เจาะลึกทีเด็ด 17 วิธีประหยัดแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน

เจาะลึกทีเด็ด 17 วิธีประหยัดแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน

เจาะลึกทีเด็ด 17 วิธีประหยัดแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เจาะลึกทีเด็ด 17 วิธีประหยัดแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้สมาร์ทโฟนของคุณ มีชีวิตรอดได้ครบวัน

     อาการที่แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเกิดหมดตอนอยู่นอกสถานที่อย่างไม่คาดฝัน รวมถึงความต้องการที่จะยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้น

     นับเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของใครหลายคน เนื่องในโอกาสนี้เราขอนำเสนอบทความดีๆ เกี่ยวกับเทคนิคในการยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ออกไปให้ยาวนานที่สุด ซึ่งเทคนิคที่เราจะแนะนำดังต่อไปนี้เป็นสากล สามารถนำไปใช้ได้กับสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นแอนดรอยด์ , iOS , Windows Phone รวมทั้ง BlackBerry 

     ซึ่งบางเทคนิคที่เราจะแนะนำดังต่อไปนี้ อาจทำให้ความสามารถในการทำงานของสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตลดลง เพื่อแลกกับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น ดังนั้นการที่จะหยิบเทคนิคไหนไปใช้ ก็ให้พิจารณาตามความเหมาะสม ถ้าหากว่าพร้อมแล้ว เรามาลุยกันเลยครับ

 1. ปิดระบบสั่น

     ระบบสั่นของสมาร์ทดีไวซ์ที่ทำงานโดยการใช้มอเตอร์ตัวเล็กๆ หมุนลูกตุ้มน้ำหนัก เพื่อสร้างให้เกิดแรงสั่นสะเทือน นั้นนับเป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว (การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นกินแบตเตอรี่ไม่น้อย) การปิดการทำงานของระบบสั่นทุกประเภท อาทิ สั่นเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้า หรือสั่นเตือนเมื่อแตะหน้าจอ จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่

 2. ลดความสว่างหน้าจอ

     การปรับหน้าจอให้สว่างมากๆ จะส่งผลให้สีสันที่แสดงบนหน้าจอสว่างเด่นชัดขึ้น แต่ระดับความสว่างหน้าจอที่มากเกินพอดีก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้แบตเตอรี่ หมดเร็วเช่นกัน การปรับลดความสว่างลงให้เหลือเพียงระดับที่ยังสามารถอ่านข้อความที่ปรากฏบน หน้าจอได้อย่างสบายตา (ไม่ควรลดความสว่างมากเกินจนอ่านไม่สบายตา) จึงเป็นวิธีที่ช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ออกไปได้

 3. เลือกใช้ Wallpaper โทนมืดสำหรับจอแบบ AMOLED

     หน้าจอแบบ AMOLED นั้นแต่ละพิกเซลบนหน้าจอมีความสามารถในการเปล่งแสงด้วยตัวเอง การเลือกใช้ Wallpaper รวมถึง Theme ที่มีโทนสีมืดๆ จะช่วยลดการใช้พลังงานของหน้าจออย่างได้ผล

     และสำหรับสมาร์ทโฟนทุกรุ่น การที่ไม่ใช้ Wallpaper แบบเคลื่อนไหวได้ (Live Wallpaper) หรือการยกเลิกฟีเจอร์ Parallax Effect ใน iOS (ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ใช้พลังการประมวลผลจากชิปกราฟฟิค) ก็ช่วยลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ลงได้เช่นกัน

 4. ลดเวลาการเข้าสู่ Sleep Mode ให้สั้นลง

     เมื่อเราเลิกใช้งานสมาร์ทโฟน และวางมันทิ้งไว้เฉยๆ สักพักหนึ่งหน้าจอก็จะดับลง และเครื่องจะปิดตัวเองเข้าสู่ Sleep Mode เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเดิมทีเวลารอคอยเพื่อเข้าสู่ Sleep Mode อาจตั้งไว้ที่ 1 นาที การปรับเวลารอคอยตรงนี้ให้สั้นลง เพื่อให้สมาร์ทโฟนเข้าสู่ Sleep Mode เร็วขึ้นจะช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้เป็นอย่างดี

 5. ปิดเครื่องเมื่อไม่ได้ใช้ ประหยัดแบตเตอรี่แน่นอน

     อีกหนึ่งเทคนิคง่ายๆ ที่เรามักจะหลงลืมกันไป คือการปิดเครื่องในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ หรือช่วงที่ไม่ได้ใช้งานเครื่องต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง การทำแบบนี้จะช่วยถนอมพลังงานแบตเตอรี่ได้อย่างเห็นผล

 6. ปิดแอปที่ไม่ได้ใช้นอกจากทำให้เครื่องเร็วขึ้น ก็ยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่

     สมาร์ท โฟน และแท็บเล็ต รองรับการรันแอปพลิเคชั่นแบบ Multitasking โดยในขณะที่เรากำลังเรียกแอปพลิเคชั่นหนึ่งขึ้นมาใช้งาน ก็ยังมีอีกหลายๆ แอปพลิเคชั่นรันอยู่ในฉากหลัง และแน่นอนว่าการที่มีแอปพลิเคชั่นรันอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากจะทำให้เครื่องช้าลงแล้วก็ยังเปลืองแบตเตอรี่อีกด้วย

     การสั่งให้แอปพลิเคชั่นที่รันอยู่ในฉากหลัง (เลือกสั่งหยุดเฉพาะแอปพลิเคชั่นที่ไม่มีความสำคัญ) จะช่วยให้เครื่องเร็วขึ้น และแบตเตอรี่อยู่ได้นานขึ้น และหากคุณไม่ต้องการไล่สั่งหยุดการทำงานของแอปพลิเคชั่นทีละตัว อุปกรณ์แอนดรอยด์ก็มีแอปพลิเคชั่นที่ช่วยงานนี้ได้ ซึ่งก็คือแอป Advanced Task Manager

 7. ใช้แอปพลิเคชั่น Snapdragon BatteryGuru

     อีกหนึ่งแอปพลิเคชั่นที่ช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานให้อุปกรณ์แอนดรอยด์อย่างเห็นผลคือ Snapdragon BattryGuru ซึ่ง เป็นฝีมือการพัฒนาแอปพลิเคชั่นของบริษัทชั้นนำในวงการผลิตชิปประมวลผลสำหรับ อุปกรณ์โมบายอย่าง Qualcomm แอปพลิเคชั่นนี้จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเรา และปรับแต่งการทำงานของสมาร์ทโฟนให้โดยอัตโนมัติ เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ และสำหรับอุปกรณ์ iOS ให้ลองใช้แอปพลิเคชั่น Battery Life Magic Pro หรือ Battery Doctor Pro

 8. ปิดการทำงานของ GPS และปิด Location Service ของแอปต่างๆ

     เซ็นเซอร์ GPS ก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ในสมาร์ทโฟนที่กินพลังงานสูงเอาเรื่อง การปิด GPS หรือเปิดใช้งานเฉพาะเมื่อจำเป็นจะช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่อย่างได้ผล และอีกเรื่องหนึ่งคือการปิดฟีเจอร์ Location Service (การเข้าถึงตำแหน่งของผู้ใช้งาน) หรือการไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชั่นใดๆ ได้ใช้ Location Service ก็มีส่วนช่วยให้แบตเตอรี่อยู่ได้นานขึ้นด้วย

     เนื่องจากแอปพลิเคชั่นบางตัวจะมีการส่งข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของเราผ่านเครือ ข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่บ่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าการสื่อสารข้อมูล (โดยไม่จำเป็น) ทำให้เปลืองแบตเตอรี่ โดยเปล่าประโยชน์ หรือถ้ายังคงต้องการใช้งาน Location Service อยู่ ก็สามารถเลือกปรับเป็น Low Battery Use ได้ ซึ่งจะใช้แบตเตอรี่น้อยกว่าปกติ

 9. ปิดบลูทูธ, WiFi, 3G/4G, NFC เมื่อไม่ใช้งาน

     ข้อนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะหลงลืมเปิดทิ้งไว้ในบางเวลา หากหมั่นสังเกตที่บริเวณ Notification Icon ทุกครั้งที่เปิดหน้าจอขึ้นมาใช้งาน ก็จะทำให้อาการหลงลืมเปิดทิ้งไว้ลดน้อยลง รู้ไหมว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ เมื่อรู้แล้วก็ปิดบลูทูธ, WiFi, 3G/4G, NFC เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยให้ใช้แบตเตอรี่น้อยลงเช่นกัน

 10. เข้าสู่ Airplane Mode เมื่ออยู่ในพื้นที่ไร้สัญญาณ

     เมื่อออกไซต์งานต่างจังหวัด หรือออกท่องเที่ยวในพื้นที่ชนบทห่างไกล ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณ WiFi ให้เข้าถึง ก็เป็นการดีที่จะเข้าสู่ Airplane Mode (ปิดการเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตทั้งหมด) เพื่อเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ไว้ใช้เมื่อเข้าสู่พื้นที่ ที่มีสัญญาณ อีกทั้งการชาร์จในขณะที่ใช้ Airplane Mode ยังช่วยทำให้ชาร์จแบตเตอรี่เต็มเร็วกว่าปกติอีกด้วย

 11. ปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน

     การแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นทั้งหลายที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ของเรา นอกจากจะทำให้เสียสมาธิในการทำงานแล้ว ก็ยังทำให้เปลืองแบตเตอรี่อีกด้วย เนื่องจากในการแจ้งเตือนแต่ละครั้ง อาจมีการส่งสัญญาณไฟกระพริบ, มีการเปิดหน้าจอ หรืออาจมีการส่งเสียงเตือน จึงสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะปิดการแจ้งเตือน (Notification) ของแอปพลิเคชั่นบางตัวที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะแอปพลิเคชั่นเกมส์ทั้งหลาย

 12. อย่าวางตัวเครื่องทิ้งไว้ในที่ ที่มีอากาศร้อน

เทคนิคนี้อาจฟังไม่คุ้นหู แต่การวางตัวเครื่องสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ไว้ในที่ ที่มีอากาศร้อน หรือในที่ทีแสงแดดส่องถึงโดยตรง จะส่งผลให้พลังงานแบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติ

 13. ตรวจสอบดูว่าอะไรคือตัวการกินแบตเตอรี่

     อุปกรณ์แอนดรอยด์มีเครื่องมือที่ช่วยให้ตรวจสอบได้ว่าฟังก์ชันใด หรือแอปพลิเคชั่นใดใช้พลังงานแบตเตอรี่เปลืองมากที่สุด (ไปที่เมนู ตั้งค่า > การจัดการพลังงาน > แบตเตอรี่) เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นตัวการแล้วก็จะแก้ปัญหาได้ตรงจุด สมมติว่า “หน้าจอ” เป็นตัวการที่กินพลังงานแบตเตอรี่เป็นอันดับต้นๆ ก็สามารถแก้ได้ด้วยการลดความสว่างหน้าจอลง หรือถ้า WiFi เป็นต้นเหตุ ก็อาจะปิดสัญญาณ WiFi เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้งาน หรือปิดก่อนเข้านอน เป็นต้น

 14. เรียกใช้โหมดประหยัดพลังงานเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด

     สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตบางแบรนด์มาพร้อมโหมดประหยัดพลังงาน ตัวอย่างเช่น Stamina Mode ของ Sony ที่ปิดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกช่องทางเมื่อปิดหน้าจอ และจะกลับมาเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดหน้าจอใช้งาน เป็นฟีเจอร์ช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ได้เป็นอย่างดี ส่วน Samsung Galaxy S5 นั้นมี Ultra Power Saving Mode ที่เปลี่ยนการแสดงผลของจอภาพให้เป็นแบบขาวดำ ช่วยยืดเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ออกไปได้อีกเป็นวัน

 15. กำหนดให้แอปซิงค์ข้อมูลผ่าน WiFi เท่านั้น

     การที่แอปพลิเคชั่นต่างๆ ในอุปกรณ์ของเราทำการซิงค์ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตย่อมสิ้นเปลืองพลังงาน แบตเตอรี่เป็นธรรมดา แต่หากจะปิดการการซิงค์เสียเลยก็จะทำให้แอปพลิเคชั่นนั้นมีปัญหาในการทำงาน ข้อควรรู้คือ การซิงค์ข้อมูลผ่านเครื่องข่าย 3G/4G นั้นกินพลังงานมากกว่าการซิงก์ผ่าน WiFi ดังนั้นหากต้องการประหยัดพลังงานแบบสุดๆ ก็ควรเซ็ตให้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ทำการซิงค์ข้อมูลผ่าน WiFi เท่านั้น

 16. อย่าหมกมุ่นกับการปิดแอปพลิเคชัน

     อาจฟังดูแล้วขัดแย้งกับข้อที่ 6 แต่หลายคนคงคิดว่าการที่ปิดแอปพลิเคชัน จะช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้ นั่นก็จริงอยู่ สำหรับแอปพลิเคชันจำพวกเกม หรือแอปพลิเคชันที่ต้องใช้การประมวลผลด้านกราฟิกหนักๆ แต่หารู้หรือไม่ว่าแอปพลิเคชันที่ทำงานเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นแอปฯ ที่เกี่ยวกับการส่งข้อความนั้น

     การมานั่งปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปฯเหล่านี้เท่ากับเป็นการบังคับให้แอปฯ นั้นรันตัวเองขึ้นมาใหม่ ยิ่งปิดการทำงานเบื้องหลังบ่อยมาก ก็ทำให้กินพลังงานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเจอแอปฯที่ทำงานเบื้องหลัง ก็ไม่ต้องไปปิดจะดีกว่า จะช่วยแบตเตอรี่อีกมาก

 17. ลงแอปพลิเคชันเท่าที่จำเป็น

     แน่นอนว่ายิ่งลงแอปพลิเคชันจำนวนมาก นอกเหนือจากการทำให้หน่วยความจำเครื่องน้อยลงแล้ว ยังมีผลต่อการใช้งานในด้านแบตเตอรี่อีกด้วย หลายๆ แอปพลิเคชันยังคงทำงานเบื้องหลังถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดเรียกใช้ขึ้นมาก็ ตาม ยิ่งมีหลายแอปฯ แบตเตอรี่ก็ยิ่งหมดเร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรลงแอปฯเท่าที่จำเป็นจะดีกว่า

      เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ก็หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้นำเคล็ดวิชาทั้ง 17 อย่างนี้ ไปใช้งานจริงให้เกิดประโยชน์ได้ตามความเหมาะสม ใครลองเอาไปใช้แล้วได้ผลอย่างไร ก็กลับมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook