ผีไร้หน้า โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีไร้หน้า โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีไร้หน้า โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ ตอน “หลังจากนี้ไป ลูกจะได้เห็นผีอีกเรื่อยๆ” พ่อบอกกับฉัน หลังการพบผีไร้หน้า

ย้อนกลับไปสู่สมัยที่อายุสัก 15-16 ปี

ชีวิตในปีเหล่านั้น จะว่าไปแล้ว ก็เป็นชีวิตในโลกอีกแบบหนึ่ง สำหรับหลายคนที่อาจจะยังไม่ทราบ ตัวฉันนั้น เมื่อจบจากชั้นประถมปีที่ 6 ออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อมัธยมในทันที เพราะชีวิตมีเรื่องราวมากมายที่ทำให้เกิดเป็นอุบัติเหตุต่างๆ นานา จนกระทั่งต้องมาเรียนต่อในภายหลัง

ตั้งแต่อายุ 11 -12 ปี เป็นต้นมา จนถึงก่อน 17 ปี จึงเป็นช่วงที่ต้องออกมาใช้ชีวิตในโลกของผู้ใหญ่ ประกอบอาชีพเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไป ความที่ว่าเราอยู่ในบ้านนอกชนบท และมีทางเลือกอันจำกัดยิ่งนัก

ในยุคสมัยโน้น แม้ว่าพ่อเองจะอยู่ในฐานะของปู่จารย์ เป็นมัคทายก ผู้เชี่ยวชาญพิธีกรรมทางศาสนา ประกอบสร้างเครื่องรางของขลัง ใช้คาถาอาคม ดูฤกษ์ดูยาม ทำงานด้านโหราศาสตร์ไปด้วย แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับการหาเงินทอง

การได้มาซึ่งค่าครูบูชาต่างๆ นั้น พ่อมองว่าเป็นงานช่วยคนเป็นลำดับแรก การจะได้เงินทองกี่มากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเขาให้ ไม่มีการเรียกร้องใดๆ เว้นแต่ค่าธรรมเนียมเบื้องต้นที่มีความหมายในทางพิธีกรรม เช่น ค่าขันตั้ง ซึ่งจะถูกกำหนดสืบทอดกันต่อๆ มา

ในด้านบวก ก็ทำให้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงพ่อได้ คนที่เคยมาหาพ่อก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ เกิดความนับถือศรัทธา มีการพึ่งพาพาอาศัย เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ดังที่มีคนแสดงความยินดีจะยกที่ดินให้ปลูกบ้านบ้าง ขอเชิญไปอยู่ในหมู่บ้านใหม่บ้าง ข้าวปลาอาหารก็ไม่ถือว่าขาดแคลน เพราะแต่ละปี จะมีคนเอาข้าวเปลือกข้าวสารมาให้เป็นจำนวนมาก

ในงานที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ทำให้มีมติว่า ทุกหลังคาเรือนจะมอบข้าวให้พ่อเป็นรายปี ตอบแทนการที่พ่อทำงานให้กับสังคมหมู่บ้าน โดยแต่ละครัวเรือนจะให้มากน้อยตามผลผลิต แบ่งเป็นสัดส่วนที่ยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย คนได้ข้าวมากก็ให้มาก คนได้ข้าวน้อยก็ให้น้อย คนในชุมชนจะเอาข้าวมารวมกัน แล้วพากันใส่เกวียนลากมาให้พ่อ

บ้านเราจึงเป็นบ้านที่มียุ้งฉาง โดยที่เราไม่ได้ทำนา เพราะพ่อไม่ใช่สายคนทำการเกษตร ส่วนแม่ก็มีความใฝ่ฝันในทางอื่น นอกเหนือจากการทำไร่ทำนา แม่อยากจะทำร้านอาหารมากกว่า อยากเป็นแม่ครัวในร้านของตัวเอง และอยากทำสวนปลูกผัก มากกว่าจะทำนาปลูกข้าวเท่านั้น

 

ในข้อด้อย แม้เราจะไม่ขาดแคลนของกินของใช้ แต่เมื่อไหร่ที่ต้องใช้เงินก้อน ต้องการเงินจำนวนมากในคราวเดียว เช่น ต้องจ่ายค่าเทอมการศึกษา ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จะรีโนเวท หรือสร้างบ้านใหม่ให้แข็งแรงขึ้น ฯลฯ เราก็จะกลายเป็นคนยากจนทันที เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมี *เงินเย็น* ในมือ

ในตอนอายุน้อยๆ ฉันจึงเติบโตมาท่ามกลางความแปลกแยกแตกต่างหลายอย่าง ทั้งรูปแบบการอยู่การกิน การดำเนินชีวิตที่ขัดแย้งกันเองระหว่างพ่อกับแม่ ไหนจะเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของคนทั้งสอง

พ่อชอบกินข้าวเหนียว ชอบกินอาหารพื้นถิ่น กินอาหารแบบเรียบง่าย ชนิดที่มีเมนูชื่อว่า *กินข้าวกับเขียง* คือเอาข้าวเหนียวหนึ่งปั้นใส่มือ เอาเกลือเม็ด พริก กระเทียม วางบนเขียง เนื้อเล็กน้อยปิ้งไฟพอสุก แล้วก็ทุบๆ หั่นๆ กินกับของแนมเหล่านั้นอยู่หน้าเตาไฟ ใช้เพียงเขียงกับมีดเป็นอุปกรณ์กินข้าว

แต่แม่ชอบกินอาหารไทย กินข้าวสวย ชอบแกงกะทิ ชอบอาหารที่มีกรรมวิธีประดิดประดอย ตัวอย่าง จะแกงหอยขมก็ต้องตัดก้นหอยให้เรียบสวย เอาหอยลงต้มกับข่าตะไคร้ให้หมดคาว ยกมาแกะฝาปิดหน้าออก ใช้ไม้แหลมจิ้มเอาเนื้อหอยออกมา แล้วจึงจะเอาไปทำแกงใส่กะทิ

พ่อว่า ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กินข้าว สู้กินข้าวกับเขียงก็ไม่ได้

แต่แม่ก็ว่า เวลาทำครั้งใด คนที่กินเอาๆ ก็คือพ่อนั่นแหละ และลองมีของกินขึ้นโตกรอท่า จะลากเขียงออกมาทุบพริกกินมั้ย

แล้วทั้งสองก็จะเริ่มถกเถียงกัน แต่มักจะลงเอยด้วยการหัวเราะหัวใคร่ ขบขันกันอยู่สองคน

ในสมัยที่ฉันกำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จึงมักจะนึกรำคาญทั้งพ่อ และแม่ ขวางหูขวางตา ที่คู่ทำราวว่าโลกทั้งโลกจะดำเนินไปปกติดีอยู่เสมอ

ในสายตาของฉันตอนนั้น มันมีความผิดพลาดของอะไรสักอย่าง เราอยู่ในที่ๆ เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากเกินไป หลายครั้งที่พ่อผ่อนคลายเกินไป แม่เองก็เคร่งเครียดเกินไป แล้วอีกหลายหน จู่ๆ ทั้งคู่ก็จะหันมาสมัครสมานสามัคคี และคนที่ต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลายเป็นตัวฉันเอง

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็คืออยากจะบอกไปถึงว่า แล้ววันหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ชีวิต จึงมีวันที่ฉันทะเลาะกับพ่ออย่างจริงจังเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่แม่ไม่เข้าข้างฉันเลย และวันนั้นแหละ ที่ฉันได้พบกับ “ผีไร้หน้า”

มันเป็นช่วงย่ำเย็น ราวๆ ใกล้พลบค่ำ เมื่อแม่บอกว่า ให้ไปตามพ่อหน่อย มีคนมาหา ความว่าพ่อไปบ้านใครสักคนหนึ่ง อยู่ทางฝั่งทิศใต้ของหมู่บ้าน ก็ไม่ไกลนัก

ยังจำได้ว่า ช่วงนั้น เป็นปลายฝนต้นหนาว ท้องฟ้าเริ่มมืดเร็วกว่าปกติ และตอนนั้นหมู่บ้านของเรามีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่ไฟกิ่งตามถนนก็ยังมีเพียงห่างๆ แม้จะนึกขี้เกียจแต่ฉันก็รับคำแม่ แล้วออกเดินไปตามถนน

ในปีนั้น บ้านของเรามีจักรยานอยู่สองคัน คันใหญ่เป็นรถของพ่อ อีกคันเป็นรถของฉัน แต่วันนั้นดูเหมือนจักรยานคันเล็กจะส่งซ่อม ทำให้จำเป็นต้องเดินไป

ในตอนก่อนหน้า ฉันเล่าถึงผีที่พ่อกับพี่ๆ พบเจอด้วยกัน ในวันนั้นฉันก็เดินไปตามถนนสายนั้นนั่นแหละ และผ่านจุดเกิดเหตุนั้นไป โดยไม่ได้คิดอะไรในหัว นอกจากว่าจะต้องรีบไปตามพ่อให้แม่

แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงบ้านหลังนั้น ที่มีจักรยานของพ่อจอดอยู่บนลานข่วง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮา เสียงแก้วเสียงขวด ฉันรู้ทันทีว่า พ่อคงจะติดลมกับกลุ่มเพื่อนเข้าให้แล้ว

พ่อเป็นคนชอบกินเหล้า ชอบความบันเทิง  ความรักสนุก เข้าไหนก็ได้ อยู่กับใครก็ได้ คืออุปนิสัยส่วนหนึ่งของพ่อ ที่บอกว่าส่วนหนึ่ง เพราะพ่อก็มีภาคของการเป็นปู่จารย์ที่ทำงานด้านคาถาอาคม บทจะอยู่ในสายงานพิธีกรรม พ่อก็จะแปรสภาพเป็น “พ่อหนาน” ได้อย่างจริงจัง

แต่ตลกร้ายคือ แม่เกลียดคนกินเหล้า ไม่ชอบให้พ่อกินเหล้า เพราะหากกินมากๆ ครั้งใด ไม่นานเป็นต้องโรคกะเพาะกำเริบ สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แม่ และเท่าที่พ่อกับแม่เล่าให้ฟัง เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งกลับตาลปัตรกันมา

คือสมัยยังสาว แม่เป็นคนดื่มเหล้าเก่ง สูบบุหรี่จัด ส่วนพ่อนั้นเป็นคนบวชเรียนแต่เล็ก ศึกษาวิชาทางธรรม และไสยศาสตร์ จนสึกออกไปเป็นทหารก็ยังเป็นคนชอบอ่านหนังสือตำรา ชอบทำงานฝีมือ พ่อเย็บผ้าเก่งมาก และพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม (พ่อกับแม่พบกันก็ด้วยการที่พ่อมาจ้างแม่ซักรีดเสื้อผ้าให้)

แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ทำให้แม่แพ้เหล้าขึ้นมา กลายมาเป็นคนทนกลิ่นสาปเหล้าไม่ได้ ขณะที่พ่อเข้าสู่แวดวงชีวิตชาวโลกย์ ก่อตั้งวงดนตรีพื้นเมืองกับเพื่อนๆ  และแน่นอนว่าการดื่มกินกับเพื่อนฝูงคือความบันเทิงของพ่อ

เมื่อส่งเสียงเรียกหาพ่อ แล้วพ่อโผล่มาที่หัวบันได ในสภาพหัวยุ่ง หน้าแดง ยิ้มกว้างอย่างร่าเริง ฉันจึงอดคิดไม่ได้ว่า แม่จะต้องไม่ชอบใจแน่ๆ

 

เมื่อบอกพ่อว่าแม่ให้มาตาม พ่อก็หัวเราะอย่างรื่นเริงอยู่ดี แล้วบอกว่า เดี๋ยวจะรีบไป ให้ตัวฉันกลับบ้านก่อนเถอะ

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว และฉันก็คิดว่า ตามจริงพ่อควรจะรีบลาเพื่อนฝูงแล้วลงเรือนมา พาฉันซ้อนท้ายจักรยานกลับบ้านด้วยกัน

การที่พ่อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ไม่สนใจว่าฉันจะเดินกลับในความมืดอย่างไร ทำให้ฉันขุ่นมัวอยู่ในใจ พอพ่อหันหลังกลับขึ้นเรือนเพื่อน ฉันจึงคว้าจักรยานของพ่อขี่ออกมา

ตอนที่ฉันผ่านมาถึงสามแยกนั้น ซึ่งถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปถึงบ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แต่ถ้าตรงไปก็จะถึงบ้านเราในไม่กี่นาที

แล้วฉันก็เห็นว่ามีคนๆ หนึ่งนั่งอยู่บนหัวสะพาน ในตอนนั้น ที่หมู่บ้านจะมีโรงบ่มใบยาสูบตั้งอยู่ จัดเป็นโรงบ่มขนาดใหญ่ของตำบล มีคนทำงานกันคึกคักในเวลากลางวัน ตัวฉันเองก็เคยไปทำงานในโรงบ่มมาบ้าง และตรงสะพานข้ามเข้าโรงบ่มนั้นเอง ที่หลายๆ คนมักจะบอกกันว่า มีผีอยู่

คำว่า “มีผีอยู่” ในสมัยโน้นเป็นเรื่องปกติในสังคมหมู่บ้าน เพราะที่ไหนๆ ก็มีผี เพียงแต่ชาวบ้านจะรู้กันหมดว่าผีตรงไหนเป็นผีอะไร ผีใคร อย่างไรก็ตาม ตรงสะพานและสามแยกนั้นมีเรื่องเล่ากันมากหลาย ว่ากันว่ามีผีหลายตัว พ่อเองก็ได้ไปเลี้ยงผีแถวนั้นบ่อยครั้ง

กระนั้นก็ตาม ฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องผีในตอนนั้น การเห็นคนเสื้อขาวๆ นั่งอยู่ ก็ยังนึกอุ่นใจ ว่าในความมืดของถนน ยังมีคนให้เห็นเป็นเพื่อน

ไม่นานนัก พ่อก็กลับมา ฉันคิดว่าแม่จะต้องออกปากตำหนิพ่อแน่ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ จากในห้องนอน ฉันได้ยินเสียงพ่อพูดจาแปลกๆ เสียงแม่ปลอบใจอย่างประเล้าประโลม และมีเสียงพูดกันยืดยาว

ออกจากห้องส่วนตัวมา ภาพที่เห็นก็คือ พ่อนั่งกลางโถงบ้าน ตาแดงก่ำ มีผ้าปูที่นอนกางแผ่ เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งกองไว้ ดูท่ากำลังจะทำห่อผ้าสะพาย  พ่อพูดซ้ำๆ ว่า จะต้องไป จะต้องไป

พ่อจะหนีออกจากบ้าน! นั่นคือสิ่งที่แม่บอก และบอกอีกว่า พ่อว่าเสียใจมากที่ฉันทำให้พ่อต้องเดินกลับมา ฉันทำให้พ่อสุดแสนจะน้อยใจ สักคำก็บอกไม่ได้เชียวหรือว่าจะเอารถถีบมา หรือว่าฉันเองไม่ได้รักพ่อ จึงแกล้งกันได้ถึงเพียงนี้

 

ฉันได้แต่ยืนตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่พ่อพรั่งพรูออกมา และการที่แม่ก็พยายามเหนี่ยวรั้งพ่อว่าไม่ต้องไปไหน ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยพูดกันใหม่ ลูกไม่ได้ตั้งใจ อย่าได้ถือสา

ฉันโพล่งออกไปว่า ถ้าพ่อจะออกจากบ้าน ฉันเป็นคนไปเองดีกว่า และคืนนี้จะไปนอนบ้านเพื่อนก็แล้วกัน จากนั้นก็ผลุนผลันลงเรือน

ฉันขี่จักรยานออกมาจากบ้านอีกครั้ง เป็นยามกลางคืนแล้ว อากาศค่อนข้างเย็นยะเยือก แต่ฉันก็หัวร้อนเกินกว่าจะอยู่ร่วมบ้านกับพ่อแม่ได้ในคืนนั้น

จักรยานจะต้องผ่านทางเดิม แต่ครั้งนี้ต้องเลี้ยวขวาก่อนถึงสะพาน แล้วฉันก็เห็นว่า คนเสื้อขาวยังนั่งอยู่ที่เก่า

ฉันเห็นร่างนั้นแต่ไกล และความคิดที่แว่บเข้ามาก็คือ สงสัยจะเป็นคนเมาเสียละกระมัง นับตั้งแต่ฉันไปตามพ่อจนถึงตอนนี้ คนดีๆ ไม่ควรมานั่งตากลมหนาวอยู่

แต่ขณะที่ฉันจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกนั่นเอง ในระยะใกล้มากๆ ฉันก็ได้เห็นว่าร่างนั้นไม่ใช่คนเมา และเขาไม่ใช่แม้แต่มนุษย์

ฉันยังจดจำภาพนั้นได้อย่างขึ้นใจ มันเป็นช่วงเวลาที่หัวใจ และสมองกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในความโกรธที่ตกค้าง ฉันตั้งใจว่าถ้าถึงพรุ่งนี้เช้า จะกลับไปคุยกับพ่อแม่ให้รู้ดำรู้แดงกันไป ใครจะอยู่จะไป อาจเป็นตัวฉันก็ได้ แต่พร้อมจะเผชิญทุกอย่าง

ร่างนั้นเหมือนกับรู้ความคิดของฉัน ร่างนั้นเคลื่อนไหวเล็กน้อย ซึ่งตอนนั้นแหละที่ทำให้ฉันผ่อนจักรยานให้ช้าลงอัตโนมัติ ร่างนั้นดึงฉันออกจากความคิดในหัวชั่วครู่เพื่อให้สนใจสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า

เพราะ...ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ และมองเขม็งจ้องมา สาบานได้ว่า ฉันรู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังจ้องมา จนกระทั่งฉันตระหนักได้ว่าเปล่า...เขาไม่ได้จ้อง เขาไม่ได้จ้อง เขาไม่ได้มอง เขาไม่น่าจะมีวันมอง เพราะสิ่งที่ฉันเห็นเต็มตาคือ ใบหน้าที่ขาวโพลนจนแทบเหมือนดวงจันทร์วันเพ็ญสว่าง

เป็นใบหน้าที่ขาวกระจ่าง ท่ามกลางความมืดหนาหนักรอบตัว มันมีเพียงใบหน้า ไม่มีคิ้ว ตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรเลยในความขาวเผือดโพลนนั้น  มันเป็นเพียงใบหน้าที่มีแผ่นเนื้อเรียบๆ เหมือนกระดาษสักแผ่น เท่านั้นเอง

ใจฉันหายวูบ มันไม่ใช่คน ฉันคิดออกได้เท่านั้น แล้วออกแรงปั่นจักรยานจนสุดฝีเท้า

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันออกมาจากบ้านเพื่อนตอนสายๆ ได้เล่าให้เพื่อนฟังเกี่ยวกับร่างที่ไร้ใบหน้า เพื่อนก็พลอยตกอกตกใจไปด้วย และว่าฉันต้องระวังตัวให้มาก การเห็นผีเป็นตัวๆ ไม่ใช่เรื่องดี

แต่แล้วก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น พอฉันเข้าบ้าน พ่อก็รอท่าอยู่ และรีบเรียกแม่มาหา

พ่อเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า พ่อขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แม่เล่าให้ฟังหมดแล้ว และพ่อคิดว่า มันจะต้องมีอะไรบางอย่างมาดลจิตดลใจ

พ่อบอกว่า ตอนที่เดินออกมาจากบ้านเพื่อน ผ่านถึงสะพานใกล้สามแยก อยู่ๆ ก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาจับใจ พ่อรู้ตัวว่าเมา แต่ก็ยังมีสติอยู่มาก การเคยบวชเรียนและทำสมาธิจนชินทำให้พ่อสามารถแยกแยะความรู้สึกตัวเองได้

พ่อว่า พอเดินมาถึงทางแยกเข้าโรงบ่ม อยู่ดีๆ ก็นึกอยากตาย รู้สึกเศร้าใจ สับสน เบื่อหน่ายทุกสิ่งอัน จนมีแต่ความหนักอึ้งในใจ ในหัวคิดไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ความผิด ความพลาด ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความหดหู่เศร้าหมองต่อทุกเรื่องราวที่ผ่านมา ฯลฯ แล้วความทรงจำก็ดับวูบไป

มารู้ตัวอีกทีตอนดึก ตื่นมาพบแม่เช็ดหน้าเช็ดตัวให้ แล้วแม่ก็บอกว่า พ่อถูกผีกุมมา

มันเป็นเรื่องแปลก เพราะฉันเห็นร่างไร้ใบหน้านั้นเพียงลำพัง แต่จุดที่พ่อเริ่มต้นอารมณ์แปรปรวนก็คือตรงนั้น ฉันเอ่ยปากเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อให้ความเห็นรวดเร็วว่า ผีไม่มีหน้าตัวนั้นแน่ๆ เป็นสาเหตุทำให้เราทะเลาะกัน

สำหรับทางเหนือ เชื่อกันว่าผีสางจะดลบันดาลอะไรได้หลายสิ่งอย่าง รวมถึงการกุมหรือสิง   และครอบงำจิตใจ

แล้วแม่ก็พูดออกมาอีกอย่างว่า แม่รู้แล้วว่าพ่อไม่ใช่แค่พ่อ ตอนที่พ่อกลับมานั่งอยู่บนเรือน เพราะว่า ต่อให้เมาเพียงไร พ่อจะไม่มีวันตาแข็งแดงก่ำอย่างนั้น และการจะลงเรือนไปในความมืดให้ได้ ไม่ใช่เรื่องปกติ แม่จึงไม่ให้พ่อไป

แล้วเรื่องระหว่างเราก็ลงเอยด้วยดี ฉันกับพ่อกลับมาพูดคุยกันเป็นปกติ และนั่นคือการทะเลาะกันเพียงครั้งเดียวระหว่างเราทั้งคู่ ซึ่งเวลาใครฟังก็ลงความเห็นว่า เรื่องต้องเป็นเพราะผี

แต่ฉันยังมีเรื่องข้องใจ ถามพ่อแม่ว่า พ่อมีวิชาคาถาอาคมเต็มตัว ทำไมมาถูกผีกุมเอาเสียได้ และผีตัวนั้น มายุ่งกับพวกเราทำไม

แม่ค่อนเสียงว่า ก็เพราะเมามานะสิ ต่อให้มีของดีในตัวอย่างไร เมื่อจิตใจไขว้เขวอ่อนแอเสียแล้ว ผีสางก็แทรกแซงได้ ไม่เห็นจะแปลกใจ

พ่อตอบคำถามอีกว่า ผีตัวนั้นคงจะอยู่ที่ของมันตามปกติวิสัย แต่เราต่างหากที่ผ่านไปในโลกของมันชั่วห้วงเวลา ในจังหวะโอกาสสั้นๆ ผีก็ฉวยโอกาสของมัน แล้วบังเอิญว่าคืนนั้นพ่ออยู่ในช่วงดวงตกจิตอ่อนแอ แต่ตัวฉันนั่นล่ะ ถ้าเคยได้เห็นผีไร้หน้าแล้ว ก็อย่าได้กลัวผีอีกต่อไป

“เพราะหลังจากนี้ไป ลูกจะได้เห็นผีอีกเรื่อยๆ แบบพ่อแม่นี่ล่ะ”

 

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook