ไม่ว่าเขาจะได้รับบทบาทอะไร หนุ่มคนนี้ก็สามารถเข้าถึงและตีบทบาทได้แตกกระจายได้ทุกบทที่เขาได้รับ บอกได้เลยว่า ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร เป็นนักแสดงวัยรุ่นที่มีความสามารถระดับเหนือเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันเลยก็ว่าได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างไปจากคนอื่นๆ นั่นก็คือ การเลือกใช้ใช้ชีวิตของเขาที่เลือกเส้นทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากกว่าตามเทรนด์คนอื่นไปวันๆ
เราเชื่อว่าหลายคนต้องรู้จัก ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร คนนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่เรามั่นใจว่าการมองโลกในมุมมองของต่อแบบที่ทาง Sanook! Campus ได้สัมผัสเขามา มันเป็นอะไรใหม่ๆ ที่เปิดตัวต้นของผู้ชายคนนี้แบบที่ใครไม่รู้อย่างแน่นอน
"เหตุผลง่ายๆ เลย เพราะผมไม่ได้อยากเล่นครับ แต่ถามว่าจุดเริ่มต้นของความรู้สึกนี้มันมาจากไหน เอ่อ...คือผมเป็นคนที่เชื่อว่า ถ้าหากเราอยากจะทำอะไรให้มันดีจริงๆ เราก็ควรที่จะโฟกัสเป็นอย่างๆ และที่สำคัญผมยังมองอีกว่า แอปพลิเคชันเหล่านี้มันไม่ใช่แค่เพียงของเล่น แต่มันยังเป็นตัวแทนของเราด้วยเหมือนกัน มันคือภาพลักษณ์ของเรา ที่ส่งผลต่อคนอื่นที่ติดตามเรา ดังนั้นการใช้อินสตาแกรมของผม ผมจึงไม่ได้คิดว่าแค่จะว่าใช้เล่นๆ แต่ผมอยากจะทำให้มันดี สรุปง่ายๆ เลยก็คือ ถ้าหากผมคิดแล้วว่ามันไม่ดีผมก็จะไม่ทำ แต่ถ้าหากผมจะทำ ผมก็ต้องทำให้ดี"
"ไม่เลยครับ คือผมไม่เคยรู้สึกเลยจริงๆ ว่าผมพลาดอะไร เพราะผมไม่ได้อยากรู้ ความตลกในชีวิตของผมก็คือ ผมไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ผมไม่ได้จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เพราะทุกวันนี้ชีวิตผมก็ยุ่งอยู่แล้ว แต่ที่ผมบอกอันนี้ไม่ได้หมายความว่าผมขวางโลกนะ แค่ผมรู้สึกเฉยๆ ว่า เราไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ หรือไม่จำเป็นต้องอัปเดตทุกอย่างก็ได้ เพราะมันยังมีอีกตั้งหลายเทรนด์ที่ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน มันก็ยังอยู่ได้"
"คือผมรักตัวเองมากกว่าการตามเทรนด์ และผมก็รู้สึกอีกว่าผมไม่เคยหลุดไปจากเทรนด์เหมือนกัน เพราะเราไม่ใช่คนตกเทรนด์ ดังนั้นมันก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวให้อินเทรนด์ เหมือนกับกางเกงยีนที่มันอยู่มาได้ทุกยุคทุกสมัย โดยที่มันไม่เคยตกเทรนด์ ทุกอย่างมันอยู่ที่ทัศนคติของเรา"
"ตอนแรกผมพูดนะว่าผมเป็นคนที่สมถะ แต่พอผมโตขึ้น ผมถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมแค่เป็นคนที่ไม่ติดหรูมากกว่า ผมสามารถทานข้าวข้างทางได้ ผมเดินห้างเหมือนคนปกติได้ ผมแต่งตัวได้แบบง่ายๆ ไม่จำเป็นจะต้องแบรนด์เนมหัวจรดเท้า เพราะผมไม่เชื่อเรื่องการแต่งตัวแพง แต่ผมรู้สึกว่าคนจะแพงต้องแพงด้วยตัวเราเอง ไม่ได้แพงด้วยของ ของแพงแปลได้แค่ว่าคุณมีเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวคุณแพง"
"จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องของความแพงนะ แต่มันเป็นการที่เราไม่ดูถูกตัวเองมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมโตขึ้น และผมก็เริ่มรู้สึกว่า อยู่ดีๆ เสื้อผ้าก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญ จนวันหนึ่งผมกลับมามองตัวเองว่า มันเกินเหตุไปหรือเปล่า หรือมันเกิดอะไรขึ้นกับเรา และสุดท้ายมันก็ทำให้เราคิดได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องแต่งขนาดนี้เราก็ยังสามารถอยู่ได้ ดังนั้นอย่างแรกเลยครับที่เราต้องทำคือ เปลี่ยนทัศนคติของตัวเองก่อน อย่าดูถูกตัวเอง อย่าคิดเล็กคิดน้อยว่าชุดเราจะสู้เขาได้หรือเปล่า เพราะแต่ละคนก็มีสไตล์ต่างกัน อย่าไปจริงจังกับมันเกินไป"
"ใช่ครับ เพราะเป้าหมายหลักของผมมันคือการแสดง การเป็นนักแสดง ดังนั้นถ้าหากมันมีโอกาสที่จะให้ผมได้ออกไปทำงานนอกประเทศ ผมก็อยากจะลองทำดู แต่การไปลองทำงานตรงนั้น เราก็ทิ้งงานในประเทศไม่ได้เหมือนกัน ทิ้งแฟนๆ ที่เขาติดตามเราไม่ได้ ผมก็เลยรู้สึกคิดถึงและกลับมาคิดดูว่าจะลองใช้โซเชียลดู ซึ่งก่อนที่จะเล่นอินสตาแกรม ผมก็ได้ปรึกษากับ พี่ย้ง ทรงยศ ว่าแอปพลิเคชันไหนบ้างที่มันเหมาะกับผม จนสุดท้ายก็สรุปได้ที่อินสตาแกรม เพราะผมไม่เก่งเรื่องการใช้ตัวหนังสือ ดังนั้นถ้าเล่าแบบเป็นภาพประกอบมันจะง่ายกว่า แถมยังมีข้อดีด้วยนะตรงที่ฟีดแบคที่ตอบกลับมาจากแฟนๆ มันส่งตรงถึงเราได้ทันที และเราก็สามารถอ่านมันได้ในที่ของเรา"
"แต่เอาจริงๆ อินสตาแกรมผมก็เล่นไม่บ่อยนะ คือนานๆ ทีจะโพสต์สักครั้งหนึ่ง เพราะผมไม่ถนัด แต่มันก็จะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทดแทนได้นั่นก็คือ สตอรี่ ที่มันเป็นการลงแบบครั้งเดียวจบและมันก็หายไป ไม่ต้องตราตรึงไปตลอด"
"เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นดาบสองคม เนื่องจากก่อนที่ผมจะตัดสินใจเล่น ผมก็เคยเห็นมาบ้างเหมือนกันว่ามันก็มีผลเสีย ดังนั้นผมจึงไม่อยากทำตัวเหมือนคนที่ไม่เคยเรียนรู้ เพราะที่ผ่านมามันมีบทเรียนให้เห็นเยอะแล้ว ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือเราไม่ควรที่จะมาพลาดอะไรแบบโง่ๆ มากกว่า แต่เดี๋ยวนี้สบายๆ มากขึ้นแล้วครับ ไม่กดดัน แถมใช้เยอะด้วยนะ ใช้แบบเป็นตัวเอง (ยิ้ม)"
"ต่างครับ เพราะมันก็ทั้งมีข้อดีและก็ข้อเสีย คือถ้าผมมีมันจะช่วยซัพพอร์ตคนที่เขาอยู่ไกลให้สามารถติดตามเราได้แบบจริงจัง ส่วนข้อเสียอันนี้ผมยังไม่เจอแบบชัดๆ แต่ที่เห็นสัมผัสได้บ่อยที่สุดก็คือ มันจัดการยาก อย่างเช่น ผมอยากลงผลงานของผมเยอะๆ แต่ผมก็จะรู้สึกอีกว่าคนเขาจะเห็นผลงานของผมทั้งหมดไหม สรุปแล้วก็คือ อินสตาแกรม มันเกี่ยวข้องกับงานของผมล้วนๆ"
"ใช่ครับ สำหรับผมโซเชียลไม่ใช่เรื่องขำๆ คือมันก็สนุกบ้าง แต่ผมคงไม่กล้าพูดหรอกว่า โซเชียลสนุกจังเลย"
"มันดูเป็นสิ่งที่แตะต้องได้ยากนะครับ ดังนั้นปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ อย่าไปแตะมันเลย คือคุณก็เป็นตัวเองในแบบที่คุณเป็นนั่นแหละครับ ถ้าคิดว่าดีก็ทำต่อไป และผมก็จะพยายามเข้าใจพวกคุณ ทุกคนคงจะมีเหตุผลที่ตัวเองเล่นในแบบนั้น ซึ่งผมก็จะไม่วิจารณ์การเล่นของใคร เพราะผมเองก็ไม่มั่นใจว่าทุกวันนี้ผมเล่นได้ดี"
อัลบั้มภาพ 24 ภาพ
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :thanapob_lee