น้ำอัดลม โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำเติมสุขภาพผู้บริโภค !!

น้ำอัดลม โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำเติมสุขภาพผู้บริโภค !!

น้ำอัดลม โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำเติมสุขภาพผู้บริโภค !!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การแข่งขันทางการตลาดของน้ำอัดลมหลากหลายยี่ห้อ นับวันยิ่งเพิ่มสูงขึ้น กระแสการโฆษณาเพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น และเชื่อถือในตัวสินค้า รวมถึงเป็นตัวเลือกใหม่ๆ ที่นำไปสู่การบริโภคเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกรมอนามัย อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ได้แสดงมุมมองเกี่ยวกับกระแสการบริโภคน้ำอัดลมที่เพิ่มมากขึ้นว่า น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมน้ำตาลในปริมาณที่สูง รองลงมาคือ เครื่องดื่มประเภทชาเขียว นมปรุงแต่งรส นมเปรี้ยว ตามลำดับ เครื่องดื่มเหล่านี้มีปริมาณมากกว่ากำหนด ปกติแล้วควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้

อาจารย์สง่าผู้เชียวชาญด้านโภชนาการบอกอีกว่า น้ำอัดลมนั้น 1 กระป๋อง ขนาด 200 ซีซี มีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ 8-9 ช้อนชา ส่วนน้ำอัดลมขวดเล็กมีน้ำตาลอยู่ประมาณ 10-15 ช้อนชา ซึ่งเกินมาตรฐาน เห็นได้ว่า ในแต่ละวันเราบริโภคน้ำอัดลมแค่ 1 กระป๋อง ก็เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้และยังบริโภคน้ำตาลจากแหล่งอื่นๆ อีก ทำให้คนไทยบริโภคน้ำตาลถึงวันละ 20 ช้อนชา ซึ่งสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดถึง 3 เท่า และยังสูงมากเป็นลำดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย

"น้ำอัดลมมีความหวานและมีสภาวะความเป็นกรด เนื่องจากมีน้ำตาลและกรดฟอสฟอริก เป็นส่วนประกอบสำคัญ นอกจากนี้ยังมีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย เมื่อบริโภคในปริมาณมาก คาเฟอีนจะไปป้องกันการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ร่างกายนำแคลเซียมไปใช้ได้ไม่เต็มที่ เมื่อบริโภคน้ำอัดลมมากจนเกินไป ทำให้เนื้อกระดูกบางและฟันผุได้"

"สำหรับน้ำอัดลม 0 % เป็นน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม ซึ่งน้ำตาลเทียมเป็นอาหารควบคุมและต้องได้รับการอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ในการนำมาจำหน่ายในประเทศด้วย แม้น้ำตาลเทียมจะเป็นสารทดแทนความหวาน ที่ไม่ให้พลังงาน สามารถบริโภคได้ก็จริง แต่ว่า น้ำตาลเทียมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ และให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติหลายสิบเท่า แม้ว่าจะกินแล้วไม่อ้วน แต่น้ำตาลเทียมมีผลทำให้ต่อมรับรส เกิดความต้องการกินหวาน ทำให้เป็นคนติดหวาน และส่งผลให้อยากกินอาหารพวกแป้ง หรือของหวานอย่างอื่นมากขึ้น" ผู้เชียวชาญด้านโภชนาการอธิบาย

ผู้เชียวชาญด้านโภชนาการให้ความรู้เพิ่มเติมว่า จริงๆ แล้วน้ำตาลเป็นอาหารที่ให้พลังงาน แต่นักโภชนาการจัดว่า น้ำตาลเป็นพลังงานสูญเปล่า ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ เลยเพราะการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินกว่าที่กำหนดไว้ เมื่อร่างกายนำไปใช้ไม่หมด ก็แปรสภาพจากน้ำตาลเป็นไขมันสะสมในร่างกาย คนที่กินน้ำตาลเยอะ หรือติดหวาน จะกินอาหารพวกแป้ง ไขมัน ในปริมาณที่สูง ทำให้เกิดความอ้วนตามมา แต่ถ้าบริโภคปริมาณที่พอดี ก็จะให้พลังงานในปริมาณร่างกายต้องการ

"ปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำตาลเกินที่กำหนด จึงเป็นสาเหตุที่ต้องออกมาเตือนให้คนไทยกินน้ำตาลแต่พอดีเราไม่ได้รณรงค์ให้คนไทยหยุดกินน้ำตาล เพียงแต่ต้องการให้คนไทยรู้ว่า กำลังกินน้ำตาลเกินปริมาณที่กำหนด ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้หลายทาง ตนอยากแนะนำให้หันมาบริโภคน้ำสมุนไพรไทยที่มีความหวานน้อย และค่อยลดลำดับลงจนกลายเป็นน้ำเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" ผู้เชียวชาญด้านโภชนาการบอกอย่างห่วงใย

อาจารย์สง่ายังฝากทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้ภาครัฐหันมาใส่ใจในการควบคุมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง อย่างจริงจังโดยเฉพาะกับเด็ก โดยออกกฎหมายหรือมาตรการควบคุม การขายน้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีรสหวานในสถาบันการศึกษา และขึ้นภาษีเครื่องดื่มเหล่านี้ เพื่อส่งผลให้อัตราการบริโภคลดลง และให้ภาครัฐออกมาให้ความรู้ เรื่องเครื่องดื่มรสหวานที่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนอย่างจริงจัง

เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook