เปอร์ สุวิกรม อัมระนันทน์ ผมไม่มีความฝันว่าอยากเป็นอะไร

เปอร์ สุวิกรม อัมระนันทน์ ผมไม่มีความฝันว่าอยากเป็นอะไร

เปอร์ สุวิกรม อัมระนันทน์ ผมไม่มีความฝันว่าอยากเป็นอะไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คืออยากเป็นทุกอย่างที่อยากเป็น

เรียนวิศวะทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีระบบ
ย้อนไปเมื่อปี 2550 เรารู้จักเด็กผู้ชายคนนี้ผ่านหนังแนวเรียลิตี้เรื่อง "Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์" หนังตามติดชีวิตเด็กมัธยมปลายในวันเอ็นทรานซ์ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กชายในวันนั้น เขาได้โตเป็นหนุ่มเต็มตัวในวันนี้ และไม่ใช่แค่ร่างกายที่เติบโต แต่แนวความคิดของเขาก็โตขึ้นด้วย เกริ่นนำมาขนาดนี้เชื่อว่าหลายคนคงเดาออกแล้วว่าเรากำลังพูดถึง หนุ่มเปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ารอช้า ขยับเข้ามาใกล้ ๆ ไปตามติดชีวิตของหนุ่มเปอร์กันได้เลย

ทักทายกันก่อน
สวัสดีครับ เปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์ ตอนนี้เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ครับ

‘Final Score'จุดเริ่มต้นงานบันเทิง
เพราะภาพยนตร์เรื่อง ‘Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์' จึงทำให้ผมมีโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิง ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่มัธยม ตอนแรก ๆ ก็เนื้อหอมอยู่เหมือนกัน มีคนชวนไปทำงานด้วยหลายที่ ก็มีที่หนึ่งเขาชวนไปจัดรายการวิทยุ ซึ่งเราชอบฟังรายการวิทยุอยู่แล้ว ชอบฟังคลื่น 104.5 FAT Radio ก็เลยลองไปจัดดู แต่พอไปจัดเรารู้สึกไม่ถนัด เพราะมันไม่ใช่สไตล์เรา ก็เลยขอให้พี่ที่เขาเป็นพีอาร์โทร.ไปที่แฟตเรดิโอ ขอไปจัดรายการที่โน่น เพราะเรารู้ว่าที่แฟตฯ น่าจะตอบโจทย์เราได้มากกว่า พี่ที่แฟตฯ ก็ใจดี บอกให้ลองมาจัด ช่วงนั้นจะมีช่วง FAT you! ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาหรือคนทั่วไปมาจัดรายการ ผมก็เข้าไปจัดช่วงนั้นดู พี่เขาก็เห็นว่าจัดได้ ก็เลยให้เป็นดีเจที่แฟตฯ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ก็เกือบ 5 ปีแล้ว จัดช่วงวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 23.00-01.00 น. นอกจากงานดีเจก็มีงานพิธีกรรายการต่าง ๆ บ้างครับ

ดีเจอาชีพที่ไม่อยากเป็น
ตอนแรกที่เข้าไปเป็นดีเจที่แฟตฯ ผมไม่เคยมีความฝันว่าอยากเป็นดีเจมาก่อน แต่อยากเข้าไปที่นั่น เพราะอยากไปหาความรู้ในเรื่องของเพลง อยากเป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานต่าง ๆ ที่แฟตฯ จัดขึ้น เพราะตอนที่เราเป็นเด็ก เรามีความรู้สึกว่า พวกพี่ทีมงานเขาคิดได้ยังไง เออ! มันเจ๋งอ่ะ อยากรู้ว่าเบื้องหลังเขาทำงานยังไงถึงได้ออกมากวนตีนแบบนี้ ออกมาโดนใจแบบนี้ ก็อยากจะเข้าไปเอาความคิดของพวกเขา และก็เป็นโชคดีของเราที่เข้าไปแล้วมีพี่ ๆ คอยสอนให้เราได้สังเกตเอาประสบการณ์จากเขา ได้อยู่ใกล้ ๆ คนดี ๆ ทำให้พัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นมา เพิ่มพูนประสบการณ์ตัวเองมากยิ่งขึ้น จากที่เป็นครูพักลักจำ พูดง่าย ๆ ก็คือขโมยความรู้คนอื่นมาใส่ตัวเรา แล้วเราก็วิเคราะห์กลั่นกรองออกมาเป็นตัวเราเอง ซึ่งตอนนี้ต้องขอบคุณพี่เขามาก เพราะมันทำให้ผมได้รู้ในสิ่งที่ผมอยากทำ

ดีเจคืองานอดิเรก
สำหรับผม งานดีเจไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นงานอดิเรก มันคือการผ่อนคลาย คือการสร้างความสุขให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่ผมจัดรายการ เปิดเพลงให้คนอื่น เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้คนอื่นฟัง ผมทำแล้วมีความสุข ดีเจเป็นงานแรกที่ได้เงิน ถือว่าเป็นอาชีพแรก แต่ผมไม่เรียกว่าเป็นอาชีพเพราะผมไม่อยากให้มันเป็น อะไรที่มันเป็นอาชีพทำแล้วจะเบื่อ ผมจะทำเพราะว่ามันคือชีวิตของผม ผมเป็นคนกำหนด ถ้าตราบใดก็ตามที่ผมทำแล้วคนอื่นเป็นคนกำหนด ไม่ใช่ผม ผมก็ไม่ทำ เพราะผมไม่มีความสุข ดีเจเป็นงานที่เงินไม่ได้เยอะเลย แต่สำหรับผมเรื่องเงินไม่สำคัญ สำคัญที่เรามีความสุขเวลาที่เราได้เปิดเพลง ได้เล่าเรื่องอะไรให้คนฟัง ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ดี ๆ ให้คนฟัง มันมีความสุขตรงนี้

แฟตฯ เป็นคลื่นของเด็กแนว
หลายคนมองกันอย่างนั้นก็เข้าใจได้ เขาจะเรียกยังไงก็ช่าง นั่นเป็นสิ่งที่สังคมมอง สิ่งที่คนทั่วไปมอง แต่ความเป็นจริงแล้ว จุดเริ่มต้นของแฟตเรดิโอไม่ได้มีเจตนาเป็นคลื่นที่แตกต่างหรือโดดเด่นในเรื่องของความเป็นแนว เพราะสมัยนั้นไม่มีคำนี้ด้วยซ้ำ ที่ผมพูดได้เพราะว่ารุ่นพี่ที่เขาเริ่มก่อตั้งเขาบอกผม ผมเข้ามาทำงานที่แฟตฯ วันแรก เขาก็เล่าให้ฟังถึงจุดมุ่งหมายหรือแนวทางของแฟตเรดิโอ ว่าเราทำขึ้นมาเพื่ออะไร เราจะได้คิดเหมือนกัน เราจะได้มีแนวทางเดียวกัน

สังเกตว่าแฟตเรดิโอทำอะไรจะฉีกกฎ แหกกฎตลอด ไม่ใช่ว่าเราต้องการความแตกต่าง แต่เราต้องการจะทำอะไรเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ ให้เห็นศักยภาพ โบราณอาจจะบอกแบบนี้ แต่เราอาจจะทำอีกแบบหนึ่งได้ ซึ่งลักษณะนิสัยแบบนนี้ ถ้าเกิดในตัวบุคคล ตัวองค์กร หรือในอะไรก็ตาม ย่อมจะเกิดการพัฒนา เพราะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำอะไรที่มันไม่ซ้ำจำเจ คุณไม่จำเป็นต้องมาเปิดเพลงแบบแฟตเรดิโอก็ได้ แต่ถ้าต่อไปในอนาคตใช้ความคิดแบบเดียวกัน คุณไม่อยากเปิดเพลงอย่างแฟตเรดิโอ คิดอะไรแตกต่างไปจากแฟตเรดิโอ นั่นหมายความว่าแฟตเรดิโอประสบความสำเร็จ เพราะทำให้คนคิดต่างได้

เรียนวิศวะคณะเดียวกับพ่อ
ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ตั้งแต่เด็กจนโตผมชื่นชมคุณพ่อมาก เพราะคุณพ่อเก่ง พ่อซ่อมโน่นนั่นนี่ตลอดเวลา ทีวีที่บ้านเสีย แอร์พัง พ่อซ่อมให้หมด ประดิษฐ์โน่นนั่นนี่ ทำได้ทุกอย่าง รถพ่อเสียยังซ่อมเอง ทั้งที่พ่อไม่ได้เป็นช่าง คุณพ่อเป็นวิศวะโยธา เราก็เลยคิดว่าอาชีพวิศวกรคงสอนให้คุณพ่อเป็นแบบนั้น ทำอะไรก็เป็นระบบ ทำอะไรก็บรรลุลุล่วงตามความตั้งใจที่เขาพูดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะลงมือทำ เราก็เห็นมาตลอด นั่นคือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลือกเรียนคณะนี้

แต่ตอนนั้นก็สับสนอยู่เหมือนกัน เพราะเรารู้สึกว่าคณะนิเทศฯ เราก็ชอบ เพราะตอนที่เล่น ‘Final Score' พี่ ๆ ทีมงานส่วนใหญ่เขาก็จบนิเทศฯ มา เราก็เลยรู้สึกว่า เออ..คณะนี้เราก็ชอบ แต่ก็มีข้อถกเถียงในใจว่า ตลอดเวลาที่สังเกตพี่เขาทำงาน เรารู้สึกว่าเราไม่เรียนเราก็ทำงานนี้ได้

ก็ลองมาดูคณะบริหาร มาสังเกตนักธุรกิจหลาย ๆ คนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งบางความคิดเราคิดว่าเราก็คิดได้โดยที่ไม่ต้องเรียนบริหาร สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกตามลักษณะนิสัยของตัวเอง คือนิสัยส่วนตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็น อยากจะเอาสิ่งใหม่ ๆ เข้าตัวอยู่เสมอ พร้อมที่จะรับเรื่องราวข่าวสารอยู่ตลอด เพราะเชื่อว่าชีวิตคือการเรียนรู้ ก็คิดว่าวิศวะเนี่ย ถ้าเราไม่มีความรู้ เราจะไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เลย เราจะไม่มีวันวาดตึก คำนวณตึกได้เลยถ้าเราไม่เรียนมา ซึ่งนั่นก็เป็นแรงบันดาลใจเรื่องแรก ก็คือคุณพ่อ อย่างที่สองคือเราไม่มีทางรู้ได้ถ้าเราไม่เรียน อย่างที่สามก็คือ เราอยากมีบริษัทเป็นของตัวเอง และดูคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายส่วนใหญ่จบวิศวะ เพราะวิศวะสอนให้คนคิดเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน มีการวางแผนที่ดี ก็เลยทำให้คนที่เรียนคณะนี้ประสบความสำเร็จไปด้วย

ชีวิตไม่มีความฝันอยากเป็นอะไร
ผมไม่มีความฝันว่าอยากเป็นอะไร คืออยากเป็นทุกอย่างที่อยากเป็น ย้อนไปในวันก่อนเราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราอยากเป็นอะไร ส่วนตอนนี้เริ่มทำงานจึงเริ่มรู้แล้วว่านี่คือสิ่งที่มันใช่แล้วที่เราอยากเป็น เราไม่เคยอยากจะมีชื่อเสียง เราไม่เคยอยากจะเป็นพิธีกร เราไม่เคยอยากจะเป็นดีเจ แต่วันหนึ่งมีโอกาสได้เป็น เออ..มันใช่ตัวเรา คุณไม่มีวันรู้ได้ตั้งแต่วันแรกหรอกว่าอยากเป็นอะไร แต่รู้ว่าลักษณะนิสัยของเราเป็นมาตลอด ชอบค้นคว้าหาความรู้ หรือพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ตัว ซึ่งผมก็รู้คำตอบตอนช่วงหลัง ๆ นี่เอง
ผมให้คำตอบกับชีวิตได้แล้วว่า จุดมุ่งหมายการมีชีวิตอยู่ของตัวผมเอง ไม่ใช่อยู่เพื่อคนที่ผมรักแต่เพียงอย่างเดียว แต่ผมอยู่เพื่อสิ่งที่ผมรัก ก็คือการศึกษาหาความรู้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีช่วงชีวิต สามารถใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ได้เท่า ๆ กัน แตกต่างกันไม่เกินสิบปี สิ่งที่มันเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเรามันเยอะมาก มากกว่าที่เราจะตักตวงมาสู่ตัวเราได้หมด แต่จะทำยังไง จะทำให้ตั้งแต่วันที่เกิด จนถึงวันที่มีชีวิตอยู่วันสุดท้ายเนี่ย ผมจะสามารถตักตวงมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ไม่ได้โลภ แต่รู้สึกมีความสุขกับการได้ศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา

ฝากถึงน้อง ๆ
น้อง ๆ ที่แอดมิสชั่นส์ คนส่วนใหญ่จะให้เราถามตัวเองให้ได้ว่าอยากเรียนอะไร ตอนนั้นผมก็ตอบไม่ได้หรอกว่าอยากเรียนอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตีความลงไปให้ลึกกว่านั้น คำที่ผู้ใหญ่ให้เลือกว่าคุณอยากจะเรียนอะไรน่ะ จริง ๆ แล้วมันหมายความว่าคุณโตขึ้นมาแล้วคุณอยากจะเป็นอะไร คุณอยากเข้าไปอยู่ในสังคม หรือว่าไปยืนในชีวิตของตัวเองนะจุด ๆ ไหน วาดภาพออกมา ถ้าคุณวาดภาพไว้แล้วว่ามันคืออะไร อาชีพอะไร หรือแม้ว่าเป็นอาชีพที่มันยังไม่มีตัวตน แต่ฝันไว้แล้วว่าอยากออกมาเป็นแบบนี้ เราก็ศึกษาเอาไว้ว่าแต่ละคณะ แต่ละวิชา สามารถพาคุณเข้าไปใกล้ในสิ่งที่คุณอยากเป็น คุณก็เลือกคณะนั้น เพราะมันเหมาะกับคุณแล้ว หรือเลือกคณะที่จะพาคุณไปสู่ฝันในบั้นปลายชีวิตได้นั่นแหละ ถือว่า GOAL

ที่มา "การศึกษาวันนี้"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook