ผีมีจริงหรือไม่ และลำแสงปริศนา โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีมีจริงหรือไม่ และลำแสงปริศนา โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีมีจริงหรือไม่ และลำแสงปริศนา โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผีมีจริงหรือไม่ น่าจะเป็นคำถามสุดฮิตมาหลายยุคหลายสมัย คนที่ว่ามี ก็ว่ามีคนที่ว่าไม่มี ก็ว่าไม่มีหรืออาจจะแก้ใหม่เป็นว่า คนที่เคยเจอผี ก็บอกว่ามีผี คนที่ไม่เคยเจอผี ก็บอกว่าไม่มีผี แล้วสำหรับข้าพเจ้าล่ะ คงจะต้องย้อนกลับไปว่า ในชีวิตนี้ได้เจอสิ่งที่เรียกว่า "ผี" บ้างหรือไม่

 

แต่ก่อนจะเล่าถึงเรื่องผีที่ได้พบเจอในชีวิต ก็อาจจะต้องเท้าความให้ฟังกันสักนิดนะคะว่า ข้าพเจ้านั้นเกิดในบ้านป่าดงดอย สมัยก่อนก็เรียกกันว่า แดนชนบท นั่นเอง

ตอนยังเล็กๆ ข้าพเจ้าเกิดมาพร้อมกับการรับรู้ว่า มีพ่อเป็น "ปู่จารย์" หรือมัคนายกของทางภาคเหนือ

แต่พ่อนั้น เป็นมากกว่าปู่จารย์ หรือมัคนายกโดยทั่วไป เพราะหลายๆ คนจะรู้ว่าพ่อมีวิชาในทางไสยศาสตร์ด้วย กล่าวคือ เป็นหมอเสกหมอเป่า ไล่ผี ส่งเคราะห์ ดูชะตาราศี ทำพิธีกรรมเกี่ยวกับคาถาอาคม ไปจนถึงปรุงยาสมุนไพรต่างๆ

ในด้านหนึ่ง คนที่เคยบวชเรียนมาสมัยก่อน และสึกออกมาเป็น "หนาน" อย่างพ่อ หรือเป็นปู่จารย์มัคนายก ก็มักจะมีความรู้วิชาด้านคาถาอาคมอยู่ติดตัวกันเป็นปกติ แต่ว่าเท่าที่ได้อยู่ร่วมกันมา ได้ยินได้ฟังเรื่องราวแวดล้อม ก็จับความได้ว่า

พ่อนั้นเคยผ่านการเรียนไสยศาสตร์มาอย่างจริงจัง กับพระครูบาที่บวชเรียนด้วย และครูบาอาจารย์อีกหลายคน จนหล่อหลอมรวมกันมาเป็น *พ่ออาจารย์หนานชุม* ซึ่งคนในหมู่บ้านตำบลสมัยก่อนนั้นจะให้ความนับถือกันอยู่ไม่น้อย ในเรื่องทางไสยเวทย์อาคม

ตอนยังเล็กๆ ข้าพเจ้าจึงถือได้ว่าเกิดมาในท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อม ที่มีเรื่องลี้ลับต่างๆ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน และการพูดถึงเรื่องผีสางนางไม้ เรื่องดวงวิญญาณ เรื่องอันอยู่นอกเหนือตาเปล่ามองเห็นนี้ เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาโดยตลอด จนเคยนึกว่า บ้านไหนๆ ก็เหมือนบ้านเรา

 

มาค่อยๆ รับรู้ว่า บ้านเราไม่เหมือนบ้านคนอื่น และพ่อแม่เราก็ไม่เหมือนพ่อแม่คนอื่น ก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์หลายๆ อย่าง ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในการรับรู้

ดั่งเช่น ตอนยังเรียนอยู่สักชั้นประถม ประมาณ ป.4 ป. 5 เคยมีอยู่คืนหนึ่ง สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะแม่มาเรียกพ่อให้ลุกออกจากมุ้งไปข้างนอก

แล้วทั้งสองคนก็หายไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามานอนต่อ และไม่นานก็เป็นเวลาเช้าตรู่ พ่อแม่จึงจะลุกไปทำสิ่งต่างๆ ตามปรกติวิสัย

เช้าวันนั้นเอง ในวงข้าวเช้า แม่ก็พูดคุยกับพ่อในเรื่องที่เกิดขึ้น "เมื่อคืน" และทำให้ได้รู้ว่า

ในกลางดึกคืนนั้น แม่ลุกออกจากห้องนอนลงไปปัสสาวะ (ต้องบอกก่อนว่า สมัยนั้นเราอยู่กันที่บ้านนอก ยังไม่มีห้องน้ำห้องส้วมอย่างทุกวันนี้ ยังมีการไปฉี่ ไปอึ กันในสุมทุมพุ่มไม้ท้ายสวน และยุคนั้น แม่ยังเป็นผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นยืนฉี่)

เหตุการณ์มีว่า เมื่อแม่ลงไปยืนฉี่ข้างล่างบ้าน มองไปทางทิศตะวันตกซึ่งพ้นแนวสวนต้นไม้ จะมีไผ่กอใหญ่ และมีทุ่งนากว้างๆ เป็นลำดับถัดไป

แม่ก็เห็นว่า มีลำแสงส่องขึ้นมาจากพื้นดิน แทงกระจ่างขึ้นไปบนฟ้า จนกอไผ่แทบจะสว่างโร่ไปทั้งกอ แม่ว่ายืนมองอยู่ชั่วครู่นั้น จนปัสสาวะเสร็จพอดี ก็รีบขึ้นเรือนมาเรียกพ่อ และคือเวลาที่ทั้งสองพากันออกจากห้องนอนไป

ข้างพ่อก็บอกว่า เมื่อลงเรือนตามแม่ไป ก็ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานด้วยตาตนเอง มันเป็นแสงสว่างเหมือนไฟฟ้า แต่ในปีนั้น หมู่บ้านของเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ และแสงสว่างนั้นมันมีรัศมีกว้างมาก เพราะขนาดเห็นกอไผ่ชัดเจนเป็นลวดลาย แสงส่องต้องขึ้นไปจนจะถึงปลายยอดไผ่

พ่อกับแม่พากันยืนดูแสงนั้นด้วยกัน แล้วก็พากันคิดว่า มันน่าจะต้องมีอะไรอยู่ตรงนั้นแน่ๆ

  

อันที่จริง เรื่องที่อยู่ในความทรงจำนี้ ข้าพเจ้าเองก็เกือบจะลืมไปเป็นคราวๆ ถ้าไม่ได้คิดถึงมัน และจนเมื่อกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เอง ที่ข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่หมู่บ้านเกิดอีกครั้ง ก็ได้พูดคุยกับพี่สาว ถึงเรื่องเหตุการณ์ดังกล่าว

ปรากฏว่า พี่สาวเล่าบ้างว่า พี่ก็เคยอยู่ในเหตุการณ์นั้น!

พี่สาวเล่าว่า มีอยู่คืนหนึ่ง พ่อกับแม่พากันออกไปดูแสงไฟที่ขึ้นตรงสวนท้ายบ้านของเรา และพากันเดินไปประมาณใกล้ส่วนสวน แต่ก็ยังไม่ถึงบริเวณกอไผ่

พี่สาวบอกว่า พ่อแม่ว่า มันต้องมีอะไรอยู่ตรงนั้นแน่ๆ อาจจะมีสมบัติซ่อนไว้แบบที่ตำนานเขาชอบว่า แต่ก็คิดว่ามันอาจจะมีสิ่งที่น่ากลัวแฝงอยู่ แม่จึงห้ามไม่ให้พ่อไปดูใกล้กว่านั้น

แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์มากก็คือ พี่สาวเล่าว่า ตัวพี่สาวเห็นแสงเหล่านั้นกับตา มันเป็นสีทองๆ สว่างๆ เหมือนแสงจันทร์เดือนหงาย แต่ก็เป็นประกายวิบๆ วับๆ ระยิบระยิบอยู่ตามพื้น บนดิน บนหญ้า บนใบไม้แห้งที่ร่วงอยู่ตามพื้นด้วย

พี่สาวว่า ตัวเองได้เดินเข้าไปหยิบเอาใบไม้ที่มีแสงวิบๆ วับๆ เพื่อจะเอามาขึ้นมาดูใกล้ๆ แต่พอหยิบขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นเพียงใบไม้แห้งธรรมดาไป

เรื่องนี้มีความแปลกประหลาดอยู่มาก และมาหวนย้อนคิดดู ความที่เรายังไม่มีคำตอบกับสิ่งนี้ จึงอาจคิดได้ว่า มันก็เป็นหนึ่งปริศนา ที่อาจจะเป็นเรื่องลี้ลับหรือไม่

สิ่งที่น่าสนใจ ตรงจุดที่มีลำแสงส่องนั้น พ่อเคยเล่าด้วยว่า ถัดไปเป็นจุด "วัดห่าง" หรือ "วัดร้าง" ที่เคยมีการพบซากอิฐเก่าแก่ และพระครูบาผู้สร้างวัดของหมู่บ้านนี้ เคยได้มาปฏิบัติธรรมอยู่

และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เมื่อข้าพเจ้าปรับพื้นที่บริเวณนั้นเพื่อทำสวนกุหลาบ รถแบ็คโฮก็ขุดเจอซากก้อนอิฐเก่าอยู่จำนวนหนึ่ง

ยังไม่ถึง "เรื่องผี" เลย แต่ดูว่าจะเริ่มยาวเกินไป จึงจะขอยกไปเล่าต่อในครั้งหน้านะคะ ประเด็นในตอนนี้คือว่า

หากเรามองว่า ผีคือสิ่งที่ลี้ลับ แต่ขณะเดียวกัน สิ่งลี้ลับอาจจะไม่ได้มีเฉพาะผี (ใช่หรือไม่?) แล้วประสบการณ์เฉพาะตนของแต่ละคน เราเป็นหนึ่งในข้อร่วมพิสูจน์การมีอยู่ของผีได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้ว่า พี่สาวของข้าพเจ้าเองก็เป็นผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์กับพ่อแม่ในเรื่อง  “ลำแสงปริศนา”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook