Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060//s.isanook.com/ca/0/ud/285/1425399/tagline-template-update-april.jpg
ไขข้อสงสัย ถ้ายุงดูดเลือดคนเป็นโรค แล้วมาดูดเลือดเรา เราจะติดโรคมั้ย
2025-06-27T14:28:10+07:00
ยุงกัดแล้วจะติดโรคไหม? คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะเวลาที่ได้ยินว่ายุงเพิ่งไปกัดคนที่ป่วยมา แล้วมาดูดเลือดเราต่อทันที หลายคนก็เริ่มไม่สบายใจ กลัวว่าจะติดโรคจากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ที่ยุงสามารถส่งต่อโรคได้ทันที? วันนี้เรามีคำตอบที่คุณอาจคาดไม่ถึง รู้ไว้ก่อนจะกลัวเกินเหตุ
วันนี้เราก็ได้ไปหาข้อมูลมาไขข้อสงสัยเพื่อนๆ กันว่า ถ้ายุงไปดูดเลือดคนที่เป็นโรคมา แล้วมาดูดเลือดเราต่อ เราจะสามารถติดโรคจากคนอื่นได้หรือไม่
ยุงกัดแล้วจะติดโรคไหม?
ไขข้อสงสัย ถ้ายุงดูดเลือดคนเป็นโรค แล้วมาดูดเลือดเรา เราจะติดโรคมั้ย
ยุง สามารถเป็นพาหะนำโรคจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ แต่การติดเชื้อจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคที่ยุงเป็นพาหะนำมา ยุงไม่ได้เป็นสื่อนำพาโรคทุกโรค
- โรคไข้เลือดออก (Dengue): ยุงลาย (Aedes) เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออก ยุงจะติดเชื้อไวรัสจากการกัดคนที่ติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่น ๆ ที่ยุงไปกัด
- โรคมาลาเรีย (Malaria): ยุงก้นปล่อง (Anopheles) เป็นพาหะนำเชื้อปรสิตพลาสโมเดียม (Plasmodium) ที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย ยุงจะติดเชื้อปรสิตจากการกัดคนที่ติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่น ๆ ที่ยุงไปกัด
- โรคไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya): ยุงลาย (Aedes) ยังสามารถเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาได้ ยุงจะติดเชื้อไวรัสจากการกัดคนที่ติดเชื้อและแพร่เชื้อไปยังคนอื่น ๆ ที่ยุงไปกัด
- โรคซิกา (Zika): ยุงลาย (Aedes) เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสซิกา ยุงจะติดเชื้อไวรัสจากการกัดคนที่ติดเชื้อและแพร่เชื้อไปยังคนอื่น ๆ ที่ยุงไปกัด
ดังนั้น ถ้ายุงกัดคนที่เป็นโรคแล้วมากัดคุณต่อ คุณมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคที่ยุงเป็นพาหะนำมา
ถ้ายุงกัดคนที่เป็น HIV มาแล้วจะทำให้เราติดเชื้อ HIV ไหม?
ยุงกัดทำไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะยุงไม่ใช่พาหะในการนำเชื้อเอชไอวีมาสู่คน เมื่อยุงดูดเลือดของคนที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าไปในตัวมันแล้ว สภาพแวดล้อมในตัวมันไม่เหมาะแก่การแพร่ขยายหรือเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวีได้ รวมทั้ง ขณะที่ยุงเอาปากตัวเองออกจากผิวหนังของผู้ติดเชื้อเอชไอวี หลังจากดูดเลือดอิ่มแล้ว เลือดที่ติดอยู่ที่ปากของยุงจะถูกผิวหนังปาดออกไปจนไม่มีไวรัสหลงเหลืออยู่ หรือหากเหลืออยู่ก็ไม่มีปริมาณเพียงพอที่จะก่อให้เกิดโรคได้
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากยุงกัด
แม้จะเลี่ยงการเจอกับยุงได้ยากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันตัวเองจากโรคที่มียุงเป็นพาหะได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์: เทน้ำขังในภาชนะรอบบ้าน เช่น ถาดรองกระถาง แจกัน หรือยางรถยนต์เก่า เพื่อไม่ให้ยุงวางไข่
- ติดตั้งมุ้งลวด: ที่หน้าต่างและประตู เพื่อป้องกันยุงบินเข้าบ้าน
- ทายากันยุงเป็นประจำ: โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่โล่ง หรือมีพุ่มไม้
- สวมเสื้อผ้ามิดชิด: เลือกใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โดยเฉพาะช่วงเวลา เช้ามืด และ พลบค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่ยุงชุกชุมมากที่สุด
- นอนในมุ้ง: โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือมีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
การดูแลสิ่งแวดล้อมและป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อจากยุงลาย เช่น ไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา หรือไข้ซิกา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วงจรชีวิตของยุงตัวเมีย
ยุงที่ดูดเลือดมนุษย์ คือ “ยุงตัวเมีย” เท่านั้น เพราะต้องใช้โปรตีนในเลือดไปสร้างไข่! แม้จะตัวเล็ก แต่เบื้องหลังการแพร่พันธุ์ของมันไม่ธรรมดาเลย
- อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 6–7 วัน
- เมื่อดูดเลือดอิ่ม มันจะไปซ่อนตัวในที่มืด เช่น พุ่มไม้ มุมบ้าน หรือท่อระบายน้ำ
- จากนั้นจะ วางไข่มากกว่า 100 ฟองต่อครั้ง
- และสามารถกลับมาดูดเลือดเพื่อวางไข่รอบใหม่ได้อีก นานถึง 1 เดือน
อ่านเพิ่มเติม
แชร์เรื่องนี้