รวมสุดยอดสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2016 รุ่นไหนในปีนี้ที่ดีที่สุด เร็วแรงที่สุด สวยเฉียบที่สุด

รวมสุดยอดสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2016 รุ่นไหนในปีนี้ที่ดีที่สุด เร็วแรงที่สุด สวยเฉียบที่สุด

รวมสุดยอดสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2016 รุ่นไหนในปีนี้ที่ดีที่สุด เร็วแรงที่สุด สวยเฉียบที่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รวม 15 สุดยอดสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2016 รุ่นไหนในปีนี้ที่ดีที่สุด เร็วแรงที่สุด สวยเฉียบที่สุด และมีฟีเจอร์ไฮเอนด์จัดเต็มที่สุด เราสรุปมาให้ท่านแล้ว!

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ กลับมาพบทีมงาน Thaimobilecenter กับนานาสาระน่ารู้ และข่าวสารในวงการสมาร์ทโฟนกันอีกครั้งนะครับ เหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือนครึ่งเท่านั้น เราก็จะเข้าสู่ศักราชใหม่กันแล้ว ซึ่งในช่วงปี 2016 ที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าวงการสมาร์ทโฟนมีความเคลื่อนไหว และแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น, ระดับกลาง หรือแม้แต่มือถือเรือธงของแต่ละค่ายต่างก็พัฒนาคุณสมบัติตัวเครื่อง และฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์แบบจัดเต็มมาให้ใช้งานกันอย่างเต็มที่แบบไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว โดยในปี 2016 ที่ผ่านมาก็มีผู้ผลิตหลายแบรนด์ทยอยเปิดตัวเรือธงประจำค่ายเรื่อยมาตลอดทั้งปีดังที่ทุกท่านได้เห็นกัน

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปีเช่นนี้ วันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้ทำการสรุปรวมสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2016 มาให้ทุกท่านได้รับชมกันว่า แต่ละแบรนด์ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงประจำค่ายรุ่นใดออกมาบ้าง และแต่ละรุ่นมีคุณสมบัติตัวเครื่อง พร้อมฟีเจอร์เด็ดอย่างไร สามารถติดตามชมกันได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลยครับ

 Samsung Galaxy Note7 ราคาวางจำหน่าย 28,900 บาท (ยุติการวางจำหน่ายแล้ว)


ไม่พูดถึงสมาร์ทโฟนรุ่นนี้คงจะไม่ได้ เพราะ Samsung Galaxy Note7 ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีผู้ใช้ให้ความสนใจมากที่สุดในโลกรุ่นหนึ่ง ด้วยเอกลักษณ์อันเด่นชัดอย่าง ปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย พร้อมเปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างง่ายดาย และฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยสุดล้ำที่เพิ่มเข้ามาอย่าง เซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner) หรือคุณสมบัติตัวเครื่องกันน้ำระดับ IP68 ที่ใครหลายคนต้องการ แต่สุดท้าย Galaxy Note7 ก็ถูกยุติการวางจำหน่ายทั่วโลก หลังจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่ ซึ่งทาง Samsung ก็กำลังดำเนินการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วย โดย Samsung Galaxy Note7 มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่อง ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 153.5x73.9x7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 169 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ 2K Quad HD Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1440x2560 พิกเซล แบบขอบโค้งสองด้าน (Dual-Curved Edge) พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5 เป็นรุ่นแรกของโลก
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820 หรือ Samsung Exynos 8890 (รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยใช้ชิปเซ็ต Exynos 8890)
- รองรับการใช้งานกราฟิก Vulkan API
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 64GB พร้อมรองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุดที่ 256GB
- กล้องด้านหลัง Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7 และระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7
- รองรับการใช้งานปากกา S Pen
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ทั้งตัวเครื่อง และปากกา S Pen
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- เซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner)
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) แบบ Hybrid Slot
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ NFC
- แบตเตอรี่ความจุ 3500 mAh พร้อมรองรับฟีเจอร์ Fast Charging สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ได้ในเวลาเพียง 100 นาที และรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย TouchWiz Grace UX
- มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี คือ สีดำ (Black Onyx), สีเงิน (Silver Titanium), สีทอง (Gold Platinum) และสีน้ำเงิน (Blue Coral)

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Samsung Galaxy Note7

 Samsung Galaxy S7 edge ราคาวางจำหน่าย 26,900 บาท


แม้ว่า Galaxy Note7 เรือธงรุ่นพี่จะถูกระงับการวางจำหน่าย แต่ Samsung Galaxy S7 edge ก็ยังได้รับความนิยมจากผู้ใช้อย่างล้นหลาม แม้จะเปิดตัวมาตั้งแต่ต้นปี 2016 ก็ตาม โดยฟีเจอร์เด็ดของ Galaxy S7 edge ก็คือ กล้องด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ใช้เทคโนโลยี Dual-Pixel และมีคุณภาพระดับสูงจนได้รับการการันตีให้เป็นกล้องบนสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลกในช่วงระยะหนึ่งก่อนจะเสียแชมป์ให้กับ Google Pixel ซึ่งนอกจากกล้องถ่ายภาพแล้ว Galaxy S7 edge ยังมี ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น ในระดับ IP68, หน้าจอ Always-On หรือระบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) ให้ใช้งานกันด้วย โดย Samsung Galaxy S7 edge มีคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 150.9x72.6x7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 157 กรัม ตัวเครื่องด้านหลังเป็นกระจก 3D Glass
- จอแสดงผลแบบ 2K Quad HD Super AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว กระจกหน้าจอขอบโค้ง (Dual-Edge Curved Glass) พร้อมฟีเจอร์ Always-On Display
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Samsung Exynos 8890
- จีพียู (GPU) Mali-T880
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4 ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 32GB และ 64GB พร้อมรองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 200GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/1.7 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/1.7
- รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac, MU-MIMO, Bluetooth 4.2, USB 2.0 และ NFC
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- แบตเตอรี่ความจุ 3600 mAh พร้อมระบบ Fast Charging และรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย TouchWiz UI

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Samsung Galaxy S7 edge
รีวิว (Review) Samsung Galaxy S7 edge

 Apple iPhone 7 Plus ราคาวางจำหน่ายเริ่มต้น 31,500 บาท


อีกหนึ่งสมาร์ทโฟนเรือธงระดับโลกที่มีผู้ใช้ให้ความสนใจกันอย่างมากมาย นั่นก็คือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จาก Apple ที่ถือเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Samsung และ Google โดยในปีนี้ Apple ได้พัฒนา iPhone 7 Plus ให้มาพร้อมกับกล้องคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ใช้งานเลนส์รับภาพสองชนิด คือ เลนส์มุมกว้าง (Wide) และเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล (Telephoto) และยังใช้งานเซ็นเซอร์รับภาพอัจฉริยะใหม่ล่าสุด, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ใช้โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ และไฟแฟลชสี่ดวง (Quad-LED) นอกจากนี้ยังมีตัวเครื่องที่ ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น ในระดับ IP67, ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ใช้ระบบ Taptic Engine และสีสันตัวเครื่องแบบใหม่ใน สีดำ (Jet Black) ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ทำให้ผู้ใช้หลายๆ คนสนใจอยากใช้งาน iPhone 7 Plus กันมากขึ้น โดยคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ iPhone 7 Plus มีดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 158.2x77.9x7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 188 กรัม
- หน้าจอแสดงผล  Retina HD IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว พร้อมฟีเจอร์ Wide Color Gomut
- ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit Quad-Core Apple A10 Fusion พร้อมหน่วยประมวลผล M10 Motion Coprocessor สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว
- กล้องดิจิทัล iSight แบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ใช้งานเลนส์สองแบบ คือ เลนส์มุมกว้าง (Wide) ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล (Telephoto) ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.8 สามารถซูมภาพแบบ Optical Zoom ได้ถึง 2 เท่า แบบปกติ และสามารถซูมได้ถึง 10 เท่าจากซอฟต์แวร์ พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพอัจฉริยะใหม่ล่าสุด, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ใช้โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ และไฟแฟลชสี่ดวง (Quad-LED)
- กล้องดิจิทัล FaceTime HD ด้านหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล
- ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ใช้งานระบบ Taptic Engine
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
- ลำโพงคู่ บน-ล่าง แบบสเตอริโอ (Dual-Speaker)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ LTE ด้วยความเร็วสูงสุด 450Mbps
- แบตเตอรี่ความจุ 2900 mAh
- สีสันตัวเครื่องสีใหม่ สีดำ Jet Black
- มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ iPhone 7
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ iPhone 7 Plus

Google Pixel XL ราคาเริ่มต้นประมาณ 26,800 บาท


สำหรับ Google Pixel ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีผู้ใช้ Android จับตามองมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ เพราะ Google Pixel Phone นับเป็นสมาร์ทโฟน Android รุ่นแรกที่ Google ได้พัฒนาเองตั้งแต่การออกแบบตัวเครื่อง จนถึงการใช้งานซอฟต์แวร์ภายใน แบบเดียวกับ Apple ซึ่งก็ส่งผลให้ Google Pixel XL สามารถใช้งานทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจเข้ามาแทนที่สมาร์ทโฟนในตระกูล Nexus ด้วย โดยจุดเด่นที่สุดของ Google Pixel XL อยู่ที่กล้องถ่ายภาพความละเอียด 12.3 ล้านพิกเซล ที่ได้รับการการันตีจาก DxOMark ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องถ่ายภาพว่า Google Pixel เป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องดีที่สุดในโลกในขณะนี้ รวมไปถึงการให้บริการ Google Photos ที่ผู้ใช้สามารถเก็บภาพถ่ายไว้บน Cloud ได้แบบไม่จำกัดพื้นที่ หรือจะเป็น Google Assistant ที่มีการตอบสนองต่อคำสั่งเสียงได้ดีขึ้น และรับคำสั่งได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย โดย Google Pixel XL มีคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องใช้วัสดุ และดีไซน์แบบ Aluminum Unibody และ Polished Glass ที่บริเวณด้านหลัง
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED 2K Quad HD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440x2560 พิกเซล
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 821
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4 ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 32GB และ 128GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 12.3 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0, ขนาดเม็ดพิกเซล 1.55 ไมครอนพิกเซล และระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งาน USB Type-C
- ใช้งาน Bluetooth 4.2
- แบตเตอรี่ความจุ 3450 mAh รองรับระบบ Quick Charge สามารถใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมง หลังชาร์จเพียง 5 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1 Nougat
- มีให้เลือก 3 สี คือ สีดำ, สีเงิน และสีฟ้า (เฉพาะบางประเทศ)

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google Pixel XL

 Huawei Mate 9 ราคาเปิดตัวประมาณ 27,000 บาท


เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการกันไปสดๆ ร้อนๆ เลยทีเดียวสำหรับเรือธงจากยักษ์ใหญ่แดนมังกรในชื่อ Huawei Mate 9 ที่มาพร้อมกล้องคู่ (Dual-Camera) ที่พัฒนาร่วมกับ Leica บริษัทกล้องชื่อดังระดับโลก โดยใช้งานความละเอียด 20 ล้านพิกเซล + 12 ล้านพิกเซล ที่แยกเก็บภาพแบบ ขาว-ดำ (Monochrome) และภาพสีแบบ RGB จากนั้นนำมารวมกัน เพื่อให้ได้ภาพที่มีสีสันคมชัด รวมถึงความเปรียบต่างของแสงเงาอย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้ Huawei เคยประสบความสำเร็จในการทำกล้องบนมือถือแล้วจาก Huawei P9 และคาดการณ์ว่า Huawei Mate 9 ก็น่าจะดึงความสนใจของผู้ใช้ได้ไม่น้อยเช่นกัน โดย Huawei Mate 9 มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 156.9x78.9x7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 190 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD Full HD ขนาด 5.9 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 พิกเซล พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอแบบขอบนูน 2.5D
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Huawei Kirin 960
- ชิปเซ็ตประมวลผลภาพกราฟิก Mali G71 MP8 Octa-Core GPU รุ่นแรกของโลก พร้อมรองรับเทคโนโลยี Vulkan
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 64GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) จากความร่วมมือกับ Leica โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ใช้สำหรับการเก็บภาพขาวดำ และกล้องตัวที่สองความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ใช้สำหรับการเก็บภาพสีแบบ RGB, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2, รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ระบบโฟกัสภาพแบบ 4-in-1 Hybrid Auto Focus และระบบซูมภาพแบบ Hybrid Zoom
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual-Speaker)
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ Google Daydream
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh รองรับฟีเจอร์ Huawei SuperCharge ที่ชาร์จเพียงแค่ 30 นาที หรือเพียง 58% ก็สามารถใช้ได้ตลอดทั้งวัน พร้อมฟีเจอร์ On-The-Go ที่สามารถแปลง Huawei Mate 9 ให้เป็นแบตเตอรี่สำรองได้ด้วย
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat ซึ่งถูกครอบทับด้วย EMUI 5.0
 


นอกจากนี้ Huawei ยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนอีกรุ่นหนึ่งที่มีคุณสมบัติตัวเครื่องในระดับท็อปกว่ารุ่นปกติในชื่อ Porsche Design Huawei Mate 9 ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่าง Huawei กับ Porsche แบรนด์รถยนต์ชื่อดังระดับโลก โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,395 ยูโร หรือประมาณ 54,000 บาท และ Porsche Design Huawei Mate 9 มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- หน้าจอแสดงผลแบบขอบโค้ง AMOLED 2K Quad HD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440x2560 พิกเซล
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Huawei Kirin 960
- ชิปเซ็ตประมวลผลภาพกราฟิก Mali G71 MP8 Octa-Core GPU รุ่นแรกของโลก พร้อมรองรับเทคโนโลยี Vulkan
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 256GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) จากความร่วมมือกับ Leica โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ใช้สำหรับการเก็บภาพขาวดำ และกล้องตัวที่สองความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ใช้สำหรับการเก็บภาพสีแบบ RGB, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2, รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ระบบโฟกัสภาพแบบ 4-in-1 Hybrid Auto Focus และระบบซูมภาพแบบ Hybrid Zoom
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ Google Daydream
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh รองรับฟีเจอร์ Huawei SuperCharge ที่ชาร์จเพียงแค่ 30 นาที หรือเพียง 58% ก็สามารถใช้ได้ตลอดทั้งวัน พร้อมฟีเจอร์ On-The-Go ที่สามารถแปลง Huawei Mate 9 ให้เป็นแบตเตอรี่สำรองได้ด้วย
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat ซึ่งถูกครอบทับด้วย EMUI 5.0

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Huawei Mate 9
พรีวิว (Preview) Huawei Mate 9

 Sony Xperia XZ ราคาวางจำหน่าย 23,990 บาท


หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Sony ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งในตระกูล Xperia X Series ในชื่อ Sony Xperia X Performance ทำให้ผู้ใช้หลายคนสงสัยว่านี่คือมือถือเรือธงของ Sony จริงหรือ? แต่หลังจากนั้นสักระยะ Sony ก็ได้เปิดตัวมือถือเรือธงตัวจริงของค่ายอย่างเป็นทางการในชื่อ Sony Xperia XZ ที่มาพร้อมดีไซน์สวยหรูอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกล้องถ่ายภาพความละเอียด 23 ล้านพิกเซล ที่คุณสมบัติจัดเต็มเทียบชั้นระดับกล้องโปร หรือการรองรับระบบเสียง High-Resolution Audio พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน (Digital Noise Cancellation) ที่ถือเป็นจุดเด่นของ Sony มาช้านาน หากใครที่ชื่นชอบมือถือ Sony นั้นต้องขอบอกเลยว่า Xperia XZ มีความสวยหรู และน่าใช้งานมากเลยทีเดียว โดย Sony Xperia XZ มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 146x72x8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 161 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ TRILUMINOS Full HD 1080p ขนาด 5.2 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีแสดงผลภาพแบบ X-Reality และกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass
- ชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core 64-bit Qualcomm Snapdragon 820
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 32GB (รุ่นซิมเดียว) และขนาด 64GB (รุ่น 2 ซิม) รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 23 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Triple Image Sensing Technology, ระบบโฟกัสวัตถุแบบ Hybrid Autofocus, เซ็นเซอร์รับภาพ Exmor RS ขนาด 1/2.3 นิ้ว, เลนส์รับภาพมุมกว้างระยะ 24mm, ปรับค่า ISO สูงสุด 12800, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot พร้อมแกนกันสั่นถึง 5 แกน (5-Axis Stabilization) และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K Ultra HD
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.0 เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Exmor RS ขนาด 1/3.06 นิ้ว, ปรับค่า ISO สูงสุด 6400 และเลนส์รับภาพมุมกว้างระยะ 22mm
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ NFC, Bluetooth 4.2 และ USB Type-C
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับระบบเสียง High-Resolution Audio พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน (Digital Noise Cancellation)
- แบตเตอรี่ความจุ 2900 mAh พร้อมระบบ Quick Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ Forest Blue, Mineral Black และ Platinum

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Sony Xperia XZ

 ZTE Axon 7 ราคาวางจำหน่าย 15,990 บาท


แม้ว่าแบรนด์สมาร์ทโฟน ZTE จะเพิ่งเข้ามาในวงการสมาร์ทโฟนได้ไม่นานนัก แต่ความนิยมของผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการที่ ZTE มักเจาะตลาดในกลุ่มของสมาร์ทโฟนระดับกลางเป็นหลัก ด้วยการผลิตสมาร์ทโฟนที่มีคุณสมบัติตัวเครื่องครบครัน แต่มีราคาที่เข้าถึงง่าย ซึ่ง ZTE Axon 7 ที่เป็นมือถือเรือธงของค่ายในปีนี้ก็เป็นหนึ่งในมือถือครบเครื่อง แต่มีราคาวางจำหน่ายค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ เช่นกัน โดย ZTE Axon 7 ก็มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องของ หน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงระดับ 2K Quad HD ขนาด 5.5 นิ้ว, ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 820 ตัวแรง, ชิปประมวลผลเสียง AKM 4961 และชิป AKM 4490 พร้อมรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ฯลฯ เรียกได้ว่า ZTE Axon 7 เป็นมือถือที่จัดเต็มสมฐานะเรือธงอย่างมาก โดย ZTE Axon 7 มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 151.7x75x7.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 175 กรัม
- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Aluminum Full-Metal Unibody (กรอบตัวเครื่องอะลูมิเนียมถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน)
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K Quad HD (1440x2560 พิกเซล : 538 ppi) พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820 ซึ่งมีความเร็วในประมวลผล 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 530
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 64GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 20 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED แบบคู่, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8, ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และรองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และ EIS
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 พร้อมเลนส์มุมกว้าง 88 องศา
- ชิปประมวลผลเสียง AKM 4961 และชิป AKM 4490 พร้อมรองรับระบบเสียง Dolby Atmos
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- แบตเตอรี่ขนาด 3250 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Quick Charge 3.0 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึงระดับ 50% ภายในเวลา 30 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0.1 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย MiFavor UI 4.0

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ZTE Axon 7
รีวิว (Review) ZTE Axon 7

 Asus ZenFone 3 Deluxe ราคาวางจำหน่าย 28,990 บาท


หลังจากสร้างชื่อในการเจาะตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางจนได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ผู้ใช้ Asus ก็เริ่มพัฒนาสมาร์ทโฟนในค่ายในก้าวขึ้นมาอีกขั้นด้วยการเปิดตัวเรือธงรุ่นล่าสุดในตระกูล ZenFone 3 Series ในชื่อ Asus ZenFone 3 Deluxe ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ได้ใช้งานชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 821 และมีหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาดใหญ่ถึง 6GB ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดย Asus ZenFone 3 Deluxe มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ All-Metal Unibody (กรอบตัวเครื่องอะลูมิเนียมถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน) และเส้นเสาอากาศแบบล่องหน
- หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED Full HD 1080p ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 พิกเซล พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 4, ฟีเจอร์ Always-On และมีขอบจอบางเฉียบเพียง 1.3 มิลลิเมตร
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 821 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.4GHz
- ชิปเซ็ตประมวลผลกราฟิก Adreno 530
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 256GB UFS 2.0
- กล้องด้านหลัง Pixel-Master ความละเอียด 23 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบคู่ (Dual-LED), ใช้งานเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX318, ใช้โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0, ใช้เวลาโฟกัสวัตถุเพียง 0.03 วินาทีด้วยระบบ Tri-Tech Autofocus, ระบบกันสั่น OIS แบบ 4 แกน และโหมดถ่ายภาพ Super Resolution ถ่ายภาพความละเอียดสูงได้ถึง 92 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 และใช้งานเลนส์รับภาพมุมกว้าง 85 องศา
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C 3.0
- แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh พร้อมระบบ Quick Charge 3.0 ชาร์จพลังงานได้ 60% ในเวลา 39 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย ZenUI 3.0
- มีสีให้เลือก 3 สี ด้วยกัน คือ สีทอง, สีเงิน และสีเทา
- แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น RAM 6GB + ROM 256GB วางจำหน่ายในราคา 28,990 บาท ขณะที่รุ่น RAM 6GB + ROM 64GB วางจำหน่ายในราคา 22,990 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Asus ZenFone 3 Deluxe

 Moto Z ราคาวางจำหน่าย 23,900 บาท


หลังจากห่างหายวงการสมาร์ทโฟนไปนาน เพราะประสบปัญหาด้านธุรกิจ จนกระทั่ง Lenovo ได้เข้ามาซื้อกิจการ และเริ่มต้นสร้างแบรนด์ใหม่อีกครั้งกับ Moto (ชื่อในอดีต Motorola) อดีตแบรนด์สมาร์ทโฟนชื่อดังในช่วงยุคบุกเบิกของวงการมือถือที่ล่าสุดได้เปิดตัว Moto Z สมาร์ทโฟนเรือธงประจำค่ายพร้อมจุดเด่นตัวเครื่องที่มีความบางเฉียบเพียง 5.2 มิลลิเมตร และดีไซน์สวยหรูเป็นเอกลักษณ์ ส่วนคุณสมบัติตัวเครื่องก็จัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ 2K Quad HD ขนาด 5.5 นิ้ว, ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 820 หรือกล้อง 13 ล้านพิกเซล พร้อม OIS ฯลฯ โดย Moto Z มีคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียม และสแตนเลสสตีลระดับเดียวกับที่ใช้ผลิตในอุตสาหกรรมการบิน พร้อมทั้งมีความบางเฉียบที่สุดเพียง 5.2 มิลลิเมตร
- หน้าจอแสดงผลแบบ 2K Quad HD AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440x2560 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 535 ppi
- ชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 820
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 64GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Laser Autofocus, ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/1.8, ขนาดของเม็ดพิกเซลประมาณ 1.12um, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) และไฟแฟลชแบบ Dual-Tone LED
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์รับภาพมุมกว้าง, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.2 และไฟแฟลชสำหรับกล้องหน้า
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- ตัวเครื่องเคลือบสารพิเศษป้องกันน้ำ
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 2600 mAh พร้อมฟังก์ชัน Quick Charge ที่ชาร์จเพียง 15 นาที ก็สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0.1 Marshmallow

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Moto Z

 OPPO R9s Plus ราคาเปิดตัวประมาณ 18,200 บาท


หากพูดถึงมือถือที่มีจุดเด่นเรื่องกล้องถ่ายภาพ แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ OPPO ติดเข้ามาด้วย เพราะมือถือ OPPO นั้นได้รับการการันตีจากผู้ใช้ด้วยกันว่ามีกล้องถ่ายภาพที่สวยงาม โดยเฉพาะกล้องหน้าสำหรับการถ่าย Selfie ซึ่งปกติในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา OPPO มักจะเปิดตัวมือถือระดับ Mid-High อยู่บ่อยครั้ง และค่อนข้างเน้นประสิทธิภาพของกล้องเช่นเคย โดน OPPO R9s สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของแบรนด์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยการใช้งานกล้องดิจิทัลตัวหลักที่ด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX398 ที่มีที่ขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว และมีความเร็วในการโฟกัสวัตถุเทียบเท่ากับความเร็วของกล้อง SLR (Single-Lens Reflex Camera) ซึ่งถือได้ว่าสามารถโฟกัสภาพได้รวดเร็วกว่าการใช้ระบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) ประมาณ 40% เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7 จึงทำให้ OPPO R9s และ R9s Plus สามารถถ่ายภาพในสภาวะที่มีแสงน้อยได้ดี และเกิด Noise ในอัตราที่ต่ำลง ส่วนคุณสมบัติตัวเครื่องด้านอื่นก็น่าสนใจไม่น้อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 163.63x80.8x7.35 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 185 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1080x1920 พิกเซล) ซึ่งถูกครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 653 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 2.0 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 510
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB พร้อมรองรับการ์ดความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX398, ไฟแฟลชแบบ Dual-Tone LED, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7, รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จไว OPPO VOOC Flash Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0.1 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย ColorOS 3.0
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ภายใต้ปุ่มโฮม
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac และ Bluetooth 4.1
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ OPPO R9s

 Xiaomi Mi MIX ราคาเปิดตัวประมาณ 18,100 บาท


Xiaomi เป็นหนึ่งในแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีการเติบโตในแต่ละปีได้อย่างรวดเร็วที่แบรนด์หนึ่ง เพราะถ้าหากนับกันจริงๆ Xiaomi เพิ่งเข้ามาในวงการสมาร์ทโฟนได้ไม่นานนัก แต่จุดเด่นของแบรนก็คือ การผลิตมือถือที่มีคุณสมบัติตัวเครื่องระดับสูง แต่วางจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้ Xiaomi ได้รับความนิยมจากผู้ใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ซึ่งล่าสุด Xiaomi ก็ได้เปิดตัว Xiaomi Mi MIX สมาร์ทโฟนเรือธงหน้าจอไร้ขอบแบบ edge-to-edge ทั้ง 3 ด้าน พร้อมตัวเครื่องแบบ Ceramic ที่แข็งแรงทนทานกว่าวัสดุทั่วไป พร้อมทั้งคุณสมบัติตัวเครื่องระดับไฮเอนด์จัดเต็ม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1080x2040 พิกเซล) พร้อมเซ็นเซอร์วัดระยะแบบ Ultrasonic ภายใต้หน้าจอ
- ชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 821 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 2.35 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 530
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED แบบ Dual-Tone, รองรับระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ EIS (Electronic Image Stabilization) ซึ่งรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3480 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีเซ็นเซอร์ขนาดเล็กกว่ามาตรฐานประมาณ 50%
- แบตเตอรี่ความจุ 4400 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยี Quick Charge 3.0
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย MIUI 8
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
- รองรับระบบเสียง 24bit Hi-Fi HD
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE และเทคโนโลยี VoLTE การสื่อสารผ่านโครงข่าย 4G
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11ac และ NFC

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Xiaomi Mi MIX

 LG V20


สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ทายาท LG V10 รุ่นพี่ที่ได้สร้างชื่อไว้ก่อนหน้านี้ เปิดดัวอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า LG V20 ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติตัวเครื่องระดับไฮเอนด์ พร้อมจุดเด่นอย่าง หน้าจอที่สอง ขนาด 2.1 นิ้ว ความละเอียด 160x1040 พิกเซล ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องการแจ้งเตือน หรือการเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบเสียงแบบ Hi-Fi Quad DAC ที่พร้อมจะมอบประสบการณ์เสียงที่มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น และสามารถลดเสียงรบกวนได้มากกว่าเดิมถึง 50% และ LG V20 มาพร้อมคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 159.7x78.1x7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 174 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K Quad HD (1440x2560 พิกเซล) พร้อมหน้าจอที่สองขนาด 2.1 นิ้ว ความละเอียด 160x1040 พิกเซล
- ชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 820 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 530
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB และ 64GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และกล้องตัวที่สองความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.4 พร้อมไฟแฟลชแบบคู่ (Dual-LED), ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) ซึ่งมาพร้อม Steady Record 2.0 ที่ใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ EIS เพื่อลดการสั่น และเบลอขณะบันทึกวิดีโอ
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9
- แบตเตอรี่ความจุ 3200 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง Quick Charge 3.0
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2 และ NFC

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LG V20

 HTC 10 ราคาเปิดตัวประมาณ 24,500 บาท


แม้ว่าช่วงหลังๆ แบรนด์สมาร์ทโฟนชื่อดังอย่าง HTC จะดูเงียบๆ ไปบ้าง แต่ผู้ใช้ที่เคยได้ใช้งานสมาร์ทโฟนของ HTC ต่างก็ต้องยอมรับว่า ROM ของ HTC นั้นทำออกมาได้ดี และลื่นไหลอย่างมาก ล่าสุด HTC ก็ได้เปิดตัว HTC 10 เรือธงรุ่นล่าสุดของค่ายเมื่อช่วงต้นปี 2016 ที่ผ่านมา โดยทางแบรนด์ชูจุดเด่นของ HTC 10 ด้วยกล้องถ่ายภาพที่มาพร้อมนวัตกรรม Dual-OIS เป็นรุ่นแรกของโลก โดยใช้งานระบบป้องกันภาพสั่นไหวทั้งในกล้องด้านหลัง และกล้องด้านหน้า อีกทั้งยังสามารถจับโฟกัสวัตถุได้ในเวลาเพียง 0.6 วินาทีอีกด้วย สำหรับคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ HTC 10 มีดังนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 145.9x71.9x9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 161 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ Super LCD5 ขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K Quad HD (1440x2560 พิกเซล : 565 ppi) และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 4
- หน่วยประมวลผลใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 820 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 530
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 32 GB ซึ่งสามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 200 GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ Ultra Pixel 2 ซึ่งมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมพิกเซลขนาด 1.55 µm, ไฟแฟลช LED แบบ Dual-Tone, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, ระบบการโฟกัสภาพแบบ Laser Autofocus และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8
- แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh พร้อมรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Quick Charge 3.0 โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึงระดับ 50% ภายในเวลาเพียง 30 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งครอบทับด้วย HTC Sense 8 UI
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ภายใต้ปุ่มโฮม
- ลำโพง HTC BoomSound Hi-Fi Edition (ลำโพงเสียงที่ด้านบนของหน้าจอ พร้อมลำโพง Subwoofer ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง)
- รองรับการเล่นไฟล์เสียงคุณภาพสูงระดับ Hi-Fi Audio ด้วยเทคโนโลยีระบบเสียงแบบ BoomSound และระบบ Personal Audio Profile ที่สามารถวัดการฟัง และปรับความถี่เสียงให้สมดุลกับการฟังของแต่ละบุคคล
- รองรับเทคโนโลยีเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio : 24-bit) พร้อม Amplifier สำหรับการใช้งานร่วมกับหูฟัง
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2 และ NFC
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ HTC 10

 OnePlus 3


OnePlus เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีฉายาว่า "นักฆ่าเรือธง (Flagship Killer)" สาเหตุเพราะสมาร์ทโฟนที่ OnePlus พัฒนาขึ้นมานั้นต่างได้รับกระแสตอบรับจากผู้ใช้เป็นอย่างดี และบางคนถึงกับบอกว่า OnePlus ใช้งานได้ดีกว่ามือถือเรือธงจากแบรนด์ดังๆ เสียอีก ซึ่งล่าสุด OnePlus ก็ได้เปิดตัว OnePlus 3 เรือธงรุ่นใหม่ของค่ายอย่างเป็นทางการแล้วในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้แน่นอนว่า OnePlus 3 พกพาประสิทธิภาพการทำงาน และคุณสมบัติตัวเครื่องมาเต็มเปี่ยม พร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

- ตัวเครื่องมีขนาด 152.7x74.7x7.35 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 158 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1080x1920 พิกเซล : 401 ppi) พร้อมครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 4 และมีขอบหน้าจอบางเพียง 0.755 มิลลิเมตร
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 530
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX298, พิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ไฟแฟลช LED, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.0, ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และรองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ซึ่งรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX179, พิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0 และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ EIS
- แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Dash Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย OxygenOS
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ภายใต้ปุ่มโฮม
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM)
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 และ USB Type-C
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2 และ NFC
- รองรับระบบเสียงคุณภาพสูงแบบ Dirac HD Sound

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ OnePlus 3

 Vivo Xplay 5 Elite ราคาเปิดตัวประมาณ 23,300 บาท


เมื่อช่วงต้นปี 2016 ที่ผ่านมามีสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งที่เรียกฮือฮาจากผู้ใช้ทั่วโลกได้อย่างมากมาย ด้วยการมาพร้อมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาดใหญ่ถึง 6GB เป็นรุ่นแรกของโลก ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นก็คือ Vivo Xplay 5 Elite ที่นอกจากจะมีหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาดใหญ่เป็นจุดเด่นแล้ว ยังมีหน้าจอ Super AMOLED แบบขอบโค้งสองด้าน (Dual-Edge) ความละเอียดระดับ 2K Quad HD ขนาด 5.43 นิ้ว หรือจะเป็นเทคโนโลยีระบบเสียงแบบ Hi-Fi 3.0 (ชิปประมวลผลเสียงโดยเฉพาะแบบ ES9028+OPA1612) ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดย Vivo Xplay 5 Elite มีคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้น ดังนี้

- จอแสดงผลแบบ 2K Quad HD Super AMOLED ขนาด 5.43 นิ้ว พร้อมขอบโค้งด้านข้างทั้งสองด้าน (Dual-Edge) ความละเอียด 1440x2560 พิกเซล
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 128GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ใช้งานเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX298 พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และไฟแฟลชแบบคู่ Dual-Tone LED
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.4
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่าย 4G LTE
- เทคโนโลยีระบบเสียงแบบ Hi-Fi 3.0 (ชิปประมวลผลเสียงโดยเฉพาะแบบ ES9028+OPA1612)
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- แบตเตอรี่ความจุ 3600 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถูกครอบทับด้วย Funtouch OS 2.6

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Vivo Xplay 5 Elite

 เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 15 สุดยอดสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเด่นประจำปี 2016 ที่เราได้รวบรวมมาให้ทุกท่านได้รับชมกัน จะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนเรือธงแต่ละรุ่น แต่ละค่ายนั้นมีความโดดเด่น และจุดขายบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วคุณสมบัติตัวเครื่องในภาพรวมก็จะค่อนข้างคล้ายคลึงกันบ้างตามการใช้งานของฮาร์ดแวร์ที่ใหม่ที่สุดในขณะนี้ สำหรับจุดขายที่สังเกตได้ว่าผู้ผลิตแต่ละแบรนด์มักใช้เป็นจุดขายหลักก็คือ กล้องถ่ายภาพ ที่มีการพัฒนาให้ก้าวล้ำมากยิ่งขึ้นตลอดเวลา รวมไปถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ต้องปรับให้ทันตามกระแสนิยมด้วย

แม้ว่าสมาร์ทโฟนเรือธงของแต่ละแบรนด์จะมีราคาขายที่สูงกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปไม่น้อย แต่สิ่งที่ผู้ใช้จะได้กลับมาคือ การใช้งานที่ลื่นไหล สามารถใช้งานได้ทุกแบบ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีอาการกระตุก, หน่วง หรือประมวลผลช้าแต่อย่างใด แต่ถ้าหากเป็นสมาร์ทโฟน Android ก็ขึ้นอยู่ ROM ของแต่ละเจ้าด้วยว่าพัฒนามาให้ใช้งานได้สอดคล้องกับระบบปฏิบัติการได้ดีเพียงใด อีกทั้งสมาร์ทโฟนเรือธงยังสามารถมองได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า และก้าวล้ำด้านเทคโนโลยีของบริษัท ซึ่งจะส่งผลถึงการตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ของผู้ใช้ทั่วโลกด้วย

สุดท้ายนี้ หากท่านใดสนใจมือถือรุ่นใด ทีมงานก็ขอแนะนำว่าให้ทุกท่านไปทดลองจับถือ และใช้งานเบื้องต้นก่อน โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีราคาสูงเช่นนี้ เพราะถ้าท่านตัดสินใจซื้อมือถือราคาหลักหมื่นแล้วแต่เกิดไม่ถูกใจขึ้นคงไม่ได้เรื่องดีเป็นแน่ สำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook