เครื่องพิมพ์ (Printer): มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร เราควรใช้แบบไหน?
.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
ในโลกยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ "เครื่องพิมพ์" หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ "เครื่องปริ้น" หรือ "ปริ้นเตอร์" ยังคงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอกสารสำคัญ รูปภาพ หรือแม้กระทั่งงานออกแบบต่างๆ แต่ด้วยประเภทของเครื่องพิมพ์ที่มีหลากหลายในตลาด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบบไหนคือเครื่องพิมพ์ที่เหมาะกับความต้องการของเรา? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องพิมพ์ ความแตกต่าง และวิธีเลือกซื้อให้ตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด
ประเภทของเครื่องพิมพ์ (เครื่องปริ้น/ปริ้นเตอร์) ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
เครื่องพิมพ์ในท้องตลาดสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ได้หลายแบบ โดยแต่ละแบบมีเทคโนโลยีและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท (Inkjet Printer)
หลักการทำงาน: เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ททำงานโดยการพ่นหมึกเหลวหยดเล็กๆ ออกมาผ่านหัวพิมพ์ลงบนกระดาษอย่างแม่นยำ เพื่อสร้างภาพหรือข้อความ
ข้อดี:
-
ความละเอียดสูง: สามารถพิมพ์ภาพถ่ายสีที่มีคุณภาพสูงและคมชัด
-
ราคาประหยัด: ตัวเครื่องมีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมากนัก เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปหรือสำนักงานขนาดเล็ก
-
ใช้งานได้หลากหลาย: พิมพ์ได้ทั้งเอกสาร รูปภาพ และวัสดุพิมพ์ที่หลากหลาย เช่น กระดาษภาพถ่าย, กระดาษอาร์ต
ข้อจำกัด:
-
ต้นทุนหมึกต่อแผ่นสูง: หากใช้งานเป็นประจำหรือพิมพ์ในปริมาณมาก ต้นทุนหมึกอาจสูงกว่าเครื่องพิมพ์ประเภทอื่น
-
ความเร็วในการพิมพ์ไม่สูงมาก: ไม่เหมาะกับการพิมพ์เอกสารจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว
-
หัวพิมพ์อุดตัน: หากทิ้งไว้นานโดยไม่ใช้งาน หมึกอาจแห้งและทำให้หัวพิมพ์อุดตันได้
เหมาะสำหรับ: การใช้งานในบ้าน, นักเรียนนักศึกษา, สำนักงานขนาดเล็กที่เน้นการพิมพ์ภาพสีและเอกสารทั่วไปในปริมาณไม่มากนัก
2. เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
หลักการทำงาน: เครื่องพิมพ์เลเซอร์ใช้แสงเลเซอร์ในการสร้างภาพบนลูกกลิ้ง (Drum) ที่มีประจุไฟฟ้า จากนั้นผงหมึก (Toner) จะถูกดูดติดกับภาพที่สร้างไว้บนลูกกลิ้ง ก่อนจะถูกถ่ายเทลงบนกระดาษและอบด้วยความร้อนให้หมึกติดทน
ข้อดี:
-
ความเร็วสูง: พิมพ์เอกสารได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารจำนวนมาก
-
ต้นทุนต่อแผ่นต่ำ: ต้นทุนผงหมึกต่อแผ่นถูกกว่าหมึกอิงค์เจ็ทมาก หากพิมพ์ในปริมาณมากจะประหยัดกว่า
-
ทนทานและคมชัด: ตัวอักษรที่พิมพ์ออกมาคมชัด ไม่เลอะเลือน และทนทานต่อการซีดจาง
ข้อจำกัด:
-
ราคาเครื่องสูง: ตัวเครื่องมีราคาเริ่มต้นสูงกว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท
-
การพิมพ์ภาพสี: แม้จะมีเครื่องพิมพ์เลเซอร์สี แต่คุณภาพการพิมพ์ภาพสียังคงสู้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทไม่ได้
-
ขนาดเครื่องใหญ่: โดยทั่วไปเครื่องพิมพ์เลเซอร์มักมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท
เหมาะสำหรับ: สำนักงาน, องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพิมพ์เอกสารขาวดำจำนวนมากและรวดเร็ว, ธุรกิจที่ต้องการความคมชัดของเอกสาร
3. เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน (Multifunction Printer / All-in-One Printer)
หลักการทำงาน: เครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือการรวมเอาฟังก์ชันการทำงานหลายอย่างไว้ในเครื่องเดียว เช่น การพิมพ์, สแกน, ถ่ายเอกสาร และบางรุ่นอาจมีแฟกซ์ด้วย
ข้อดี:
-
ประหยัดพื้นที่: ไม่ต้องมีอุปกรณ์หลายชิ้น ประหยัดพื้นที่จัดวาง
-
คุ้มค่า: ได้ฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายในราคาที่คุ้มค่ากว่าการซื้อแยกชิ้น
-
สะดวกสบาย: ใช้งานง่าย ไม่ต้องสลับอุปกรณ์ไปมา
ข้อจำกัด:
-
ประสิทธิภาพอาจไม่เทียบเท่า: ประสิทธิภาพในแต่ละฟังก์ชันอาจไม่เท่ากับอุปกรณ์เฉพาะทาง
-
หากเสียต้องซ่อมทั้งเครื่อง: หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งเสีย อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานฟังก์ชันอื่นๆ ด้วย
เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานทั่วไป, สำนักงานขนาดเล็ก-กลางที่ต้องการความสะดวกสบายและฟังก์ชันหลากหลายในเครื่องเดียว
4. เครื่องพิมพ์รูปถ่าย (Photo Printer)
หลักการทำงาน: เป็นเครื่องพิมพ์ที่ออกแบบมาเพื่อการพิมพ์รูปภาพโดยเฉพาะ เน้นการให้สีสันที่ถูกต้องและความละเอียดสูง มีทั้งแบบอิงค์เจ็ทที่ใช้หมึกหลายสีเพื่อความสมจริง และแบบ Dye-Sublimation ที่ใช้ความร้อนระเหยสีลงบนกระดาษ
ข้อดี:
-
คุณภาพรูปถ่ายสูงสุด: ให้สีสันที่สดใส สมจริง และความคมชัดของรูปภาพที่เหนือกว่าเครื่องพิมพ์ทั่วไป
-
กระดาษเฉพาะทาง: รองรับกระดาษภาพถ่ายคุณภาพสูงหลากหลายประเภท
ข้อจำกัด:
-
ราคาหมึก/กระดาษสูง: ต้นทุนต่อแผ่นสูงกว่าเครื่องพิมพ์ทั่วไป
-
ความเร็วไม่สูง: เน้นคุณภาพมากกว่าความเร็ว
-
ไม่เหมาะกับการพิมพ์เอกสาร: ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการพิมพ์เอกสารทั่วไป
เหมาะสำหรับ: ช่างภาพ, ผู้ที่ต้องการพิมพ์ภาพถ่ายคุณภาพสูงเพื่อเก็บสะสมหรือใช้งานเฉพาะทาง
5. เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดและฉลาก (Barcode & Label Printer)
หลักการทำงาน: เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อพิมพ์บาร์โค้ด, ฉลากสินค้า, ป้ายราคา หรือสติกเกอร์ โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบ Direct Thermal หรือ Thermal Transfer
ข้อดี:
-
รวดเร็วและแม่นยำ: พิมพ์บาร์โค้ดและฉลากได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง
-
ทนทาน: ฉลากที่พิมพ์ออกมามีความทนทานต่อการขีดข่วนและสภาพแวดล้อม
-
ขนาดหลากหลาย: สามารถพิมพ์ฉลากได้หลากหลายขนาดตามความต้องการ
ข้อจำกัด:
-
ใช้งานเฉพาะทาง: ไม่สามารถใช้พิมพ์เอกสารทั่วไปได้
-
ราคาเครื่องค่อนข้างสูง: หากเป็นเครื่องพิมพ์สำหรับอุตสาหกรรม
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจค้าปลีก, คลังสินค้า, โรงงานอุตสาหกรรม, ธุรกิจขนส่ง
เราควรเลือกเครื่องพิมพ์แบบไหน?
การเลือกเครื่องพิมพ์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้
-
งบประมาณ: กำหนดงบประมาณที่คุณมีสำหรับทั้งตัวเครื่องและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา (หมึก/โทนเนอร์)
-
ประเภทการใช้งานหลัก:
-
พิมพ์เอกสารขาวดำจำนวนมากและรวดเร็ว: เลือกเครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำ
-
พิมพ์เอกสารและรูปภาพสีทั่วไปในบ้าน/สำนักงานขนาดเล็ก: เลือกเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท
-
ต้องการฟังก์ชันครบครัน (พิมพ์, สแกน, ถ่ายเอกสาร): เลือกเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน
-
เน้นพิมพ์ภาพถ่ายคุณภาพสูง: เลือกเครื่องพิมพ์รูปถ่ายโดยเฉพาะ
-
ต้องการพิมพ์บาร์โค้ด/ฉลาก: เลือกเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดและฉลาก
-
-
ปริมาณการพิมพ์: หากพิมพ์น้อยนานๆ ครั้ง อิงค์เจ็ทอาจคุ้มค่ากว่า แต่หากพิมพ์บ่อยและปริมาณมาก เลเซอร์จะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
-
ความละเอียดในการพิมพ์ (DPI): หากต้องการงานพิมพ์ที่คมชัดมาก เช่น ภาพถ่าย ควรเลือกเครื่องพิมพ์ที่มีค่า DPI สูง
-
การเชื่อมต่อ: พิจารณาว่าต้องการเชื่อมต่อแบบไหน (USB, Wi-Fi, Ethernet) และรองรับการพิมพ์ผ่านมือถือหรือไม่
-
ขนาดของเครื่อง: ตรวจสอบพื้นที่วางที่มีอยู่
-
คุณสมบัติเสริม: เช่น การพิมพ์สองหน้าอัตโนมัติ (Duplex Printing), ช่องป้อนกระดาษอัตโนมัติ (ADF)
การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือก "เครื่องพิมพ์" ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างเหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็น "เครื่องปริ้น" สำหรับงานที่บ้าน หรือ "ปริ้นเตอร์" ประจำสำนักงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานของคุณ
ดาวน์โหลดสนุกแอปฟรี


