เด็กวัดใจสู้ สร้างธุรกิจ “J.I.B.” อาณาจักรไอที 7 พันล้าน

เด็กวัดใจสู้ สร้างธุรกิจ “J.I.B.” อาณาจักรไอที 7 พันล้าน

เด็กวัดใจสู้ สร้างธุรกิจ “J.I.B.” อาณาจักรไอที 7 พันล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลายคนคงเคยเห็นหรือเคยเป็นลูกค้าของ “J.I.B. Computer” ร้านขายอุปกรณ์ไอทีชื่อดังที่มีสาขาอยู่ในแทบทุกห้างฯ ทั่วประเทศส่วนใหญ่ คงคิดว่าน่าจะเป็นร้านของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ หรือไม่ก็เป็นของบริษัทข้ามชาติ แต่ความจริงนั้น ร้านนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเด็กใต้ฐานะยากจน ที่ตรากตรำเรียนหนังสือและทำงานสารพัด จนก้าวข้ามความจนในวัยเด็ก กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้ 7 พันล้านบาทต่อปี

“สมยศ เชาวลิต” หรือ จิ๊บ (JIB) เจ้าของบริษัท เจ.ไอ.บี.คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เล่าย้อนถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กว่า เขาเกิดมาในครอบครัวยากจน ที่อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่อยู่ ป.4 พ่อแต่งงานใหม่ส่วนเขาอยู่กับแม่ที่ทำงานรับจ้างทั่วไปเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก 4 คน ด้วยความที่เขาเป็นพี่ชายคนโต เมื่อเริ่มที่จะมีกำลังแรงพอก็ออกไปช่วยแม่ทำงาน ทั้งรับจ้างปลอกมะพร้าว รับจ้างไถนา และอีกสารพัดเพื่อหาเงินมาช่วยแบ่งเบาลดภาระแม่ทำให้ชีวิตในวัยเด็กแทบจะไม่ได้เล่นสนุกเหมือนกันคนอื่นทั่วไป

หลังจากเรียนจบชั้น ป.6 สมยศก็ได้บวชภาคฤดูร้อน โดยคิดว่าจะบวชแค่ช่วงสั้นๆ แต่ด้วยความซึ้งในรสพระธรรม และได้ถูกชักชวนจากพระผู้ใหญ่ที่เป็นตาแท้ๆ ให้มาอยู่ในกรุงเทพฯ เขาจึงตัดสินใจอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ต่ออีก 2 ปี จนได้ฟังพระพยอมเทศน์ทางวิทยุ ว่า

 

 “บางคนมาบวช แต่พ่อแม่ยังลำบากอยู่เลย แต่ตัวเองกลับมาอาศัยผ้าเหลืองกิน ถ้าไปช่วยพ่อแม่จะได้บุญกว่าบวชอีก”พอได้ฟังแล้วสมยศ ก็ตัดสินใจลาสิกขาออกมา แล้วกลับบ้านไปช่วยแม่ทำงานอีกครั้ง
เมื่อกลับบ้านมาอยู่กับแม่แล้ว เขาก็ได้ช่วยแม่ทำงานอยู่ตลอด จนมีความคิดที่อยากจะกลับไปเรียนอีกครั้ง เพราะตอนนั้นเขามีวุฒิ กศน. แค่ ชั้นม.3 ซึ่งความรู้ก็ไม่ได้มีมากนัก เขาจึงกลับเข้ามาที่กรุงเทพฯ อีกครั้งโดยมาอาศัยอยู่ที่วัดเดิมที่เคยบวช แล้วเข้าเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนอนันต์

 

ในช่วงที่เป็นเด็กวัดอยู่นั้น เขาก็ถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง จนต้องไปฝึกเรียนป้องกันตัวกับเพื่อนๆ เด็กวัดด้วยกันที่เป็นนักมวย จนทางเจ้าของค่ายมวยเห็นว่าหน่วยก้านดี จึงติดต่อให้ไปขึ้นสังเวียน โดยใช้ช่วงเวลาหลังเรียนไปฝึกซ้อมเก็บหอมรอมริบเงินที่ได้จากการชกมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งเรียนจบม.ปลายก็เลิกชก

 

สมยศ ได้พบกับเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเขาได้ลองหยิบหนังสือคอมพิวเตอร์ของเพื่อนที่อยู่ในวัดด้วยกันมาอ่าน จนรู้สึกสนใจคอมพิวเตอร์อย่างมาก จึงตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยอาชีวะธนบุรี ด้านคอมพิวเตอร์ พอเรียนไปเรียนมาเขาก็ยิ่งรู้สึกหลงรักกับวิชาแขนงนี้ จนสามารถเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.90 จากนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ก็รับเข้าทำงานทันที โดยคัดเลือกจากเด็กเรียนดีในหลายๆ วิทยาลัย

ในปี 2538 สมยศเริ่มต้นทำงานธนาคาร โดยเป็นพนักงานด้านนิติกรรมฝ่ายสินเชื่อ แต่ด้วยความที่จบด้านคอมพิวเตอร์มา จึงทำให้มีเพื่อนๆ ในสำนักงานคอยมาปรึกษาเรื่องคอมฯ อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งคอยพาไปซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่าอยู่ตลอด เขาจึงเห็นลู่ทางทำเงิน โดยที่จะคิดเงินเพิ่มจากราคาปกติ แต่เขาจะไปเลือกซื้อให้เอง พร้อมมีเซอร์วิสดูแลอุปกรณ์และซอฟท์แวร์ 1 ปี เรียกได้ว่าทำตัวกลายๆ เป็นร้านขายคอมฯ ควบคู่ไปกับงานธนาคาร จนมีคนมาติดต่อมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาตัดสินใจทิ้งชีวิตพนักงานธนาคารแล้วหันมาเปิดร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง
ช่วงก่อนหน้าเปิดร้าน สมยศได้ไปฝึกงานเป็นพนักงานขายกับร้านคอมของรุ่นพี่ที่รู้จัก อยู่ร่วมเดือน ช่วงนั้นก็เก็บเอากล่องคอมที่ขายไปมาสะสมไว้ จนได้มาเปิดร้าน “J.I.B. Computer” สาขาแรกเปิดที่ห้างฯ เซียร์รังสิต ในปี 2544 โดยเป็นร้านเล็กๆ และเขาได้เอากล่องเหล่านั้นมาตั้งโชว์ไว้หน้าร้านทำให้ดูเหมือนว่าเปิดร้านใหม่แต่มีของเยอะ เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า

 

“ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ จึงต้องใช้กลยุทธ์มัดใจลูกค้า ด้วยการเข้าไปพูดคุยด้วยตัวเอง คอยสอบถามรายละเอียดเลยว่าเขาต้องการสเปคเครื่องแบบไหน การใช้งานแบบใดแนะนำตัวสินค้าหรือสิ่งที่เหมาะสำหรับเขา มากกว่ายัดเยียดไปว่า เครื่องนี้ราคา 3 หมื่น หรือ 2 หมื่น ซื้อไปเลย” สมยศ กล่าวเสริม

นอกจากเรื่องของการพุดคุยกับลูกค้าแล้ว การบริการหลังการขายก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญโดยเฉพาะสินค้าไอทีที่บางครั้งก็เสียง่าย เวลามีลูกค้านำเครื่องมาซ่อม สมยศก็จะบอกพนักงานทุกคนว่า ให้รีบเข้าไปดูแลแก้ไข แล้วพูดคุยให้เขาสึกดีขึ้น ด้วยเทคนิคเหล่านี้เองทำให้ร้านขยายสาขาที่ 2 ได้ ในเวลาเพียง 3 เดือน จากนั้นธุรกิจก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

อีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน J.I.B. Computer ที่เหล่านักเล่นคอมและเกมเมอร์รู้จักดี คือเรื่องของ “คอมประกอบ” ที่ทางร้านจะขายแยกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น เคสคอม, เมนบอร์ด, CPU,RAM การ์ดจอ เป็นต้น โดยลูกค้าสามารถนำไปประกอบเองได้หรือให้ทางร้านทำให้ ปัจจุบันร้านมีทั้งหมด 140 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีคาแรคเตอร์ต่างกันไป เช่น สาขาสำหรับนักเล่นเกม, สำหรับคนทั่วไป พร้อมแตกแบรนด์ลูก “mine” และ “mine Xtreme” ร้านจำหน่ายสินค้าไอทีไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

สมยศ อาศัยประสบการณ์จากการที่เคยทำงานธนาคารมาก่อน มาประยุกต์ใช้กับการบริหารสาขาแต่ละแห่ง รวมไปถึงเรื่องการบริหารสต็อกสินค้าซึ่งเป็นอุปกณ์ไอทีที่การออกรุ่นใหม่ๆ อยู่แทบทุกเดือนจากกลยุทธ์ธุรกิจและความโดดเด่นเหล่านั้น ทำให้ JIB สามารถสร้างรายได้มากกว่า 7 พันล้านในปี 2559 ที่ผ่านมา มาจากคอมพิวเตอร์ประกอบ 50% โน้ตบุ๊ก 30% และสินค้าไอทีอื่นๆ 20%

“ถ้าเราชอบอะไรแล้วพอที่จะเป็นธุรกิจได้ ก็ให้ศึกษามันเต็มที่ อย่างผมเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย ผมก็ต่อสู้ทำทุกอย่าง มุ่งมั่นเต็มที่ เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นและให้พ่อแม่สบาย อยากให้ทุกคนสู้และมุ่งมันกับสิ่งที่ทำ แล้วสักวันหนึ่งก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน” สมยศ กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook