การสะกดจิตเสริมชีวิตให้ดีขึ้น และตัวอักษรชื่อที่ปัดเงินออก!

การสะกดจิตเสริมชีวิตให้ดีขึ้น และตัวอักษรชื่อที่ปัดเงินออก!

การสะกดจิตเสริมชีวิตให้ดีขึ้น และตัวอักษรชื่อที่ปัดเงินออก!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“โขมพัสตร์ อรรถยา” เป็นชื่อที่ใช้ในการแสดงภาพยนตร์ ชื่อจริง “อัญชิกา อรรถจินดา” เคยทำงานที่โรงแรมมณเฑียรก่อนเข้าวงการบันเทิง ธอแสดงภาพยนตร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 ถึง พ.ศ. 2522 รวมทั้งสิ้น 100 เรื่อง หลังจากปี พ.ศ. 2522 เธอได้ห่างหายจากวงการบันเทิงไป เพราะแต่งงานมีครอบครัว อีกทั้งหันไปศึกษาศาสตร์เร้นลับเรื่องพลังจิตจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับ โลกหลายท่าน เรียน.. วิชาพลังจักรวาลจาก “ศ.ดร. เซอร์มาสเตอร์ เลือง มินห์ ด๋าง” ชาวเวียดนาม เรียนวิชาอัสมาน เป็นวิชาแห่งจักวาล จาก “อาจารย์ราจันทร์” กูรูอินเดีย เรียนวิชาพลังจิตใต้สำนึก กับ “ดร.บุญเลิศ สายสนิท” และ “ดร.สรพล สุขทรรศนีย์” ผู้เชี่ยวชาญวิชาสะกดจิตจากสหรัฐอเมริกา และเรียนวิชาสมาธิจากหลวงพ่อ “วิชารติยุตุโต” วัดนครสวรรค์


ซึ่งขนาดผู้จัดการดาราอย่าง คุณเอ ศุภชัย เวลาจะปั้นดาราใครสักคน ก็ต้องพามาเปลี่ยนชื่อกันอาจารย์โขมพัสตร์ อรรถยา ซึ่งเปลี่ยนทั้งหมดทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น อาทิ ณเดชน์ คูกิมิยะ , เนย โชติกา , ใหม่ ดาวิกา , เคน ภูภูมิ ฯลฯ ซึ่งเบื้องหลังดาราดังๆเกือบทั้งหมดเธอคือผู้เปลี่ยนชื่อให้จนมีชื่อเสียงเปลี่ยนชีวิตเสริมพลังให้เด่นดังมานักต่อนักแล้ว ซึ่งเธอจะดูจากการเรียงของตัวอักษรที่เรียงกันแล้วไม่มีตัวที่ตัดเงินออก มีกาลกิณีไหมและมีตัวที่เสริมเข้าไป โดยดูจากหน้าตา อาชีพ ให้สอดคล้องและเสริม เป็นศาสตร์ของธิเบตที่เธอเรียนมา ฟังแล้วต้องไม่ซ้ำกับใคร เพราะชื่อเป็นรอยประทับของคนๆนั้น เวลาที่ใครเรียกก็ต้องเรียกชื่อ 

และอักษรที่เป็นกาลกิณีจะปัดเงินออก คือ ช และ ตัวการันต์ เป็นต้น

 

1. Mental power

เพิ่มความฉลาด เพิ่มความจำ สำหรับเด็กอายุ 12-25 ปี เรียนวิธีเพิ่มความจำ วิธีการอ่านโดยใช้จิตใต้สำนึก ทดสอบสมองซีกซ้ายและขวา ลักษณะการรับรู้ของจิต ที่สัมพันธ์กับสมองแต่ละซีก วิธีปรับเปลี่ยน ความคิดนิสัย วิธีเรียนรู้ได้ไว การรวมจิตให้เป็นหนึ่งในการอ่านและจำ การใช้พลังจิตใต้สำนึก เพื่อ ความฉลาด เพิ่มความจำ จำได้ไว รวดเร็ว บรรลุเป้าหมาย พบความสำเร็จ ช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง สมาธิดีขึ้น ลดความรุนแรงในจิตใจ ปรับเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ต้องการ หลักการเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์

2. หลักสูตรการใช้จิตใต้สำนึก

ใช้จิตใต้สำนึกเพื่อเสริมสร้างพลังที่มีอยู่ภายในนำมาใช้ ป้องกันรักษาโรค อดบุหรี่ นอนไม่หลับ ความเครียด เพิ่มความจำ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พัมนาอาชีพ เรียนเทคนิคสะกดจิตตนเองและสะกดจิตผู้อื่น เรียนรู้ฝึกพลังธรรมชาติโดย ฝึกส่งพลังจิตที่ไม่ใช้เสียง หรือคำพูดใช้จิตเพียงอย่างเดียว ฝึกใช้พลังงานที่ถูกซ่อนไว้ภายใน ส่งกระแสจิตให้ร่างกายแข็งแรง หรือโอนเอน(ไม่ใช่การสะกดจิต) ใช้จิตเคลื่อนสิ่งของ ตาที่สาม การสอนจะแยกพลังจิต การสะกดจิต เพื่อความเข้าใจอย่างแท้จริง ผู้เข้าเรียนสามารถทำได้จริง เรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ปรับคลื่นความถี่ให้ สอนวิธีทำนามธรรมให้เปนรูปธรรม จิตตะโยคะ บำบัดโรค และเรียนรู้วิธีการระลึกชาติ

3. หลักสูตรจักราบำบัด

เรียนรู้จักราหรือต่อมไร้ท่อ ภายในร่างกาย การหมุนเวียนของพลังปราณ เพื่อบำบัดโรค สร้างภูมิคุ้มกันโรค ปรับร่างกายให้แข็งแรง สอนวิธีรักษาตัวเองและผู้อื่น เป็นการรักษาทางจิตและกาย เป็นวิธีที่รักษาโรคได้โดยไม่ต้องใช้เคมีหรือสมุนไพร และเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการรักษาคือการกำหนดพลังให้เป็นหนึ่งเดียว และสามารถทำได้จริง เพิ่มศักยภาพตัวเอง เรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์

คนที่จะเรียนวิชาพลังจิตได้ผลดี
1. ต้องมีความตื่นตัวพร้อมที่จะเรียนอย่างเข้า
2. ทดสอบวิชาบ่อยๆ
3. เชื่อมั่นในตัวเองและผลที่ปฏิบัติ
4. ทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
5. ล้างพิษในร่างกาย

 

คนเราไม่ได้มีอำนาจทางจิต หรือความคิดเพียงอย่างเดียว ร่างกายของคนเราก็มีคลื่นมีพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่จะบอกอะไรกับเราได้ ให้ความสำเร็จทุกเรื่องก็ได้ ออร่ารอบๆ ตามอารมณ์ความรู้สึก สีสดใสจะแผ่ออกไปได้ไกล ออร่าจะมีอิทธิพลต่อคนอื่น สิ่งอื่นด้วย หรือร่างกายของเขาเองมีอะไรมากระทบ จะรู้สึกได้ ความคิดเป็นอย่างไรกระแสคลื่นก็เป็นแบบเดียวกัน ระบบประสาทของมนุษย์มี ศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลัง เส้นประสาทจะมีมากมาย เป็นโยงใยแผ่คลุมทุกส่วน ระบบประสาท สามารถส่งต่อข่าวสารข้อมูลจากส่วนต่างๆ ของร่างกายไปที่สมอง

ระบบประสาทเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างคลื่นพลัง แผ่กระจายออกไปได้ไกล คลื่นความคิดต้องใช้ร่วมกับคลื่นจากกาย การสร้างคลื่นที่มีอำนาจอยู่ที่ความคิดหรืออยู่ที่จิตของเรา รวมกับคลื่นทางกายด้วย ถ้าเราต้องการอะไรดีๆ สภาพความคิดต้องสดใส มุ่งมั่น คนที่อยู่ในรัศมีของคลื่นจะรู้สึกดี มีผลต่อจิตใจของคนรับคลื่นนั้นและคล้อยตาม แต่ถ้าเราหดหู่ ท้อแท้ คิดแง่ลบ คนใกล้ๆเราก็รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจไปด้วย ฉะนั้นคลื่นความคิดของคนคนหนึ่ง ถ้าชัดเจนมันจะไปกระทบคนอื่น หรือใครก็ตามที่เราอยู่ใกล้ โดยเฉพาะคนที่ได้ยินเสียง หรือมองเห็นเรา เพราะสมองไวต่อการรับรู้ รับเอาคลื่นที่แผ่ออกมาได้ การฝึกง่ายๆ คือ เชื่อตัวเอง มุ่งมั่น ตั้งใจส่งคลื่นออกไป ถ้าเขาอยู่ในเวลาที่กำลังฟังกำลังมองคุณ เขาจะได้รับผลของความรู้สึกที่ส่งไปนั้นเต็มร้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook