เล่าประสบการณ์ Hands-On Preview สัมผัส Ricoh GR III ตัวจริงในไทย กล้องที่ทำให้รักการถ่ายภาพอีกครั้ง

เล่าประสบการณ์ Hands-On Preview สัมผัส Ricoh GR III ตัวจริงในไทย กล้องที่ทำให้รักการถ่ายภาพอีกครั้ง

เล่าประสบการณ์ Hands-On Preview สัมผัส Ricoh GR III ตัวจริงในไทย กล้องที่ทำให้รักการถ่ายภาพอีกครั้ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แบไต๋เราได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับ Ricoh GR III กล้องพรีเมี่ยมคอมแพคระดับตำนานที่ใกล้จะวางขายในไทยช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้อย่างต่อเนื่องนะครับ หลังจากที่เราตื่นเต้นกับข่าวคราวของมันมากว่า 5 เดือน ในที่สุดแอดมินแห่งเว็บแบไต๋ อัครสาวกของ Ricoh GR ก็ได้สัมผัสกล้องตัวใหม่นี้แบบตัวเป็นๆ สักที

วันนี้จึงเล่าประสบการณ์ Hands-On Preview ในช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆ ที่เราได้เล่นกล้องตัวนี้ให้ฟังกัน ซึ่งทำให้เราตกหลุมรักการถ่ายภาพอีกครั้ง (เพราะไม่ต้องแบกกล้องเทพหนักเป็นกิโลไปถ่ายรูปแล้วเฟ้ย) ก็ขอขอบคุณบริษัท East Enterprises หรือ EPP ตัวแทนจำหน่ายกล้อง Ricoh และ Pentax อย่างเป็นทางการในไทยที่ให้โอกาสพรีวิวในครั้งนี้

Ricoh GR III ตัวล็กอย่างที่คาด แต่ถนัดมือเหมือนเคย

หนึ่งในไฮไลท์ของ Ricoh GR III คือขนาดตัวกล้องที่เล็กลงไปกว่า Ricoh GR และ Ricoh GR II จนน่าจะเป็นกล้องคอมแพคที่ใช้เซนเซอร์ขนาด APS-C ตัวเล็กที่สุดในโลกไปแล้ว เมื่อได้จับของจริงแล้วก็รู้สึกทันทีว่าตัวเล็กกว่า GR รุ่นเดิมที่เคยถือมาอย่างสังเกตได้ แต่น้ำหนักก็ไม่ได้ต่างจากการถือรุ่นเดิมเท่าไหร่ครับ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่เรากังวลเกี่ยวกับขนาดกล้องที่เล็กลงคือ มันจะจับถนัดมือไหม แล้วการที่มันมีจอสัมผัสเพิ่มเข้ามาจะทำให้การสั่งงานด้วยมือเดียวนั้นเปลี่ยนไปไหม ปรากฎว่าไม่ครับ

ซ้าย Ricoh GR II และขวาคือ Ricoh GR III

กริปด้านหน้าของ Ricoh GR III นั้นรู้สึกว่าชันน้อยกว่ารุ่นเดิมอยู่นิดหนึ่งครับ แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไร GR มันก็ยังเป็นกล้องที่จับถนัดมืออยู่เหมือนเคย การควบคุมด้วยนิ้วชี้ขวาก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิม ปุ่มชัตเตอร์วงรีรูปเม็ดยา ดีไซน์เฉพาะตัวของ GR ก็ยังอยู่และนุ่มเหมือนเคย ปุ่มปิด-เปิดก็อยู่ตำแหน่งเดิม แหวนควบคุมด้านหน้าก็ยังกลิ้งมันส์เหมือนเดิม ส่วนแป้นหมุนเปลี่ยนโหมดกล้องนั้นแตกต่างจากเดิมไปสักหน่อย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการปรับไปในทางดีนะครับ คือไม่มีโหมดอัตโนมัติสีเขียวแล้ว ใช้โหมด P แทนไปเลย (ซึ่งคนใช้ GR ก็ไม่น่าจะใช้โหมดออโต้เต็มรูปแบบกันอยู่แล้ว) โหมดถ่ายหนังในแป้นหมุนก็หายไป เปลี่ยนเป็นปุ่มให้กดง่ายๆ ข้างกล้องแทน และไม่มีโหมด TaV ให้เลือกแล้ว ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่เคยใช้โหมดนี้อยู่แล้ว เพราะโหมด M ก็ปรับให้ ISO วิ่งอัตโนมัติได้ครับ

บนคือ Ricoh GR II จะเห็นว่ากล้องยาวกว่า GR III ด้านล่าง วงแหวนโหมดก็ไม่เหมือนกัน

ส่วนแป้นควบคุมด้านหลังนั้นเปลี่ยนไปเยอะครับ ปุ่มน้อยลงมาก ปุ่มหลักที่แอดใช้บ่อยมากคือ + – สำหรับปรับเพิ่มลดค่าแสง EV ก็หายไปแล้วรวบการควบคุมไปอยู่ในแป้นโยกด้านบนแทน ซึ่งใช้ๆ ไปก็ถนัดมือดี ส่วนก้านโยกล็อก AF,AE หรือสั่งใช้ C-AF ก็หายไป กลายเป็นปุ่ม Fn ให้เลือกใส่ฟังก์ชั่นที่ใช้บ่อยๆ แทน อันนี้ต้องลองใช้อีกสักพักว่าจะถนัดมือไหม แต่ที่ชอบมากคือเพิ่มวงแหวนด้านหลังรอบปุ่ม 4 ทิศทางมาให้ ทำให้การเลื่อนเมนู เลื่อนรูปทำได้มันส์มาก

หลังกล้องเรียบๆ ของ Ricoh GR III

ซึ่งถือว่า Ricoh GR III เปลี่ยนการควบคุมกล้องด้านหลังไปเยอะ แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เรายังสามารถใช้มือขวามือเดียวควบคุมกล้องได้ทั้งหมดเหมือนเคย แม้มือซ้ายจะไม่ว่างแตะจอสัมผัส ก็ยังเข้าถึงทุกฟังก์ชั่นอย่างรวดเร็วอย่างที่ GR ทำได้มาตลอดครับ

หน้าจอสัมผัสของ Ricoh GR III

เมนูของ Ricoh GR III ตัวทางซ้ายจะใหญ่กว่า GR II เพราะต้องออกแบบให้นิ้วกดได้

จอสัมผัสถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตระกูล GR นะครับ ในที่สุดก็มีมาสักที (ถึงจะยังไม่มีหน้าจอพับได้มาด้วยก็เถอะ) ซึ่งประสบการณ์บนหน้าจอสัมผัสของ GR III ถือว่าลื่นไหลมาก ปัดรูปได้คล่องมาก ใช้ 2 นิ้วซูมเข้าออกรูปภาพได้ด้วย ลื่นไหลยังกับสมาร์ตโฟน บอกเลยประทับใจในส่วนนี้มาก ของเดิมนั่งกดๆ ซูมๆ แล้วเหนื่อยมาก ส่วนการใช้กับเมนูก็ปัดเลื่อนได้อย่างรวดเร็ว แต่ระบบเมนูยังไม่ค่อยเหมาะสำหรับการใช้งานแบบหน้าจอสัมผัสนะครับ เพราะบรรทัดของเมนูต่างๆ ค่อนข้างเล็ก เวลากดเร็วๆ อาจจะเลือกผิดเมนูได้ แนะนำว่าใช้มือขวาหมุนวงแหวนด้านขวาเลือกเมนูได้แม่นและเร็วกว่าครับ

ข้อสังเกตในการใช้หน้าจอสัมผัสถ่ายรูปคือ Ricoh GR III ไม่มีปุ่มสัมผัสบนจอให้ปรับค่าระหว่างถ่ายรูปเหมือนกล้องจอสัมผัสทั่วไปนะครับ ที่สามารถแตะในจอเพื่อปรับค่าบางตัว อย่างความเร็วชัตเตอร์ หรือ f-stop ระหว่างถ่ายรูปได้ แต่เราว่ามันไม่ใช่ข้อเสีย เพราะยังไงเราก็สามารถปรับได้รวดเร็วและแม่นยำจากปุ่มจริงๆ ที่อยู่ด้านขวามืออยู่แล้ว ซึ่งการใช้จอสัมผัสเพื่อเลือกจุดโฟกัสอย่างเดียวระหว่างถ่ายภาพก็ทำให้การควบคุมนั้นเรียบง่ายกว่าครับ ไม่มีปัญหาเวลารีบๆ โฟกัสอะไรแล้วดันแตะไปโดนปุ่มบนจอแทน อ้อ แต่เรายังสามารถตั้งค่าให้แตะเพื่อโฟกัสและถ่ายรูปโดยไม่ต้องกดชัตเตอร์ได้นะครับ เผื่อใครชอบโหมดแบบนี้

เอา Ricoh GR III ไปถ่ายภาพจริง

GR Lens สุดคมพร้อมรูรับแสงกลมๆ

เนื่องจากว่ากล้อง Ricoh GR III ตัวที่เราได้ลองจับของจริงนั้นยังไม่ใช่กล้องจริง Firmware จริงที่จะจำหน่ายครับ ทางผู้จัดจำหน่ายในไทยจึงขอให้เรายังไม่เผยแพร่ไฟล์ที่ได้จากกล้องตอนนี้ (และเรามีเวลาจับมันแค่ชั่วโมงเดียวด้วย ก็ไม่สามารถรีวิวอะไรได้มาก) เราจึงได้แต่บรรยายว่า “มันคมมาก” คือเลนส์เดิมของของ Ricoh GR กับ GR II มันก็คมในระดับที่วงการช่างภาพยอมรับอยู่แล้วว่าคมยันขอบ แต่เลนส์ใหม่นี้คมกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ อาจเพราะไฟล์ภาพมันละเอียดขึ้นด้วยเป็น 24 ล้านพิกเซลจากเดิม 16 ล้านพิกเซล ทำให้ซูมภาพดูแล้วเห็นรายละเอียดเยอะมาก คมแบบไม่เกรงใจหน้าสาวๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งคาดว่าเราน่าจะได้ใช้ฟังก์ชั่นจำลองฟิลเตอร์ anti aliasing ที่มีใน GR III กันบ่อยๆ เวลาถ่ายคนแล้วแหละนอกจากเวลาที่ต้องถ่ายลวดลายละเอียดๆ

เรื่องโทนสีภาพต่างๆ นั้นก็ยังคงเอกลักษณ์ของ GR ไว้ได้ดี ฟิลเตอร์ภาพตัวโปรดของเราอย่าง Positive Film ก็ยังคงอยู่ซึ่งเหมือนจะให้คุณภาพที่ดีขึ้นด้วย และการถ่าย Macro ก็ใกล้มากกว่ารุ่นเก่าจริงจัง จาก 10 cm เหลือแค่ 6 cm น่าจะถ่ายใกล้ได้สนุกกว่าเดิมมาก

ส่วนความสามารถป้องกันการสั่นไหวหรือ SR ที่ Ricoh เคลมว่าสามารถชดเชยการสั่นไหวได้ 4 Stop เราก็ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองมากนักครับ เพราะไม่ได้มีที่มืดๆ ให้ได้ทดสอบเท่าไหร่ แต่ที่เห็นชัดเจนคือเวลาถ่ายวิดีโอนั้นให้ภาพที่นุ่มนวล ไม่สั่นไหวเหมือนเวลาใช้ GR รุ่นเก่าถ่ายที่วิดีโอจะสั่นมากจนใช้งานไม่ได้ ทำให้วิดีโอจาก GR III นั้นน่าจะเอาไปใช้งานจริงได้มากขึ้น แต่เราก็ขอดูคุณภาพตัววิดีโอจากกล้องรุ่นขายจริงอีกครั้งครับ ซึ่งจะรีวิวให้ดูแบบละเอียดอีกที

Ricoh GR III และตัวด้านหลังคือ Ricoh GR II

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือความเร็วในการโฟกัส คือแอดแบไต๋ก็ใช้ Ricoh GR รุ่นแรกมาจนชินกับความช้าของมัน แต่ใน Ricoh GR III ถือว่าโฟกัสเร็วขึ้นมาก เพราะใช้ระบบ Hybrid AF ที่เซนเซอร์มีระบบโฟกัสแบบ Phase Detection ทำงานร่วมกับ Contrast Detection ทำให้โฟกัสเก่งกว่าเดิมเยอะ และมอเตอร์มันขยันวิ่งมากขึ้น แต่เรื่องโฟกัสแบบติดตาม หรือการวิ่งเข้าจุดโฟกัสบางจุดในกล้องที่ได้พรีวิวจะมีวืดบ้าง ก็ต้องรอการปรับปรุงดูในเฟิร์มแวร์รุ่นขายจริงต่อไปครับ

ว่าด้วยเรื่องจุดอ่อนของ Ricoh GR III

เหลือพอร์ต USB-C เพียงพอร์ตเดียวที่ทำทุกอย่าง ทั้งชาร์จไฟและต่อภาพออกจอ

เรื่องแฟลชที่หายไป อันที่จริงเราก็เสียดายกับมันนะครับ แม้การส่วนภาพส่วนใหญ่แบบร้อยละ 99 เราจะไม่เคยใช้แฟลชที่ติดมากับ GR ตัวแรกเลย แต่บางจังหวะที่มืดมากๆ หรือเราไม่แคร์ความสวยของภาพมากนัก แต่อยากให้อะไรสักอย่างในภาพชัด เราก็เปิดแฟลชอัดใส่ได้เลย แต่ใน Ricoh GR III มันทำไม่ได้แล้วเพราะมันไม่มีแฟลชติดตัว ซึ่งเมื่อถามกับเจ้าหน้าที่ของ East Enterprises ว่า Ricoh มีแผนจะทำแฟลชให้ตัวเล็กกว่านี้ไหม สำหรับพกติดตัวง่ายๆ ก็ยังไม่มีคำตอบจากทางสำนักงานใหญ่ แต่ดูเรื่องเทคนิคแล้วก็น่าจะยากเพราะแฟลชต้องใช้พลังงานจากถ่าน ซึ่งแฟลชของ Pentax (เครือเดียวกับ Ricoh) ตัวที่เล็กที่สุดก็ใช้ถ่าน AAA เข้าไปแล้ว มันก็ไม่น่าจะเล็กกว่านี้ และ GR ก็ไม่มีระบบส่งพลังงานจากกล้องไปที่แฟลชโดยจรง ทำให้ตัวแฟลชยังต้องออกแบบให้ใส่ถ่านอยู่

แบตของ Ricoh GR III คือก้อนสีเงินทางขวา ที่มีความจุมากกว่าของ Ricoh GR สีดำทางซ้าย แต่รุ่นใหม่ดันถ่ายรูปได้น้อยกว่า

ส่วนเรื่องจำนวนที่ถ่ายรูปต่อการชาร์จได้น้อยลง อันนี้ต้องรอใน Full Review ให้ได้ใช้กล้องหลายๆ วันก่อน จะเขียนรีวิวได้ว่ามันโอเคไหมสำหรับการใช้งานระหว่างวันอีกทีนะครับ

Ricoh GR III ขายจริงช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562

อ่านพรีวิว Ricoh GR III กันมาถึงขนาดนี้ ถ้าชอบกล้องเล็กแต่ให้ไฟล์ดีมาก (เรียกว่าโคตรคมเถอะ) ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว จัดเถอะ ราคาเปิดตัวที่ 32,990 บาท แอบแรงนิดหน่อย แต่ได้ถ่ายภาพเยอะขึ้นแน่ๆ เพราะกล้องตัวเทพจะติดตัวเราไปได้ตลอดเวลา จองได้ตามร้านกล้องใหญ่ๆ ทั่วไป แต่ถ้าใครขอคิดอีกหน่อย เดือนหน้าเราจะมีรีวิวฉบับเต็มของ Ricoh GR III ให้อ่านกันครับ ขอเวลาเอาไปใช้สักพักหนึ่ง แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ

ถ่ายรูปหมู่รวมตระกูล GRจากหน้าคือ Ricoh GR III, GR II และตัวขอบแดงคือ Ricoh GR

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook