5 แท็บเล็ตราคาไม่เกิน 13,000 บาท ควรมีติดมือ รุ่นไหนดีสุดในปี 2025

กำลังมองหาแท็บเล็ต(Tablet)คู่ใจไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเรียนออนไลน์ ทำงานนอกสถานที่ หรือเสพความบันเทิงแบบเต็มตาอยู่ใช่ไหม? ในงบประมาณ 13,000 บาท ตอนนี้มีตัวเลือกที่น่าสนใจมากมาย แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป วันนี้เรารวบรวม 5 รุ่นเด็ดที่คุ้มค่าที่สุดในพิกัดราคานี้มาให้แล้ว มาดูกันว่ารุ่นไหนจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ดีที่สุด
แนะนำ Tablet ราคาไม่เกิน 13,000 บาท ที่ใช้ทำงานได้ในปี 2025
1. iPad (รุ่นชิป A16) - ราคา 12,900 บาท
ไอแพดรุ่นเริ่มต้นที่อัปเกรดขุมพลังมาใช้ชิป A16 Bionic ตัวแรง ทำให้การใช้งานลื่นไหลไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะเรียน, เล่นเกมกราฟิกสวยๆ, หรือทำงานเอกสารก็ทำได้อย่างราบรื่น โดดเด่นด้วยระบบปฏิบัติการ iPadOS ที่มี Ecosystem อันแข็งแกร่ง แอปพลิเคชันคุณภาพสูงมีให้เลือกใช้มากมาย และใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการแท็บเล็ตที่เน้นความเสถียร ใช้งานยาวๆ และเป็นประตูบานแรกสู่โลกของ Apple
จุดเด่น
- ชิป A16 Bionic: ประสิทธิภาพสูง ใช้งานลื่นไหลทุกรูปแบบ
- iPadOS: ระบบปฏิบัติการเสถียร แอปพลิเคชันคุณภาพเยอะ
- หน้าจอ Liquid Retina 11 นิ้ว: สีสันสวยงามคมชัด
- กล้องหน้าแนวนอน: เหมาะกับการวิดีโอคอล
- รองรับ Apple Pencil (USB-C): สำหรับการจดโน้ตและวาดรูป
รุ่นนี้เหมาะกับ นักเรียน, นักศึกษา, ผู้เริ่มต้นใช้งานแท็บเล็ต, คนที่อยู่ใน Ecosystem ของ Apple และต้องการอุปกรณ์ที่เสถียรภาพสูง

2. Samsung Galaxy Tab S10 Lite - ราคาเริ่มต้น 11,990 บาท
หากการจดบันทึกและวาดเขียนคือหัวใจสำคัญ Galaxy Tab S10 Lite คือคำตอบที่ใช่ที่สุดในงบนี้ เพราะเป็นรุ่นเดียวที่แถมปากกา S Pen มาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม! ให้ประสบการณ์การเขียนที่ตอบสนองดีเยี่ยมเหมือนปากกาจริง มาพร้อมหน้าจอ TFT LCD ขนาด 10.9 นิ้ว รีเฟรชเรท 90Hz และฟีเจอร์เด่นอย่าง Samsung DeX ที่สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเดสก์ท็อป PC ขนาดย่อมได้เมื่อต่อกับคีย์บอร์ดและเมาส์
จุดเด่น
- แถมปากกา S Pen: คุ้มค่าที่สุดสำหรับสายจดและวาด
- Samsung DeX Mode: แปลงร่างเป็น PC สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ
- หน้าจอ 90Hz: การแสดงผลลื่นไหลสบายตา
- เพิ่ม MicroSD Card ได้: ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่เก็บข้อมูล
- แบตเตอรี่ 8,000 mAh: ใช้งานได้ยาวนาน
รุ่นนี้เหมาะกับ นักเรียนนักศึกษาที่เน้นการจดเลคเชอร์, คนทำงานที่ต้องการแท็บเล็ตสำหรับงานเอกสารและประชุม, ศิลปินมือสมัครเล่น
3. Huawei MatePad 11.5 (2025) - ราคา 12,990 บาท
MatePad 11.5 (2025) ชูจุดเด่นด้วยหน้าจอ PaperMatte ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกระดาษ ลดแสงสะท้อนได้ถึง 99% ทำให้สบายตาเวลาอ่านหรือเขียนเป็นเวลานาน อัตรารีเฟรช 120Hz ให้ภาพที่ลื่นไหลสุดๆ และยังรองรับการทำงานสไตล์ PC ด้วย PC-Level WPS Office ที่จัดการไฟล์เอกสารได้เหมือนทำบนคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่มี Google Mobile Services แต่ก็มี AppGallery และ GBox มาช่วยให้ใช้งานแอปฯ ยอดนิยมได้
จุดเด่น
- หน้าจอ PaperMatte 120Hz: ถนอมสายตา เขียนเหมือนกระดาษ และลื่นไหลมาก
- PC-Level WPS Office: ประสบการณ์ทำงานเอกสารเหมือนบนคอมพิวเตอร์
- แบตเตอรี่อึด 10,100 mAh: ใช้งานข้ามวันสบายๆ
- ลำโพง 4 ตัว: เสียงดังกระหึ่มเพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบ
- ตัวเครื่องบางเบาพรีเมียม: วัสดุโลหะ แข็งแรงทนทาน
รุ่นนี้เหมาะกับ คนที่ต้องจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน, นักศึกษาและคนทำงานที่เน้นการทำเอกสาร, คนที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการอ่าน E-Book

4. OPPO Pad Neo - ราคา 10,990 บาท
เอาใจสายดูหนังและซีรีส์ด้วย OPPO Pad Neo ที่มาพร้อมหน้าจอ ReadFit Screen ขนาดใหญ่ถึง 11.4 นิ้ว ความละเอียด 2.4K และมีอัตราส่วนภาพ 7:5 ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่แปลกตาแต่ให้พื้นที่การมองเห็นในแนวตั้งที่มากกว่า เหมาะทั้งการอ่านและการชมคอนเทนต์ เสริมทัพด้วยลำโพงสเตอริโอ 4 ตัวระบบเสียง Dolby Atmos ให้มิติเสียงสมจริง และยังเป็นแท็บเล็ตที่ใส่ซิมโทรออกได้ในรุ่น LTE
จุดเด่น
- หน้าจอ 11.4 นิ้ว อัตราส่วน 7:5: จอใหญ่เต็มตา พื้นที่แสดงผลแนวตั้งเยอะ
- ความละเอียด 2.4K: ภาพคมชัด สีสันสดใส
- ลำโพง 4 ตัว Dolby Atmos: ระบบเสียงกระหึ่มเพื่อความบันเทิง
- แบตเตอรี่ 8,000 mAh พร้อมชาร์จไว 33W SUPERVOOC: ใช้งานนานและชาร์จกลับไว
- มีรุ่น LTE ใส่ซิมได้: เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่
รุ่นนี้เหมาะกับ สายบันเทิงตัวยงที่เน้นดูหนัง, ซีรีส์, YouTube และอ่าน E-Book หรือการ์ตูน

5. Xiaomi Pad 7 - ราคาเริ่มต้น 10,990 บาท
หากคุณคือสาย Performance ที่มองหาความคุ้มค่าต่อราคา Xiaomi Pad 7 คือคำตอบสุดท้าย! จัดสเปกมาให้แบบไม่กั๊กด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 7+ Gen 3 ที่แรงที่สุดในกลุ่มนี้ จับคู่มากับหน้าจอความละเอียดสูงระดับ 3.2K ขนาด 11.2 นิ้ว และอัตรารีเฟรชสูงถึง 144Hz ทำให้เป็นแท็บเล็ตที่เหมาะกับการเล่นเกมและเสพสื่อความละเอียดสูงอย่างยิ่ง มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน Xiaomi ได้อย่างราบรื่น
จุดเด่น
- ชิป Snapdragon 7+ Gen 3: แรงที่สุดในงบ เล่นเกมปรับกราฟิกสูงๆ ได้สบาย
- หน้าจอ 3.2K 144Hz: คมชัดและลื่นไหลที่สุดในราคานี้
- RAM/ROM ให้มาเยอะ: เริ่มต้นที่ 8GB/128GB แบบ UFS 4.0 (ในรุ่น 256GB)
- ชาร์จไว 45W: แบตเตอรี่ 8,850 mAh ชาร์จได้รวดเร็ว
- Xiaomi HyperOS: ระบบปฏิบัติการใหม่ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นของ Xiaomi ได้ดีเยี่ยม
รุ่นนี้เหมาะกับ เกมเมอร์, ผู้ใช้งานที่เน้นประสิทธิภาพความแรง, คนที่ต้องการแท็บเล็ตสเปกสูงในราคาที่คุ้มค่าที่สุด
เห็นแบบนี้แล้วคุณเหมาะกับรุ่นไหนกว่าลองพิจารณากันดูนะ
อ่านเพิ่ม
ดาวน์โหลดสนุกแอปฟรี




