7 เรื่องที่พ่อแม่ต้องระวังเมื่อเด็ก “เปิดเทอม”

7 เรื่องที่พ่อแม่ต้องระวังเมื่อเด็ก “เปิดเทอม”

7 เรื่องที่พ่อแม่ต้องระวังเมื่อเด็ก “เปิดเทอม”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในช่วงเปิดภาคเรียน เป็นช่วงที่เด็ก ๆ จะอยู่ห่างจากสายตาพ่อแม่หรือผู้ปกครอง แม้ว่าที่โรงเรียนจะมีครูคอยดูแล แต่ก็อาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง ทำให้บ่อยครั้ง เด็ก ๆ ก็เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือสถานการณ์เสี่ยงต่อชีวิต ที่อาจลงท้ายด้วยความสูญเสีย ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงควรระวัง 7 เรื่องนี้ให้มากในช่วงที่เด็กต้องไปโรงเรียน

1. ระวังเปียกฝน

ช่วงเปิดภาคเรียนตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี อย่างที่รู้กันว่าการเปียกฝนทำให้เจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะกับเด็กวัยอนุบาล อายุต่ำกว่า 6 ขวบ เพราะมีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ จึงเป็นวัยที่ป่วยง่ายเมื่อต้องเจอกับเชื้อโรค อาการป่วยที่พบได้บ่อยคือ โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น ควรเตรียมอุปกรณ์กันฝนให้กับเด็ก ๆ พร้อมสอนวิธีการใช้ เช่น การใส่เสื้อกันฝน รวมถึงระวังอย่าให้เด็กออกมาเล่นน้ำฝนด้วย

2. ระวังไปสาย

เมื่อโรงเรียนเปิดพร้อม ๆ กัน ก็ทำการจราจรติดขัดมากพออยู่แล้ว หากฝนตกด้วย ก็มีโอกาสที่จะเจอน้ำท่วมผิวการจราจรทำให้สัญจรได้ลำบากมากขึ้น และยังมีโอกาสจะพบอุบัติเหตุข้างทางด้วย ก็เสี่ยงที่จะไปส่งบุตรหลานที่โรงเรียนสายกว่าเวลาโรงเรียนเข้า และพ่อแม่ผู้ปกครองก็จะไปทำงานสายด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ควรเผื่อเวลาในการเดินทางเสียหน่อย ที่สำคัญการไม่ระวังเรื่องเวลา ก็อาจจะเป็นการปลูกฝังให้เด็กกลายเป็นคนไม่รักษาเวลาได้ด้วย

3. ระวังอาหารการกิน

ช่วงหน้าฝน จะมีความชื้นและอุณหภูมิอบอุ่นที่พอเหมาะ เป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ จึงมีโอกาสสูงที่เด็กจะได้กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค และอาหารที่โรงเรียนก็ใช่ว่าจะสะอาด ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ รวมถึงอาหารบางอย่างที่เด็กมีอาการแพ้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสอนให้เด็ก ๆ รู้จักอาหารที่ตนเองแพ้ เพื่อที่จะได้ให้เด็กหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น

รวมถึงควรสอนให้เด็ก ๆ รักษาสุขอนามัยของตนเอง ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ถ้าจะให้ดีควรสอนวิธีเลือกกินอาหารให้เด็กด้วย ไม่ควรกินอาหารที่ดูไม่สะอาด อาหารไม่สุก อาหารที่ขายตามข้างทาง เป็นต้น

4. ระวังโรคติดต่อ

ที่โรงเรียน เด็กต้องอยู่รวมกันหลายคน ซึ่งมีเด็กคนไหนที่มีอาการป่วยบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ โรคติดต่อ เช่น ไข้หวัด ไข้เลือดออก ตาแดง มือเท้าปาก เหา เป็นต้น อีกทั้งช่วงนี้ COVID-19 ก็ยังไม่สิ้นสุดการระบาด ผู้ปกครองจึงต้องระวังเด็ก ๆ จะติดโรคกลับมาจากโรงเรียน ควรสอนและฝึกให้เด็กสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่โรงเรียนหรือบนรถนักเรียน สอนล้างมือบ่อย ๆ และเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เด็ก ๆ ให้พร้อม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้ของร่วมกับผู้อื่น

5. ระวังคนแปลกหน้า

บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินข่าวการลักพาตัวเด็ก โดยเฉพาะบริเวณรอบ ๆ โรงเรียน ซึ่งเมื่อนำตัวเด็กไปได้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนำเด็กเหล่านี้ไปขายแรงงาน หรือพาไปล่วงละเมิดทางเพศ ฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง และครูต้องช่วยกันสอดส่องบุคคลน่าสงสัยบริเวณโรงเรียนและเส้นทางกลับบ้านของเด็ก ๆ สอนเด็กให้รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้า และอย่ารับอาหารจากคนแปลกหน้า

6. ระวังอุบัติเหตุ

เด็ก ๆ มักเล่นซนตามวัย อาจจะปีนป่าย แกล้งกัน เอาของเล่นเข้าปาก มุดเข้าไปเล่นในซอกในหลืบ แหย่มือเข้าไปในเครื่องจักรที่หมุน ๆ รวมถึงการข้ามถนนโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย ซึ่งถ้าผู้ใหญ่ประมาทเลินเล่อ ไม่ดูแลเด็กให้ดี ก็ทำให้เด็ก ๆ เกิดอุบัติเหตุ เจ็บตัว พิการ หรือที่ร้ายแรงสุดคือเสียชีวิต ดังนั้นผู้ใหญ่ควรจับตาดูแลเด็กเป็นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กที่มีแนวโน้มจะเล่นซนกว่าเด็กคนอื่น และพ่อแม่ควรจะสอนลูกด้วยว่าอย่าเล่นหรือทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย

7. ระวังลืมเด็กไว้ในรถ

เป็นเรื่องที่ต้องระวังมากที่สุด เพราะจากข้อมูลของสำนักงานโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ที่เคยเก็บสถิติในช่วงปี 2557-2561 รวมระยะเวลา 5 ปี มีเหตุการณ์ที่เด็กถูกลืมไว้ในรถมากถึง 106 เหตุการณ์ ในนี้มีเด็กเสียชีวิต 5 ราย ซึ่งทั้งหมดถูกลืมทิ้งไว้บนรถนานกว่า 6 ชั่วโมง โดยเฉพาะรถที่จอดทิ้งไว้กลางแดด

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เด็กที่ถูกลืมไว้ในรถเสียชีวิตไม่ได้มาจากขาดอากาศหายใจ แต่มาจากภาวะฉุกเฉินจากความร้อน (Heat stroke) รถที่จอดตากแดดอุณหภูมิภายในรถจะสูงมาก อากาศภายในรถแย่ จนเด็กเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ช็อก หมดสติ สมองบวม หยุดหายใจ อวัยวะทุกส่วนหยุดทำงาน และเสียชีวิตในที่สุด

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียกับครอบครัวใดอีก ผู้ใหญ่ต้องรอบคอบในการพาเด็กขึ้นรถ นับจำนวนเด็กที่ขึ้น-ลงรถทุกครั้ง ตรวจตราบนรถว่ามีเด็กเหลืออยู่หรือไม่ทุกครั้งก่อนล็อกประตู อย่าประมาททิ้งเด็กไว้ในรถตามลำพัง และควรสอนให้เด็กรู้จักขอความช่วยเหลือหากติดอยู่ในรถ เช่น กดแตรรถ วิธีปลดล็อกประตู วิธีลดกระจก เป็นต้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook