ยอดสนั่น - แจ็กกี้ : แรงปรารถนาของลูกชายผู้อยากไปไกลกว่าแชมป์โลกของพ่อ

ยอดสนั่น - แจ็กกี้ : แรงปรารถนาของลูกชายผู้อยากไปไกลกว่าแชมป์โลกของพ่อ

ยอดสนั่น - แจ็กกี้ : แรงปรารถนาของลูกชายผู้อยากไปไกลกว่าแชมป์โลกของพ่อ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีนักชกชาวไทย ก้าวไปกระชากเข็มขัดแชมป์โลกสถาบันหลัก 48 คน แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ยังไม่เคยมีแชมป์โลกคู่พ่อ-ลูก สายเลือดไทยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

เพราะกว่าที่นักมวยสักคนหนึ่งจะไปถึงบัลลังก์แชมป์โลกมวยสากล สถาบันหลัก ก็นับเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ครั้นจะมองหาทายาทนักชก ที่เดินตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อได้นั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปอีก 

แต่ความหวังที่แฟนหมัดมวยอยากจะเห็น แชมป์โลกคู่พ่อ-ลูกชาวไทย เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “แจ๊กกี้ ไชยพงษ์” บุตรชาย แชมป์โลกคนที่ 32 ของไทย “ยอดสนั่น ศิษย์ยอดธง (สามเค แบตเตอรี่)” หรือ ธีรปภัสร์ พงษ์วันกิตติคุณ (ชื่อเดิม ธีระ พงษ์วัน)  กำลังเดินตามรอยคุณพ่อในเส้นทาง นักมวยสากลอาชีพ 

แม้ในความตั้งใจเดิมของคุณพ่อ เขาไม่ปรารถนาให้ลูกชายเลือกเส้นทาง “นักชก” แบบตัวเอง แต่หนุ่มน้อยลูกครึ่งไทย-รัสเซีย วัย 18 ปี ก็สามารถเอาชนะใจคุณพ่อได้ ด้วยแรงปรารถนาและเป้าหมายที่เขาต้องการผลักดันตัวเองไปไกลกว่าจุดที่พ่อเขาเคยยืน

“ผมไม่อยากให้ลูกชกมวย ?”

“เขามีสายเลือดนักกีฬาเหมือนกับผม ชอบออกกำลังกาย ชอบเล่นอะไรผาดโพน คนรอบตัวผมก็คอยถามผมตลอดว่า ‘ยอดสนั่น อยากให้ลูกชายเป็นนักมวยเหมือนตัวเองหรือไม่ ?” ผมก็ตอบไปทุกครั้งว่า ‘ไม่ครับ’ แม้ผมจะรู้ว่าเขามีพรสวรรค์ด้านกีฬาการต่อสู้” เจ้าของฉายา เงาปีศาจ กล่าวเริ่ม 

“ตอนนั้นผมคิดว่า กีฬาอื่นมีตั้งแต่เยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องเป็นมวย ถ้าเขามีความตั้งใจจริง ก็สามารถประสบความสำเร็จ สร้างชื่อเสียง ในระดับโลกได้เช่นกัน” 

“ผมเลี้ยงลูกแบบไม่เคยบังคับเขา ไม่ว่าเขาจะรักหรือชอบอะไร ผมก็พร้อมสนับสนุน แต่ถามว่าผมไปบอกลูกไหมว่า ต้องมาเป็นนักมวยแบบพ่อ ? ไม่เคยสักครั้งเดียว เพราะผมเคยผ่านมาก่อน ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ผมไม่อยากลูกต้องเจอปัญหาแบบที่ผมเคยเจอ”

บ่ายวันหนึ่งระหว่างช่วงก่อนโปรแกรมซ้อมมื้อเย็น ประจำวันของ แจ็กกี้ แทนเทเลคอม (ไชยพงษ์ พงษ์วันกิตติคุณ) บุตรชายของอดีตแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวท สมาคมมวยโลก (WBA) “ยอดสนั่น” เริ่มรำลึกถึงความตั้งใจในวันวาน ที่เขาไม่ได้อยากเห็นลูกของเขาเลือกเส้นทางนี้สักเท่าไหร่ 

ดูเหมือนโชคจะเป็นใจแก่ผู้เป็นพ่อ เพราะตั้งแต่เด็กจนเป็นวัยรุ่น “แจ็กกี้” มีความสนใจในกีฬาหลายชนิด โดยเฉพาะกีฬาเอ็กซ์ตรีม แต่ที่ทำได้ดีเป็นพิเศษคงเป็น ฟุตบอลที่เขาสามารถผ่านการทดสอบฝีเท้า ได้เป็น เยาวชนฝึกหัด ในอคาเดมีสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 

“ผมเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม หรือกิจกรรมที่มันพาดโผน พ่อเป็นคนที่สนับสนุนทุกอย่าง ไม่ว่าผมจะตัดสินใจลองทำอะไร ทำให้ผมสามารถเล่นกีฬาได้หลายอย่าง เช่น ว่ายน้ำ, ตีกอล์ฟ, เทนนิส, จักรยาน BMX, สเก็ตบอร์ด, สเก็ตน้ำแข็ง, ยิมนาสติก, ฟรีรันนิ่ง, ปากัวร์ (กีฬาเอ็กซ์ตรีมประเภทหนึ่ง), เพนท์บอล, เต้นบี-บอย, ฟุตบอล ขึ้นอยู่กับว่า ผมจะเอาอะไรเป็นหลัก”

“ตอนที่เล่นฟุตบอล ผมก็ไม่ได้ชอบดูบอลนะ แค่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ และมันพอมีลู่ทางอยู่ ก็เตะๆไป แต่ใจจริงผมชอบดูมวยมากกว่า ผมดูมวยมากกว่าบอลอีก เพราะผมรับรู้มาตลอดว่า พ่อ (ยอดสนั่น) ท่านเคยอยู่ในจุดที่สูง ระดับแชมป์โลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจมาก” แจ็กกี้ เผย 

หลังจากเข้าไปอยู่ในอคาเดมีเมืองทองฯ ได้เป็นเวลา 1 ปี แจ็กกี้ ตัดสินใจออกจากทีมในช่วงปิดเทอม เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อม ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง จนเขาต้องพักยาวและทำให้พัฒนาการด้านฟุตบอลของเขาไม่ต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็น 

ประกอบกับเสียงในหัวใจของเขา ในตอนนั้น เริ่มเรียกร้องที่อยากเดินตามรอยผู้เป็นพ่อ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ ? อย่างที่เขารู้ดีว่า คุณพ่อไม่ได้เชียร์ให้เขาเป็นนักมวยอาชีพเท่าไหร่ เขาจึงต้องใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน ก่อนรวบรวมความกล้าต่อสายโทรไปหาคุณพ่อยอดสนั่น 

 
ใต้เงาปีศาจของลูก และบาดแผลของพ่อ 

 “วันนั้นแจ๊กกี้โทรมา พอผมกดรับสายเขาก็ร้องไห้แล้วบอกว่า ‘ปะป๋าครับ กี้อยากชกมวย’ แค่เท่านั้นล่ะ ผมก็ร้องไห้ตามเขา” 

“ช่วงนั้นเหมือนครอบครัวเริ่มมีปัญหาด้านการเงินขาดสภาพคล่อง เขาก็พูดมาคำหนึ่งว่า ‘ปะป๊า ให้กี้ชกมวยเถอะนะ กี้จะหาเงินช่วยครอบครัวเอง’ ผมก็บอกเขาว่า ถ้าลูกเอาจริง มีความปรารถนาที่อยากเป็นแชมป์โลกเหมือนพ่อ พ่อจะทำให้ลูกไปถึงจุดนั้นให้ได้ ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ลงมาสอนเขาด้วยตัวเอง” 

สิ่งที่ลูกชายบอกในวันนั้น อาจไม่ได้ตรงกับความต้องการของผู้เป็นพ่อ แต่สิ่งที่คุณพ่อยอดสนั่น ทำต่อจากนั้นไม่ใช่การปฏิเสธคำขอร้องหรือโน้มน้าวให้ลูกชายเปลี่ยนใจ 

ในทางกลับกัน เขากลับเชื่อใจลูกชายอย่างไม่มีข้อสงสัย พร้อมกับทำหน้าที่เป็นทั้ง พ่อ และ “เทรนเนอร์” ที่สอนบุตรชายผู้ไร้ประสบการณ์ ในสังเวียนมวย วัย 17 ปี ด้วยตัวเอง แม้ในใจลึกๆ เขาจะมีความกังวลอยู่บ้างว่า ลูกชาย อาจต้องเจอช่วงเวลาที่ไม่สวยงามในอาชีพแบบที่เขาเคยเจอ 

แต่เมื่อสิ่งนี้เป็นเป็นคำขอและความต้องการของลูกชาย… คนเป็นพ่ออย่าง ยอดสนั่น ก็ทุ่มหัวใจที่จะสู้กับลูกชาย ในสังเวียนมวยสากลอาชีพ 

“ผมเป็นคนไม่มีพรสวรรค์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแชมป์โลกได้ ทุกอย่างเกิดจากพรแสวง ผมซ้อมหนักกว่าคนอื่น ผมขยัน และปฏิบัติเหมือนเดิมทุกวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันชิงแชมป์โลก จนผมก้าวไปถึงจุดนั้นได้"

“แต่พอเราได้แชมป์โลก ผ่านมาปีหนึ่ง เรายังไม่ได้ป้องกันแชมป์เลย ผมก็คิดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมขยันตั้งใจซ้อมมาทั้งปี แต่ไม่มีรายการเลย แล้วครอบครัวผมไม่ต้องกินใช้หรือ ?  ตอนนั้นผมรู้ดีศักยภาพตัวเองไปถึงระดับไหน เราสามารถไปต่อยในอเมริกาได้ ทางโปรโมเตอร์เก่าก็พาคุยกับ ดอน คิง จะทำสัญญากัน แต่เงื่อนไขฝ่ายเราเสียเปรียบเยอะ จึงไม่ได้เอา”

“พอเราลองติดต่อเองกับทาง อาร์ท เพลูโญ (โปรโมเตอร์ของแบนเนอร์ โปรโมชั่น) จนตัดสินใจเซ็นสัญญากัน ก็ทำให้โปรโมเตอร์สองฝั่งทะเลาะกัน ตอนนั้นเราก็รู้สึกเบื่อ ไม่อยากดัง ไม่อยากเป็นแชมป์โลกแล้ว ยิ่งอยู่สูง ยิ่งไม่มีความสุขเลย ได้แต่คิดว่าทำไมผู้ใหญ่ไม่ช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนเรา นี่เป็นเหตุผลหลักที่เราไม่ให้ลูกเจอแบบตัวเอง”

นอกเหนือจาก พรสวรรค์ด้านกีฬามวยที่ ยอดสนั่น เผยว่าเขาเห็นแววในตัวลูกชายมานาน ถึงขนาดที่ ชาตรี ศิษย์ยอดธง  ผู้บริหาร ONE Championship อดีตเจ้านายสมัยเขาทำงานอยู่ใน อีโวลต์ ที่ประเทศสิงคโปร์ เอ่ยปากชม

อีกสิ่งหนึ่งทำให้เขาเชื่อมั่นว่าลูกชาย จะไปถึงเป้าหมายแชมป์โลกได้เหมือนกับตนเอง ก็คือ ความขยันและทุ่มเทที่ แจ็กกี้ แสดงให้ผู้เป็นพ่อเห็นยามฝึกซ้อม จนสามารถเรียนรู้วิชาหมัดมวยได้อย่างรวดเร็ว 

“สมัยที่ผมทำงานอยู่ในยิม เจ้าแจ็กกี้ จะชอบปีนขึ้นเสาแล้วตีลังกากลับหลังมา วันหนึ่งเจ้านาย (ชาตรี ศิษย์ยอดธง) มาเห็นเข้า ก็เรียกเข้าไปคุยบอกว่า ‘ไอ ชอบเด็กคนนี้มาก มันบ้าดี มีพรสวรรค์ ไออยากปั้นให้เป็นนักชก MMA ’”

“ประกอบกับช่วงก่อนหน้านั้น ผมเคยส่งแจ็กกี้ไปเรียน BJJ (บราซิเลียน ยิวยิตสู) เชื่อไหมเขาเรียนแค่ 2 สัปดาห์ แต่สามารถเอาชนะเด็กที่เรียนมา 2 ปีได้ แต่เราก็ยังไม่ได้คิดอะไร ถ้าวันนั้น แจ็กกี้บอกผมว่า ปะป๊า ผมอยากชก MMA ผมก็สนับสนุนเขานะ”

“เพราะเขาเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้เร็วมาก ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่น อะไรที่เขาสนใจ ลองทำแค่ไม่นาน เขาสามารถทำได้เลย แต่ผมก็บอกเขาว่า การจะเป็นนักมวยระดับโลกไม่ง่ายนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ด้วยความสามารถ ผมเชื่อว่าเขาไปได้ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น เขาต้องฝึกฝนแบบเดิม ซ้ำไปซ้ำมา จนร่างกายเกิดความเคยชิน ทำได้อย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ”

“ถ้าคนอื่นทำได้ ผมก็ต้องทำได้” แจ็กกี้ ไชยพงษ์ กล่าวเสริมจากคุณพ่อ

ก่อนที่ ยอดสนั่น จะเล่าต่อว่า “เราเคยไปมาแล้ว เรารู้ดีว่า เขาต้องทำอย่างไรบ้าง ก็สอนเขาเสมอว่า หากคนอื่นทำ 10 ให้เราทำ 15 คนอื่นทำ 15 เราทำ 20 เมื่อไหรที่เราชนะตัวเองได้ การชนะคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก ซ้อมเยอะ ชกจริงอาจไม่ถึง 1 นาที ต่อยง่ายสบายมาก ซ้อมน้อย ต่อยยาก เหนื่อยมาก ได้รับบาดเจ็บเยอะ”

“แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ แจ็กกี้ ว่าเขาจะบ้า ดี เดือดแค่ไหน มีความทะเยอทะยานที่อยากผลักดันตัวเองแค่ไหน ? เพราะเวลาเขาขึ้นไปชกบนเวที ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้ว ถ้าเขาจะเป็นแชมป์โลก เขาก็ต้องทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับบารมีพ่อ”

“วันนี้คนอาจติดตามเขา เพราะเขาเป็นลูกชายยอดสนั่น แต่ผมบอกเขาตลอดว่า เราคือนักมวยอาชีพ หากเขาอยากจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนักมวย ต้องถอดคำว่า ลูกยอดสนั่นทิ้งไว้แค่ข้างเวที และขึ้นไปชกเพื่อให้คนจดจำเขา ในแบบที่เขาเป็น”

แจ็กกี้ ไชยพงษ์ ได้รับความสนใจจากแฟนหมัดมวยมากพอสมควร เมื่อเทียบกับจำนวนไฟต์การชกที่เขาเพิ่งผ่านมาเพียงแค่ 2 ไฟต์เท่านั้น แต่เหตุผลหลักที่คนติดตาม ย่อมเป็นเพราะเขาคือลูกชายของกำปั้นหมัดหนักขวัญใจชาวไทย ยอดสนั่น ศิษย์ยอดธง

ความสำเร็จของผู้เป็นพ่อ อาจสร้างกดดันและทำให้เขาถูกคาดหวังว่า จะต้องทำให้ได้เหมือนกับพ่อ จนอาจส่งผลให้เขาชกได้ไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือกดดันมากเกินไป แต่สำหรับ แจ็กกี้ แทนเทเลคอม วัย 17 ปี เขากลับไม่ได้รู้สึกว่า ต้องแบกรับความกดดันในความเป็น “ลูกชายยอดสนั่น”

“มวยเป็นที่แตกต่างกับกีฬาอื่นนะ เพราะใช้ร่างกายทุกส่วนตั้งแต่เท้ายันหัว เท้า คือ ฟุต เวิร์ก, หัว คือ ความคิด ส่วนร่างกายก็ทำตามที่สมองสั่งการ แถมยังต้องออกแรงและใช้ร่างกายปะทะความเจ็บปวด แต่ข้อดีคือ มันเป็นกีฬาบุคคลไม่ต้องอาศัยคนอื่น เราแบกแค่ตัวเองพอ เวลาอยู่บนเวที ถามว่าซ้อมหนักเหนื่อยไหม เหนื่อยนะ แต่ผมเป็นคนที่ยิ่งเหนื่อย ยิ่งชอบ ยิ่งอยากเหนื่อยอีก”

“ถามว่ากดดันไหม มีจับตามองเยอะขึ้น เพราะเป็นลูกชายยอดสนั่น ? ผมไม่กดดันนะครับ ผมรู้สึกดีเสียอีก ยิ่งมีคนสนใจเยอะ มีคนอยากชกกับผมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ผมขยัน และซ้อมหนักกว่าเดิม เพื่อผมจะได้ชนะเขา แต่ผมไม่ได้เอาชื่อเสียงหรือความสำเร็จของพ่อมากดดัตตัวเองว่า เราเก่งไม่เท่าพ่อหรอก ผมไม่คิดแบบนั้น”

“ผมชกด้วยตัวเอง พ่อไม่ได้ขึ้นไปชกให้ อย่างตอนโยกหลบ มันหลบด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง ไม่ใช่มีคนสั่ง ไม่ได้ใช้ความคิดด้วย มันเกิดขึ้นจากความรู้สึก และความคุ้นชินตอนฝึกซ้อม” แจ็กกี้ แทนเทเลคอม พูดถึงความรู้สึกที่วันนี้เขายังอยู่ในร่มเงาของผู้เป็นพ่อ และรอคอยเวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

อยากไปให้ไกลกว่าพ่อ

“ผมอยากเป็นแชมป์โลก ตั้งแต่ก่อนขอพ่อชกมวยอีก แต่เท่าที่ผมเห็นแชมป์โลกคนไทยส่วนใหญ่ จะชกในประเทศเป็นหลัก ถ้าผมไปถึงจุดนั้น ผมอยากชกป้องกันแชมป์ที่เมืองนอกมากกว่าในไทย เพราะการชกในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ อเมริกาฯ จะทำให้คนรู้จักและมีคนยอมรับเราในวงกว้าง ถ้าชกในไทยก็ดังอยู่ในไทย” 

“ผมอยากเป็นแชมป์โลกเหมือนพ่อ เมื่อผมถึงจุดนั้น ผมจะพยายามไปให้ไกลกว่าพ่อ ผมอยากทำให้ได้เหมือนกับ แมนนี่ ปาเกียว ที่เขามาจากฟิลิปปินส์ แต่ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจนเป็น นักชกระดับโลกที่ทุกคนยอมรับ” 

“ผมฝันมาตลอดว่าได้ชกที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน มีพ่อคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี้ เราอาจเสียเปรียบเรื่องเสียงเชียร์ แฟนๆที่นั่นอาจไม่ชอบเรา แต่ถ้าเราทำได้ คนจะยอมรับเราเอง ผมเชื่อแบบนี้นะ”


สิ่งที่เราสัมผัสได้จากการพูดคุยกับ แจ็กกี้ ไชยพงษ์ ก็คือ ความคิดของเด็กคนหนึ่ง ที่ค่อนข้างมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง กล้าที่จะคิดและฝันใหญ่ เต็มที่กับสิ่งที่ตัวเองทำมากกว่า มานั่งคิดว่า ความฝันที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น จะดูเป็นเรื่องเพ้อฝันหรือไม่ ? 

ภายใต้การดูแล ฝึกสอนของ เทรนเนอร์ ที่เป็นทั้งพ่อ และเป็นทั้งโค้ช รวมถึงเคยก้าวไปถึงจุดนั้นมาแล้วอย่าง ยอดสนั่น ศิษย์ยอดธง 

“ผมบอกกับเขาว่า ยิ่งเขาเก่ง ยิ่งบินสูง ขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งรับมือยากเท่านั้น เขาต้องรู้จักวางตัวให้เป็น อ่อนน้อม ไม่ว่าจะเป็นใคร ‘สวัสดีครับ’ 'ขอบคุณครับ' คำพูดจาสุภาพเข้าไว้ มือไม้อ่อนดีที่สุด ใครจะดุ จะด่า จะว่า น้อมรับฟัง อย่าไปตอบโต้ ขอบคุณเขาที่แนะนำและสั่งสอนเรา”

“ผมเชื่อว่าเขาทำได้แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ หากเขาอยากเป็นแชมป์โลก เขาต้องใช้ความพยายามเพื่อผลักดันตัวเองขึ้นไป เหตุผลเดียวที่เขาจะไปไม่ถึงแชมป์โลก คือ เขาไม่อยากไป"

"แต่เมื่อไหร่ที่เขาไปถึงแชมป์โลก ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า คนเป็นแชมป์โลก ก็ยังมีข้อดี ข้อเสีย มีคนรัก มีคนเกลียด เป็นเรื่องธรรมดา” 

“ไม่ว่าใครจะชื่นชมเราว่าเก่งแค่ไหน อย่าเหลิง อย่าหลงตัวเอง บอกตัวเองไว้ ‘กูยังไม่เก่ง’ โลกใบนี้ยังมีคนที่เก่งกว่าอีกเยอะ ถ้าคิดแบบนี้ เขาจะดีขึ้นกว่าที่เคยดีอยู่แล้วแน่นอน และความฝันของเขาจะไม่ใช่ที่เรื่องไกลเกินเอื้อม ในสายตาของผม” ยอดสนั่น กล่าวทิ้งท้าย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook