วิธีสังเกต “แบงก์ปลอม” และวิธีจัดการถ้าเรากำลังครอบครองอยู่

วิธีสังเกต “แบงก์ปลอม” และวิธีจัดการถ้าเรากำลังครอบครองอยู่

วิธีสังเกต “แบงก์ปลอม” และวิธีจัดการถ้าเรากำลังครอบครองอยู่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาลองสำรวจและจดจำข้อมูลกันหน่อยดีกว่า แบงก์ปลอม มีข้อสังเกตอย่างไร รวมไปถึงถ้าเรามีแบงก์ปลอมในครอบครอง เราควรต้องจัดการกับมันอย่างไร

จุดสังเกตบนธนบัตรรัฐบาลไทย

เนื่องจากธนบัตรนั้นเป็นเงินตราที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ลักษณะพิเศษของธนบัตรจึงต้องยากต่อการปลอมแปลง และง่ายต่อการสังเกตตรวจสอบ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้วิธีสังเกตตรวจสอบธนบัตรด้วยวิธีการสัมผัส ยกส่อง และพลิกเอียง ซึ่งจะเป็นวิธีการดูง่าย ๆ โดยที่ไม่ใช้อุปกรณ์

การสัมผัส

  • สัมผัสกระดาษธนบัตร
    ธนบัตรจริงจะทำจากกระดาษที่มีใยฝ้ายเป็นส่วนประกอบหลัก เนื้อกระดาษจะเหนียว แกร่ง ทนทาน และไม่ยุ่ยง่าย เมื่อสัมผัสจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากกระดาษทั่ว ๆ ไป
  • สัมผัสลายพิมพ์เส้นนูน
    ลายพิมพ์ที่เกิดบนธนบัตรจริงนั้นเกิดจากการพิมพ์โดยใช้แม่พิมพ์ที่มีร่องหมึกลึกและใช้แรงกดพิมพ์สูง หมึกพิมพ์จะนูนขึ้นมาจากเนื้อกระดาษ ภาพ ลายเส้นที่ได้จะมีรายละเอียดคมชัด ซึ่งจะใช้ในการพิมพ์พระบรมฉายาทิสลักษณ์, รัฐบาลไทย, ตัวอักษร และตัวเลขแจ้งชนิดราคา เมื่อลูบสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด

การยกส่อง

  • ยกส่องดูลายน้ำ
    จะเห็นลายน้ำเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อกระดาษ ซึ่งเกิดขึ้นจากขั้นตอนการผลิตกระดาษที่ใช้กรรมวิธีพิเศษ ที่ทำให้เนื้อกระดาษมีความหนาบางไม่เท่ากัน จึงเกิดเป็นภาพตามที่ต้องการ ลายน้ำบนธนบัตรจะเป็นพระบรมฉายาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อยกส่องกับแสงจะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลังของธนบัตร อีกทั้งยังมีตัวเลขชนิดราคารูปลายไทยที่โปร่งแสงเป็นพิเศษด้วย
  • ยกส่องดูภาพซ้อนทับ
    ภาพซ้อนทับเกิดจากเครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ภาพทั้งสองด้านได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้ลวดลายที่ออกแบบไว้ในตำแหน่งตรงกันทั้งด้านหน้าและหลังซ้อนทับกันสนิท หรือจะประกอบกันขึ้นเป็นลวดลายหรือภาพที่สมบูรณ์ จะสังเกตได้เมื่อยกธนบัตรขึ้นส่องดูกับแสงสว่าง

การพลิกเอียง

  • พลิกหาตัวเลขแฝง
    บริเวณที่เป็นลายประดิษฐ์ เมื่อเอียงธนบัตรเข้าหาแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขแจ้งชนิดราคาแฝงไว้อยู่ในลายประดิษฐ์นั้น
  • พลิกดูหมึกพิมพ์พิเศษ
    บริเวณลายดอกประดิษฐ์ บนธนบัตรชนิดราคา 500 บาท และ 1000 บาท จะพิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์แม่เหล็กสามมิติเปลี่ยนสีได้ โดยภายในจะมีตัวเลขแจ้งชนิดราคา เมื่อพลิกธนบัตรขึ้นลงหรือพลิกซ้ายขวา จะเห็นการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนสลับสี ส่วนชนิดราคา 100 บาท ลายดอกประดิษฐ์ก็จะพิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์พิเศษ เมื่อพลิกธนบัตรไปมาจะเห็นเป็นประกาย
  • พลิกดูแถบสี
    จะเกิดขึ้นในขั้นตอนผลิตกระดาษ ซึ่งจะใช้กรรมวิธีพิเศษที่ฝังแถบพลาสติกขนาดเล็กที่เคลือบด้วยสีโลหะไว้ในเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง มีบางส่วนของแถบปรากฏให้เห็นเป็นระยะ และจะเปลี่ยนสีได้เมื่อเปลี่ยนมุมมอง ภายในแถบจะมีตัวเลขและตัวอักษรแจ้งชนิดราคาขนาดเล็ก เมื่อยกธนบัตรส่องดูกับแสงจะมองเห็นและอ่านได้ชัดเจน ทำให้เห็นแถบสีเคลื่อนไหวสลับสีไปมา
  • พลิกดูแถบฟอยล์ภาพ 3 มิติ
    แถบฟอยล์ภาพ 3 มิติจะผนึกไว้ตามแนวตั้ง ภายในเป็นภาพมีมิติ เมื่อพลิกเอียงธนบัตรไปมาจะเห็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในแถบฟอยล์เคลื่อนไหวได้ และเปลี่ยนสีสะท้อนแสงวาววับสวยงาม
  • ลักษณะพิเศษภายใต้รังสีเหนือม่วง (แสงแบล็กไลท์)
    เนื่องจากธนบัตรพิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์พิเศษเรืองแสง ทำให้สามารถมองเห็นการเรืองแสงเมื่ออยู่ภายใต้รังสีเหนือม่วง บริเวณลายประดิษฐ์บริเวณกลางธนบัตร ตัวเลขแจ้งชนิดราคา หมวดเลขหมายจะเรืองแสง และเส้นใยที่ฝังในเนื้อกระดาษก็จะเรืองแสงเป็นสีเหลือง แดง และน้ำเงิน

มีแบงก์ปลอมในครอบครองทำไงดี

ปกติแล้วการสังเกตเงินจะค่อนข้างทำได้ยาก เพราะไม่ค่อยมีใครทำกัน เนื่องจากเป็นสิ่งที่ได้มาแล้วใช้ไป ยิ่งถ้าหากเป็นธนบัตรราคาน้อย ๆ ก็ยิ่งไม่มีใครสนใจจะดู แต่เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดไม่ให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจก็ควรต้องตรวจสอบดูก่อน

หากเราใช้จ่ายไปด้วยแบงก์ปลอม โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นแบงก์ปลอมก็อาจไม่มีความผิดอะไร แต่หากตรวจดูแล้ว และก็รู้ว่าเป็นแบงก์ปลอมแน่ ๆ แต่ก็ยังจะใช้ กรณีนี้ถือว่ามีความผิดแน่นอน ดังนั้น เมื่อมีแบงก์ปลอมอยู่ในครอบครอง จะต้องปฏิบัติดังนี้

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นแบงก์ปลอม โดยเฉพาะแบงก์ที่มีราคาสูง
  • จากนั้นแยกออกจากแบงก์จริง แล้วเขียนว่า “ปลอม”
  • ห้ามนำไปใช้จ่ายอีกโดยเด็ดขาด
  • แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  • นำไปส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อขึ้นบัญชีเป็น “ธนบัตรปลอม”
  • หากจำได้ว่าใครเป็นผู้นำมาใช้ ควรจดจำรูปพรรณสัณฐานให้ดี เพื่อใช้ในการเป็นเบาะแสจับกุม และยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง
  • หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หมายเลขสายด่วน 1213

บทลงโทษที่เกี่ยวกับแบงก์ปลอม

  • การผลิต การใช้ และการครอบครองแบงก์ปลอมนั้น มีบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 คือ
  • บทลงโทษสำหรับผู้ปลอมแปลงเงินตรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 ระบุว่ามีโทษจำคุก 10-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 200,000-400,000 บาท
  • บทลงโทษสำหรับผู้มีเงินปลอมในครอบครองและนำออกมาใช้จ่าย “โดยตั้งใจ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ระบุว่ามีโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 300,000 บาท
  • บทลงโทษสำหรับผู้มีเงินปลอมโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับนำออกมาใช้จ่ายหลังจากตรวจสอบแล้วว่าเป็นแบงก์ปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 245 ระบุว่ามีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • บทลงโทษสำหรับผู้ผลิตเครื่องมือปลอมแปลงเงินตรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 246 จำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท

หมายเหตุ อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook