“ขอโทษจริงๆ” “ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” “ผมเสียใจ ขอโทษ” “ก็ขอโทษพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยแล้วกัน”
ขอโทษ คำนี้แม้จะเป็นคำที่พูดที่ใครๆ ก็พูดได้ หลายคนพูดขอโทษติดปากทั้งที่ไม่ได้ทำความผิด บางคนพูดขอโทษออกมาอย่างอัตโนมัติ แต่ความจริงแล้วคำ “ขอโทษ” นี้ไม่ได้มาจากธรรมชาติของมนุษย์ ตรงกันข้าม การขอโทษเป็นสิ่งที่ต้องผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อรักษาความราบรื่นในเรื่องความสัมพันธ์ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างหมู่สัตว์สังคมที่เรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์ต่างก็มี อัตตา ยึดถือตัวตนของแต่ละบุคคลเป็นใหญ่
ดังนั้นเมื่อถึงกาลจะต้องเอ่ยคำ “ขอโทษ” ขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนั่นหมายถึงเราต้องยอมลดคำว่าอัตตาของเราลง พร้อมยอมรับในความผิดที่ทำลงไป จึงจะทำให้การขอโทษสำฤทธิ์ผลในแง่ที่ทำให้คนพูด สามารถพูดขอโทษออกมาจากใจจริงได้อย่างไม่รู้สึกขวยเขิน และคนฟังเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดนั้นจนเกิดการให้อภัย และพร้อมที่จะสานต่อความสัมพันธ์ต่อไปได้
การขอโทษ คำนี้สำคัญในทุกวัฒนธรรม ถึงขั้นที่มีผู้ศึกษาค้นคว้าทั้งในแง่ความหมายและวิธีการขอโทษอยู่มากมายรวมไปถึงการขอโทษที่ใช้ในเวทีการเมืองและวงการบันเทิง เช่นในงานวิจัยเรื่อง การขอโทษในปริจเฉทการแถลงข่าวอื้อฉาว ของบุคคลในวงการบันเทิงไทย ซึ่งได้รวบรวมนิยามและความหมายของการขอโทษไว้อย่างน่าสนใจ อาทิ กอฟแมน (Goffman, 1971) กล่าวว่า หน้าที่หลัก ของการขอโทษคือการสลัดภาพด้านลบของผู้แสดงการขอโทษออก และยังคงภาพด้านดีที่ต้องการนำเสนอไว้
ส่วนนักปรัชญากลุ่มเจตนานิยมอย่าง ออสติน (Austin, 1962) กล่าวถึง การขอโทษ ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำเพื่อแสดงการกระทำ โดยผู้พูดไม่ได้เพียงแต่กล่าวสิ่งที่เป็นจริงหรือเท็จเท่านั้น แต่ยังใช้ภาษาเพื่อกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย
ด้านเบอนัวต์ (Benoit, 1995) กล่าวว่าการขอโทษเป็นกลวิธีหนึ่งของการกู้ภาพลักษณ์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลสาธารณะได้กระทำความผิดโดยที่สังคมรับรู้และไม่อาจนิ่งเฉยได้ เพราะการนิ่งเฉยอาจถูกพิจารณาว่าเป็นการยอมรับความผิด ส่งผลต่อเนื่องถึงหน้าตา ภาพลักษณ์ และชื่อเสียงที่สั่งสมไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเสียหน้า หรือขอโทษเพื่อแก้ไขเมื่อเกิดการเสียหน้าขึ้นแล้ว
แต่บางครั้งการขอโทษก็เกิดจากสังคมรอบข้าง เช่น นิยามการขอโทษของ แฮริสและคณะ (Harris et al., 2006) ที่เห็นว่า บางกรณีการขอโทษของบุคคลสาธารณะก็เกิดขึ้นเพราะการกดดันจากกระแสสังคมที่เกิดการถกเถียงโต้แย้งเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ รวมไปถึงมีการเรียกร้องกดดันให้ผู้เกี่ยวข้องแสดงการขอโทษ
ตัวอย่างที่สนับสนุนคำกล่าวของแฮริส เช่น ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ออกมาขอโทษกรณีสหรัฐอเมริกาเกี่ยวข้องกับเรื่องการค้าทาสชาวแอฟริกัน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงขอโทษกรณีอังกฤษเข้ายึดครองดินแดนของชาวเมารี และ นายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ขอโทษกรณีทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ เป็นต้น
เมื่อการขอโทษไม่ได้เกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ การฝึกกล่าวคำขอโทษจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น เช่นเดียวกับ How to ขอโทษอย่างไรให้มาจากใจจริงที่เราได้รวบรวมเป็นไอเดียในการฝึกที่จะกล่าวขอโทษไว้ ดังนี้
หากคุณรู้สึกถึงความผิดนี้จริงๆ การขอโทษก็ไม่ยากเกินที่จะพูดออกมา