รีวิวคีย์บอร์ดเคสสำหรับ iPad Air 2 จาก Belkin
สำหรับคนที่ใช้ iPad หรือ แท็บเล็ต บ่อยครั้งที่พบว่าถ้ามันเป็นงานที่ต้องพิมพ์เยอะๆ อย่างเช่น งานเอกสาร หรืองานขีดๆ เขียนๆ เรามักจะไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร เพราะการพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดระบบสัมผัสมันไม่ได้อารมณ์เหมือนคีย์บอร์ดจริงๆ ดังนั้น คีย์บอร์ดบลูทูธจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา รู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยให้เราพิมพ์งานใน iPad ได้สะดวกขึ้นสักเท่าไร
เพราะโดยมากแล้วแป้นพิมพ์จะมีขนาดเล็ก ทำให้พิมพ์ผิดบ่อย แทนที่จะช่วยให้งานเดินเร็วขึ้น กลายเป็นว่าต้องเสียเวลากลับไปแก้แล้วแก้อีก หรือไม่ก็เชื่อมต่อยาก กว่าจะจับคู่สัญญาณบลูทูธกันได้ก็ต้องเปิดปิดอยู่หลายรอบ
วันนี้มีโอกาสได้ทดลองใช้คีย์บอร์ดเคสของ Belkin มาทดลองใช้กัน 2 ตัวด้วยกัน คือ QODE Ultimate Pro Keyboard case และ QODE Slim Style Keyboard Case สำหรับใช้กับ iPad Air 2 โดยเฉพาะ
จากการศึกษาข้อมูลในเว็บไซต์ www.belkin.com อย่างแรกที่ชอบเลยคือขนาดของแป้นพิมพ์ที่ใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดจริงๆ น่าจะตัดปัญหาเรื่องการพิมพ์ไม่ถนัดมือไปได้เยอะ แต่เรื่องอื่นๆ จะเป็นยังไง มาติดตามไปพร้อมๆ กัน
ขอเริ่มกันที่คีย์บอร์ดเคสรุ่น QODE Ultimate Pro สาเหตุหลักๆ ที่เลือกหยิบเจ้าตัวนี้มาลองใช้ก่อนเพราะแพ้ความบางและหน้าตาเรียบๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ ใครชอบงานดีไซน์เรียบหรู งานประกอบเนี้ยบ รุ่นนี้น่าจะกระแทกใจไม่น้อย
คุณสมบัติหลักๆ ที่น่าสนใจของ QODE Ultimate Pro มีดังนี้
- เซนเซอร์อัจฉริยะ เชื่อมต่อบลูทูธแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องมีปุ่มเปิด - ปิด เพียงแค่วาง iPad ลงไปก็ต่อได้แล้ว (อย่าลืมเปิดบลูทูธที่ iPad ก่อนล่ะ)
- ถอดแยกเคส iPad ออกจากคีย์บอร์ดได้ ซึ่งก็แปลว่าการเชื่อมต่อระหว่างคีย์บอร์ดกับ iPad จะหายไปด้วย เพราะมันเชื่อมต่อกันด้วยการสัมผัส
- Backlit keys ใช้งานได้ในที่มืด ปรับความสว่างได้ 3 ระดับ สำหรับคนที่ใช้ในห้องทำงานปกติ มีแสงสว่างเพียงพอ คงไม่ต้องใช้ แต่ในกรณีที่ใช้งานในที่มืด เช่น บนเครื่องบินไฟลท์ดึก อาจจะมีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรใช้อุปกรณ์แบบนี้ในที่มืด เพราะทำร้ายสายตา
- เชื่อมต่อได้ 2 อุปกรณ์ในครั้งเดียว มีปุ่มลัดสำหรับสลับการใช้งาน เป็นฟังก์ชั่นที่ชอบมากอันหนึ่ง เพราะในขณะที่เราพิมพ์งานใน iPad อยู่นั้น ก็สามารถแชทหรือตอบอีเมลจาก iPhone ได้
- อายุการใช้งานต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 1 ปี ถ้าไม่เปิด Backlit keys พอแบตหมดแล้วก็สามารถชาร์จได้
- วางได้ทั้งแนวตั้ง (Portrait) และ แนวนอน (Landscape)
พูดถึงการใช้งานแบบรวมๆ ถือว่าเป็นคีย์บอร์ดเคสที่มีคุณสมบัติครบเครื่อง ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวยงาม ชอบตรงวัสดุและงานประกอบ มองผ่านๆ อาจจะเหมือนโน๊ตบุ๊ตหน้าจอเล็กๆ เพราะเป็นคีย์บอร์ดเคสที่บางพอดีๆ
ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือสัมผัสในการพิมพ์ สำหรับคนที่ทำงานขีดๆ เขียนๆ ความเมามันในการพิมพ์คืออีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไอเดียลื่นไหล บางครั้งเจอคีย์บอร์ดที่พิมพ์ไม่ถนัด ต้องแก้หลายๆ รอบ ก็พาลทำให้คิดงานไม่ออกไปซะอย่างนั้น
สำหรับคีย์บอร์ดเคสทั้ง 2 รุ่นนี้ ด้วยความที่มีขนาดใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดจริง ตำแหน่งแป้นพิมพ์มันก็เลยอยู่ในจุดที่เราคุ้นเคย ตัดปัญหาเรื่องพิมพ์ผิดเยอะไปได้
ถึงตอนนี้จะยังไม่มีแป้นพิมพ์ตัวอักษรไทยมาให้ใช้ แต่คิดว่าคนที่พิมพ์สัมผัสได้คงไม่มีปัญหาอะไร อีกทางเลือกคือซื้อสติ๊กเกอร์ตัวอักษรภาษาไทยสำหรับแปะแป้นพิมพ์มาใช้ก็ได้
นอกจากนี้ยังมีปุ่มลัดมาให้ด้วย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกหรือสัมผัสในการใช้งานแทบไม่ต่างไปจากคีย์บอร์ดจริง
มาต่อกันด้วยคีย์บอร์ดเคสรุ่น QODE Slim Style ซึ่งจะจะเปรียบเทียบกับตัวแรก ก็คงต้องบอกว่ารุ่นนี้จะดูเป็นวัยรุ่นวัยเรียนมากกว่านิดหน่อย มีการเล่นสีสันมากกว่า และมีความหนามากกว่าด้วย
วัสดุที่ใช้ก็จะเน้นพลาสติกเป็นหลัก น้ำหนักเบา อาจไม่หรูเท่ารุ่นก่อนหน้า แต่รับประกันความเฟี้ยวฟ้าว
สำหรับรุ่นนี้จะไม่สามารถแยกเคสออกจากคีย์บอร์ดได้ แต่ในกรณีที่ไม่ใช้คีย์บอร์ดก็สามารถพับไปไว้ด้านหลังแล้วถือด้วยมือเดียว การเชื่อมต่อไม่ได้เป็นเซนเซอร์อัตโนมัติ ต้องใช้ปุ่มเปิด - ปิด และไม่มีไฟที่แป้นพิมพ์ หรือ Backlit keys สำหรับใช้งานในที่มืด
แต่ฟังก์ชั่นอื่นๆ เหมือนกันทั้งหมด รวมทั้งสัมผัสและความรู้สึกในการใช้งานด้วย
เอาเป็นว่าใครที่ใช้ iPad Air 2 และกำลังมองหาคีย์บอร์ดเคสดีๆ สักอัน ขอแนะนำให้เอา 2 รุ่นนี้มาพิจารณาด้วย เพราะโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเลยทีเดียว กับคีย์บอร์ดเคสที่มีความคล่องตัวสูงและไม่ทำให้เราอารมณ์เสียขณะพิมพ์งาน