อื่น การช่วยเหลือผู้อื่นช่วยให้เรารู้สึกมีความหมายและมีส่วนร่วมในสังคม การช่วยเหลือผู้อื่นสามารถทำได้โดยการบริจาคเงินหรือสิ่งของให้กับองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือเหยื่อ หรืออาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นต้น

โกรธแค้นและสาปแช่งผู้ก่อเหตุไม่ใช่ทางออก

อย่างไรก็ตามในหลายสถานการณ์เราต่างเข้าใจดีว่าความรุนแรงนั้นส่งผลให้ประชาชนรู้สึกโกรธแค้นและสาปแช่งผู้ก่อเหตุ เพราะเหตุการณ์นี้สร้างความสูญเสียและความเจ็บปวดให้กับครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเช่นนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น

แต่การโกรธแค้นและสาปแช่งผู้ก่อเหตุอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะอาจนำไปสู่ความรุนแรงหรือทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม ในทางธรรมการสาปแช่งผู้อื่นยังถือเป็นมโนกรรมอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นบาปแรง ก่อเวรไม่จบสิ้น ทั้งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีอดีตใด ที่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ยิ่งจมกับความเจ็บแค้นนานยิ่งไม่ส่งผลดีต่อตนเอง

ดังนั้นแทนที่จะโกรธแค้นและสาปแช่งผู้ก่อเหตุจนบาปติดตัวมาเปลี่ยนเป็นการพยายามเข้าใจสาเหตุของการก่อเหตุ และหาวิธีป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต สิ่งสำคัญคือการร่วมมือร่วมใจกันสร้างสังคมที่ปลอดภัยและปราศจากความรุนแรง เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถเติบโตได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพ

เมื่อทราบถึงต้นตอสาเหตุที่แน่ชัดแล้ว จึงเริ่มปรับใจตนเองและดูแลคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด มิให้ตกเป็นเหยื่อของอกุศลกรรมที่ไร้ซึ่งความเมตตา

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook