ไขคำตอบ มือถือกันน้ำ ใช้ไปเกินปี ยังวางใจได้เหมือนเดิมไหม?

ไขคำตอบ มือถือกันน้ำ ใช้ไปเกินปี ยังวางใจได้เหมือนเดิมไหม?

ไขคำตอบ มือถือกันน้ำ ใช้ไปเกินปี ยังวางใจได้เหมือนเดิมไหม?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สมาร์ทโฟนในปัจจุบันหลายรุ่นมาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่นละออง ซึ่งระบุด้วยมาตรฐาน IP (Ingress Protection) ตัวเลขสองหลักที่ตามหลัง IP จะบอกถึงระดับการป้องกัน โดยตัวเลขแรกหมายถึงการป้องกันฝุ่น (สูงสุดคือ 6) และตัวเลขที่สองหมายถึงการป้องกันน้ำ (สูงสุดคือ 8 หรือ 9K) ทำให้หลายคนมั่นใจในการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งนำไปเล่นน้ำในช่วงเทศกาลต่างๆ

แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เมื่อใช้งานมือถือไปนานๆ เกิน 1 ปี มาตรฐานการกันน้ำที่เคยมี จะยังคงประสิทธิภาพดีเหมือนเดิมหรือไม่? รอบนี้ Sanook Hitech จะมาไขคำตอบเรื่องนี้กันครับ

ทำความเข้าใจมาตรฐาน IP อีกครั้ง

ก่อนอื่น มาทบทวนความหมายของมาตรฐาน IP ที่พบบ่อยในมือถือกันก่อน 

  • IP67: ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถแช่น้ำจืดได้ลึกสูงสุด 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
  • IP68: ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถแช่น้ำจืดได้ลึกกว่า 1 เมตร (ความลึกและระยะเวลาจะระบุโดยผู้ผลิต) โดยทั่วไปมักจะอยู่ที่ 1.5 - 3 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
  • IP69K: ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และทนทานต่อการฉีดล้างด้วยน้ำแรงดันสูงและน้ำร้อน

มาตรฐานเหล่านี้เป็นการทดสอบในสภาพแวดล้อมควบคุมด้วยน้ำจืด และเป็นการทดสอบกับอุปกรณ์ใหม่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ สำหรับเวอร์ชั่นเต็มอ่านได้ที่นี่

istock-668523714

ความจริงที่ต้องรู้ การกันน้ำ "ไม่ถาวร"

แม้ว่ามือถือของคุณจะผ่านมาตรฐาน IP ระดับสูง แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ การกันน้ำของมือถือไม่ได้มีประสิทธิภาพคงทนถาวรตลอดอายุการใช้งาน ประสิทธิภาพในการป้องกันน้ำจะค่อยๆ เสื่อมลงตามกาลเวลาและปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  1. การสึกหรอของซีลกันน้ำ ภายในโทรศัพท์จะมีซีลยางและวัสดุที่ทำหน้าที่ป้องกันน้ำและฝุ่นเข้าสู่ตัวเครื่อง การใช้งานในชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แรงกด และการสัมผัสกับสารเคมีต่างๆ สามารถทำให้ซีลเหล่านี้เสื่อมสภาพ แข็งกระด้าง แตก หรือคลายตัวได้
  2. ความเสียหายทางกายภาพ การทำโทรศัพท์ตกหล่น แม้ว่าจะไม่มีรอยร้าวภายนอก ก็อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างภายในและทำให้ซีลกันน้ำเสียหายได้ รอยขีดข่วนหรือรอยบุบบนตัวเครื่องก็เป็นจุดอ่อนที่น้ำสามารถแทรกซึมเข้าไปได้
  3. การสัมผัสกับของเหลวที่ไม่ใช่น้ำจืด น้ำทะเล น้ำในสระว่ายน้ำที่มีคลอรีน น้ำสบู่ หรือของเหลวอื่นๆ ที่มีสารเคมี สามารถกัดกร่อนซีลและส่วนประกอบภายใน ทำให้ประสิทธิภาพการกันน้ำลดลงเร็วกว่าการสัมผัสกับน้ำจืด
  4. การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การที่โทรศัพท์ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง หรืออุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป อาจทำให้วัสดุภายในขยายและหดตัว ส่งผลเสียต่อซีลกันน้ำ
  5. อายุการใช้งานของวัสดุ: วัสดุที่ใช้ในการกันน้ำก็มีอายุการใช้งานของมัน เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเริ่มเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติ

ผลกระทบหลังใช้งานเกิน 1 ปี

หลังจากใช้งานมือถือไปเกิน 1 ปี มีความเป็นไปได้สูงที่ประสิทธิภาพการกันน้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ระดับการลดลงจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น หากคุณใช้งานโทรศัพท์อย่างทะนุถนอม ไม่เคยตกหล่น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับของเหลวที่ไม่ใช่น้ำจืด การเสื่อมสภาพอาจเกิดขึ้นช้า แต่ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

batch_20230411_113817

ข้อควรระวังแม้โทรศัพท์จะเคยกันน้ำได้

  • หลีกเลี่ยงการจุ่มน้ำโดยไม่จำเป็น: แม้ว่าโทรศัพท์จะเคยมีมาตรฐาน IP สูง ก็ไม่ควรนำไปจุ่มน้ำเล่น หรือใช้งานใต้น้ำเป็นเวลานานๆ
  • ระวังแรงดันน้ำ: การโดนฉีดน้ำแรงๆ โดยตรง อาจเกินกว่ามาตรฐานการทดสอบ และทำให้ซีลเสียหายได้
  • ตรวจสอบสภาพเครื่อง: ก่อนสัมผัสน้ำ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่องใส่ซิม ช่องชาร์จ และช่องอื่นๆ ปิดสนิทดี ไม่มีรอยแตกหรือร้าว
  • หลีกเลี่ยงน้ำสกปรก: น้ำที่มีสิ่งสกปรก ฝุ่น หรือสารเคมี อาจส่งผลเสียต่อซีลกันน้ำในระยะยาว
  • เช็ดให้แห้งหลังสัมผัสน้ำ หากโทรศัพท์เปียกน้ำ ควรเช็ดให้แห้งสนิทก่อนใช้งานหรือชาร์จไฟ

โดยสรุปแบบง่ายๆมาตรฐาน IP บนมือถือเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์ แต่ประสิทธิภาพในการกันน้ำ ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป การใช้งานเป็นเวลานานเกิน 1 ปี ย่อมนำมาซึ่งการเสื่อมสภาพของวัสดุและซีลกันน้ำ ทำให้ความสามารถในการป้องกันน้ำลดลงอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้ว่ามือถือของคุณจะเคยมีมาตรฐาน IP สูง ก็ควรใช้งานด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยไม่จำเป็น เพื่อยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กำลังโหลดข้อมูล