ผ่าโครงสร้างราคาน้ำมัน ใครได้ประโยชน์มากที่สุด?
น้ำมันขึ้นราคา ใครได้ประโยชน์ ผ่าโครงสร้างราคาน้ำมัน ดูโครงสร้างธุรกิจน้ำมันในประเทศ มองทิศทางมาตรการรับมือตรึงราคาน้ำมัน และเครื่องมืออื่นที่จะรับมือราคาน้ำมันขาขึ้น
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นใกล้ชน 30 บาทต่อลิตร หรือในบางผลิตภัณฑ์ทะลุ 30 บาทต่อลิตร ได้ส่งผลกระทบในทางจิตวิทยาของผู้คนในประเทศไทยกันอย่างมาก ทำให้มีกระแสออกมาโจมตีบริษัทน้ำมัน และรัฐบาลที่ไม่สามารถดูแลราคาได้ ด้วยหวั่นว่าจะส่งผลกระทบต่อไปยังสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ให้ปรับตัวสูงขึ้น หรือง่ายๆ กระแสหวาดกลัวสินค้าราคาแพงกำลังหลอกหลอนสังคมไทยอยู่ในขณะนี้
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถูกหยิบยกนำไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านบางประเทศอย่างเช่น มาเลเชีย และเมียนมา ที่ราคาต่ำกว่าบ้านเรามาก เพื่อปั่นกระแสความไม่พอใจของผู้คน โดยยังมีอีกหลายประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาอธิบาย เช่น จำนวนบ่อน้ำมันของเรามีมากมายแต่ทำไมคนไทยใช้น้ำมันแพง เป็นต้น
ในขณะที่ภาครัฐและผู้ประกอบการด้านพลังงาน ต่างออกมาอธิบายถึงการปรับราคาน้ำมันขึ้น 4 ครั้งต่อเนื่อง ในเดือนนี้ (พ.ค. 61) ว่าเป็นไปตามกลไกลตลาด ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดต่างประเทศที่ปรับสูงขึ้น บริษัทน้ำมันในประเทศไม่ได้สูบเลือดคนไทย
วันนี้เราจะมาชำแหละ ราคาน้ำมันของบ้านเราว่า ใน 1 ลิตร มีค่าอะไรอยู่บ้าง เหมาะสมหรือไม่ ใครได้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด หากนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรเอาไม่อยู่ น่าจะมีมาตรการอะไรออกมารับมือได้บ้าง
โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทย ประกอบด้วย?
- ราคาหน้าโรงกลั่นหรือราคาเนื้อน้ำมัน
- ภาษีสรรพสามิต
- ภาษีมหาดไทย (ภาษีเทศบาล)
- เงินที่เรียกเก็บเข้า/อุดหนุน จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
- เงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
- ภาษีมูลค่าเพิ่มของราคาขายส่ง
- ค่าการตลาด
- ภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าการตลาด
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน มาดูว่าราคาน้ำมันต่อ 1 ลิตร จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2561 เป็นอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่าง น้ำมันดีเซล
ราคาหน้าโรงกลั่น | 19.3954 | บาท |
ภาษีสรรพสามิต | 5.850 | บาท |
ภาษีมหาดไทย (ภาษีเทศบาล) | 0.585 | บาท |
เงินเก็บเข้า/อุดหนุน กองทุนน้ำมันฯ | 0.01 | บาท |
เงินเก็บเข้ากองทุนฯ อนุรักษ์พลังงาน | 0.1 | บาท |
รวม 1-5 เท่ากับราคาชายส่ง | 25.9404 | บาท |
ภาษีมูลค่าเพิ่มของราคาขายส่ง | 1.8158 | บาท |
ราคาขายส่ง+ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 27.7563 | บาท |
ค่าการตลาด | 1.9007 | บาท |
ภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าการตลาด | 0.1330 | บาท |
ราคาขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมันเท่ากับ | 29.79 | บาท |
จากโครงสร้างราคาน้ำมันดังกล่าว จะมีผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 ส่วนคือ
-
โรงกลั่นน้ำมัน
-
ผู้ค้าน้ำมัน (ขายส่ง)
-
ปั๊มน้ำมัน (ขายปลีก)
-
รัฐบาลในฐานะเป็นผู้เก็บภาษี
ดังนั้น ในราคา 29.79 บาท มีผู้ที่ได้รับเงินไป ดังนี้
-
โรงกลั่นได้รับไป 19.3954 บาท
-
ผู้ค้าน้ำมัน/ปั๊มน้ำมัน (ขายปลีก) รับจากค่าการตลาด 1.9007 บาท
-
รัฐบาล ได้จากภาษีและเงินกองทุนฯ รับไป 8.4938 บาท
จากโครงสร้างราคา จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับเงินไปมากที่สุดจากราคาน้ำมัน 1 ลิตร คือ โรงกลั่น ซึ่งจะมีกำไรจากการกลั่นเท่าไร ก็ขึ้นกับต้นทุนน้ำมันและค่าบริหารจัดการของโรงกลั่นซึ่งจะไม่ลงรายละเอียด รองลงมาคือ รัฐบาล ที่เก็บภาษีและเรียกเงินเข้ากองทุนน้ำมัน (ซึ่งปัจจุบันมีน้อยมาก คือ 0.01 และ 0.1 บาท) และผู้ค้าน้ำมัน รวมทั้งผู้ค้าปลีก หรือปั๊มน้ำมัน ที่ได้จากค่าการตลาด 1.90 บาท ซึ่งในส่วนค่าการตลาดนี้จะมีต้นทุนในเรื่อง ค่าบริหารจัดการ ค่าขนส่ง ค่าพนักงานฯ เป็นต้น
จากโครงสร้างที่แยกแยะออกมา บริษัทน้ำมัน นักวิชาการน้ำมัน ที่ออกมายืนยันว่า ราคาน้ำมันบ้านเราไม่ได้แพงเกินไป เพราะเป็นไปตามต้นทุนที่ยกมา แต่เมื่อลองพิจารณาข้อเท็จจริงของธุรกิจน้ำมันในเมืองไทย อดสงสัยไม่ได้ว่า ใครได้ประโยชน์ไปจากราคาน้ำมันมากที่สุด และเป็นธรรมหรือไม่อย่างไร?
โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันทั้งสิ้น 6 แห่ง คือ
- บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) (TOP)
- บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) (PTTGC)
- บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (SPRC)
- บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (BCP)
- บริษัท ไออาร์พีซีจํากัด (มหาชน) (IRPC)
- บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (ESSO)
แต่ทราบหรือไม่ว่า ในโรงกลั่น 6 แห่งนั้น มี ปตท.ถือหุ้นอยู่ในโรงกลั่นถึง 3 แห่ง คือ ไทยออยล์ (สัดส่วน 49.10%) พีทีทีโกลบอลฯ (สัดส่วน 48.79%) ไออาร์พีซี (สัดส่วน 48.05%) รวมกำลังการผลิตแล้วมีสัดส่วนการกลั่นน้ำมันมากที่สุดในระบบ
สำหรับสถานีบริการน้ำมันหรือปั๊มน้ำมัน ปัจจุบัน ปตท. ถือเป็นรายใหญ่สุดมีจำนวนถึง 1,675 แห่งทั่วประเทศ จาก 5,197 แห่ง รองลงมาคือ PTG จำนวน 1,407 แห่ง บางจากฯ จำนวน 1,075 แห่ง เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำนวน 542 แห่ง และ เชลล์ (ประเทศไทย) จำนวน 498 แห่ง
จะเห็นได้ว่า ทั้งโรงกลั่นน้ำมัน และปั๊มน้ำมันของประเทศไทย ปตท.ถือเป็นเจ้าใหญ่ที่มีสัดส่วนของตลาดมากที่สุด และเมื่อดูจากโครงสร้างราคาน้ำมันตามที่แยกแยะออกมา ชัดเจนว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์ในราคาน้ำมันมากที่สุด
คำถามต่อมาคือ แล้วปัจจุบันใครมีหุ้นใน ปตท.มากที่สุด?
จากโครงสร้างผู้ถือหุ้นชัดเจนว่า กระทรวงการคลังยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ปตท. ถึง 51% ดังนั้นคำถามก็คือ แล้วเหตุใด ปตท.ไม่สามารถดำเนินนโยบายใดๆ ในเชิงสังคม ราคาน้ำมันทำไมจึงต้องอิงตามตลาดโลก ทำไม ปตท.รวยจากธุรกิจน้ำมันปีละเป็นแสนล้านบาท โดยที่คนไทยต้องใช้น้ำมันแพง แน่นอนคำตอบที่ ปตท.ยืนยันมาโดยตลอดคือ เนื่องจาก ปตท.เป็นบริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น กระทรวงการคลัง หรือรัฐบาลจึงไม่สามารถเข้าไปกำกับหรือสั่งการใดๆ ได้
วันนี้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ผู้ประกอบการ/ผู้ผลิตสินค้า ที่มีต้นทุนจากการใช้น้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซล เริ่มขยับขอปรับขึ้นราคา สิ่งที่ภาครัฐออกมายับยั้งไว้ คือ การยืนยันว่าจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยจะใช้กองทุนน้ำมันที่มีเม็ดเงินอยู่ 30,000 ล้านบาท เข้าไปเป็นกลไกในการดึงราคาไว้ ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ทำได้ เพราะเม็ดเงินเหล่านั้นเป็นเงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันโดยตรงอยู่แล้ว และจากโครงสร้างการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในปัจจุบัน ถือว่ามีสัดส่วนน้อยมากเพียง 0.01 บาท หรือแทบไม่ได้เก็บด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากต่อไปราคาน้ำมันประเภทอื่น ปรับตัวสูงขึ้น
-
จะมีการเรียกร้องกดดันจากประชาชนเพื่อให้นำเงินกองทุนมาใช้ตรึงราคาน้ำมันด้วยหรือไม่?
-
เม็ดเงินที่มีอยู่จะสามารถตรึงราคาได้นานเท่าใด?
-
หาก ราคาตลาดโลกยังไม่ปรับลง?
-
หาก เม็ดเงินกองทุนน้ำมัน หมดหน้าตัก จะมีวิธีการใดเพื่อรับมือ?
จากโครงสร้างของราคาน้ำมัน และโครงสร้างของผู้ผลิต ผู้ประกอบการน้ำมันตามที่ยกมา และจากแนวทางที่รัฐบาลที่ผ่านๆ มา ย่อมเป็นไปได้ว่า แนวทางการลดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง น่าจะเป็นแนวทางที่รัฐบาลเลือกใช้ นั่นหมายถึง บริษัทน้ำมันจะยังคงมั่นคงและมีผลประกอบการที่เติบโตแบบที่คนใช้น้ำมันได้แต่กังขาและตั้งคำถาม พร้อมกับทำได้เพียงระบายอารมณ์ลงในโลกโซเชียลกันต่อไป