ไม่เมา ไม่แม่น : "บิ๊กบิล" มือสอยคิวท็อป 10 ของโลกที่ดื่มเบียร์ 76 กระป๋องระหว่างแข่ง

ไม่เมา ไม่แม่น : "บิ๊กบิล" มือสอยคิวท็อป 10 ของโลกที่ดื่มเบียร์ 76 กระป๋องระหว่างแข่ง

ไม่เมา ไม่แม่น : "บิ๊กบิล" มือสอยคิวท็อป 10 ของโลกที่ดื่มเบียร์ 76 กระป๋องระหว่างแข่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สนุกเกอร์คือกีฬาที่ผู้เล่นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากในการตัดสินใจแต่ละช็อตที่มีความหมายในระดับตัดสินเกม ดังนั้นการประคองสติให้สมประกอบคือสิ่งที่มือวางระดับโลกหลายคนยึดถือปฏิบัติมาเสมอตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตามนี่คือเรื่องราวของหนึ่งเดียวผู้ยิ่งใหญ่ที่สื่อเรียกกันว่านักสนุกเฮฟวี่เวต ชายผู้ไม่ใช่แค่จิบ แต่ยกซดจนน่ากลัวในการแข่งแต่ละครั้ง ... จุดเริ่มต้นมาจากอะไร ทำไม "บิ๊กบิล" บิล แวร์บินุก ตำนานนักสนุกเกอร์ชาวแคนาดาต้องทำแบบนั้น?

ง่ายๆ สไตล์บิล

บิล แวร์บินุก มีพ่อเป็นนักสนุกเกอร์ระดับอาชีพที่ผันตัวกลายเป็นโจรและพ่อค้ายาเสพติดในภายหลัง ดังนั้นไม่ต้องสืบเลยว่าเขาต้องเติบโตมาด้วยสภาพการเลี้ยงดูที่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ แน่นอน 


Photo : maungybadger.blogspot.com

เขาเริ่มจับคิวครั้งแรกตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็แพ็คกระเป๋าและขอแสวงโชคแบบเส้นทางลูกผู้ชายด้วยการเดินสายทั่วอเมริกาเหนือเพื่อทำอาชีพ "นักพนันพูล" หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือการเดินสายแข่งแบบกินเดิมพันนั่นเอง 

ความสามารถของ บิล ถือว่าสูงมากหากเทียบกับระดับขาเมาตามผับที่เขาเดินสายกินเดิมพัน ดังนั้นเขาจึงได้เงินมาแบบนิ่มๆ และมันทำให้เขาเพลินจนลืมคิดไปว่า "ทำไมไม่ลองเป็นนักสนุกระดับมืออาชีพดู" 

บิล เริ่มเปลี่ยนตัวเองจากสายล่าเดิมพันเป็นสายล่ารางวัลในระดับอาชีพเมื่อปี 1973 ตอนอายุ 26 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ช้ากว่ามือระดับโลกคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามเรื่องความผาดโผนแบบวัยรุ่นไม่ได้จากไปแม้พ้นวัยทีน บิล ยังเป็นนักผจญภัยที่ใช้ชีวิตง่ายๆ "มีเยอะกินเยอะ มีน้อยกินน้อย ไม่มีก็ไม่กิน" นั่นคือไลฟ์สไตล์ของเขาเสมอมา แม้กระทั่งตอนที่ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษซึ่งมีรายการให้แข่งมากกว่าที่ แคนาดา เขายังไม่เช่าโรงแรมหรือซื้อห้องพักเหมือนใครๆ แต่กลับใช้การซื้อรถบ้านและกินนอนในนั้นแทบจะตลอดเวลาที่เป็นนักสอยคิวระดับมืออาชีพ

แม้จะใช้ชีวิตแบบง่ายๆ สไตล์บิล ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขาต้องกำกับให้เด็ดขาดและห้ามตกหล่นคือ เมื่อไรก็ตามที่เขาสวมชุดแข่งและเตรียมที่จะลงแข่งขัน เมื่อนั้นเครื่องดื่มมึนเมาสายแอลกอฮอล์ต้องพร้อมเสิร์ฟตลอด เพราะเจ้าตัวยอมรับว่าหากวันไหนไม่มีแอลกอฮอล์เข้าเส้นเลือด วันนั้นเขาจะมีฟอร์มการแทงที่แย่ลงจนแทบจะเป็นคนละคนเลยทีเดียว

มือเมาอันดับ 1 

ตัวของ บิล แวร์บินุก นั้นถือเป็นนักกีฬาสนุกที่มีจุดเด่นมากกว่าใครในยุคของเขา เหตุผลเพราะเขามีรูปร่างที่ใหญ่กว่านักแข่งทั่วไป เขามีน้ำหนักถึง 158 กิโลกรัม และจุดเด่นที่เด่นยิ่งกว่าขนาดตัว คือทุกครั้งที่ลงแข่งขันเขาจะต้องเมาในระดับที่เรียกว่า "ถึงของ" ก่อนจึงจะแข่งได้


Photo : www.thesun.co.uk

"ผมต้องดื่มเบียร์ 6 แก้วใหญ่ก่อนเริ่มแข่งขัน หลังจากนั้นจะเริ่มดื่มระหว่างเฟรมอีก 1 แก้ว ยิ่งการแข่งไหนที่ยืดเยื้อผมก็ยิ่งดื่มเยอะ แต่ผมจะพยายามเผาผลาญมันให้เร็วที่สุด" บิลล์ พูดถึง "พิธีกรรม" แต่ละครั้งในการแข่งของเขา ซึ่งมีอยู่เกมหนึ่งที่พบกับ จอห์น สเปนเซอร์ ในยุค '70s เขาหมดเบียร์ไปถึง 76 กระป๋อง 

"ผมตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อเริ่มดื่มเบียร์ทุกวันตอน 6 โมงเช้า และหลังจากเปิดกระป๋องแรกผมจะดื่มต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเมา ... ตกวันหนึ่งก็น่าจะประมาณ 50 กระป๋องขึ้นไปล่ะมั้ง" เขาขยายความต่อถึงกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เขามีน้ำหนักตัวมากที่สุดในหมู่นักสนุกยุคนั้น 

การดื่มเป็นจำนวนมากไม่ได้มีผลอะไรต่อ บิ๊กบิล มากนัก ว่ากันว่าเวลาที่เขายิ่งดื่มมากเท่าไหร่เขาจะกลายเป็นคนที่นิ่งและมีสมาธิมากขึ้น ขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไปที่มักจะใจร้อน, ฉุนเฉียว หรือไม่ก็ไม่เป็นอันทำอะไรเวลาเมา   

มาร์โก ฟู นักสนุกชาวฮ่องกง ที่เคยเป็นมือวางอันดับ 5 ของโลกในยุค 2000’s คือหนึ่งคนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ดี เขาเป็นคนที่เดินทางไปยัง แคนาดา เพื่อขอร่ำเรียนวิชาจาก "บิ๊กบิล" ชายที่เขาเรียกว่า "อาจารย์"


Photo : www.rte.ie

"ผมมีโอกาสได้ไปอยู่ที่แคนาดาอยู่ 5-6 ปี และได้ฝึกฝนกับ บิล แวร์บินุก และสิ่งที่ผมบอกได้เลยคือเขาเป็นนักสอยคิวระดับเทพคนหนึ่งเลย" เจ้าของแชมป์ 9 รายการ และเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ปี 2010 เริ่มพูดถึงอาจารย์ของเขา

ขณะที่ จิมมี่ ไวท์ นักสนุกชื่อดังอีกคนยังยอมรับว่า เกิดมาไม่เคยเห็นใครดื่มดุแต่สามารถคงสติจนพาตัวเองชนะได้อย่างที่ บิล แวร์บินุก ทำเลยแม้แต่คนเดียว

"เขาเป็นนักดื่มที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นผู้เล่นที่สุดยอดด้วยเช่นกัน มีแค่ บิ๊กบิล คนเดียวเท่านั้นที่อัดเบียร์ไป 10 ไพน์ก่อนลงสนามแข่งแต่ก็ยังชนะได้" เจ้าของฉายา "The Whirlwind" หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ "สิงห์อีซ้าย" สดุดีตำนานรุ่นพี่ 


Photo : www.eurosport.co.uk

การเมาทุกครั้งที่ลงแข่งอาจจะเป็นศาสตร์ที่ใครก็เข้าไม่ถึงนอกจากตัวของเขาเอง แต่ บิล แวร์บินุก เคยขึ้นไปถึงอันดับ 8 ของโลกในช่วงปี 1983-84 และยังเคยคว้าแชมป์ในรายการแบบ Non-ranking (ไม่เก็บคะแนนสะสมอันดับโลก) อีก 6 ครั้ง 

มองเผินๆ นี่คือชีวิตที่น่าอิจฉาเพราะ บิล แทบไม่เคร่งครัดกับเรื่องอื่นใดในชีวิตมากมายนัก เขามีหน้าที่ไปแข่ง, คว้ารางวัล และนำเงินรางวัลไปใช้ดื่มเบียร์และว็อดก้า (เขาเรียกมันว่าการเข้าสังคม) ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รางวัลจากการแข่งมาราว 20,000 ปอนด์ แต่หลังจากนั้นเขาก็ใช้มันหมดในเวลาแค่ไม่ถึง 20 นาที ซึ่งเขาไม่ได้เครียดอะไร หมดแล้วก็หาใหม่ ง่ายๆ แค่นั้นเอง

อย่างไรก็ตามคนเรานั้นเมื่อไม่เห็นโลงศพนั้นยากที่จะหลั่งน้ำตา เมื่ออายุเริ่มมากขึ้นสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถอย บิล ก็ไม่สามารถทนทานต่อแอลกอฮอล์ได้เหมือนเดิม และเขาเริ่มรู้ซึ้งถึงโทษของมันขึ้นมาเมื่อวันนั้นมาถึง

ปีศาจแสดงตัว

บิล ใช้งานแอลกอฮอล์ให้เป็นเหมือนกับพลังวิเศษของเขามาหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่งพลังวิเศษนั้นด้อยประสิทธิภาพลงไป ซ้ำร้ายยังกลายเป็นยาพิษที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ทีละนิด ทีละนิด และมันทำให้เขาเดินทางเข้าสู่สถานีต่อไปแบบไม่รู้ตัว


Photo : www.jellypages.com

"ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากโรงพยาบาล" ... บิล เปิดอ่านมันและเริ่มเข้าใจว่าร่างกายของเขาชักจะผิดปกติ เพราะแพทย์ประจำตัวเริ่มกังวลกับวิถีชีวิตที่ดื่มหนักดื่มดุของเขา จนต้องแนะนำให้ บิล เริ่มกินยาที่ชื่อว่า Propranolol ควบคู่ไปด้วย

Propranolol (โพรพราโนลอล) คือยาที่ใช้ลดความดันโลหิต และลดอาการเจ็บหน้าอก, หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงระบบไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติด้วย ซึ่งอาการทุกอย่างที่กล่าวมาคือสิ่งที่ บิล แวร์บินุก ได้รับในวันที่ร่างกายเสื่อมถอย 

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าร่างกายไหวหรือไม่ แต่มันอยู่ที่ยาประเภทนี้ถือเป็นสารต้องห้ามในวงการสนุกเกอร์ ทว่าสำหรับ บิล เขาไม่มีทางเลือกนัก สนุกเกอร์ คือวิธีการหาเงินเป็นทางหลักของเขา ดังนั้นเขาจึงทู่ซี้ลงแข่งต่อไปโดยไม่เกรงกลัวต่อผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย

"ดูเหมือนตอนจบของผมใกล้จะมาถึงแล้ว อาจจะมียาชนิดอื่นๆ ที่พอใช้ได้ แต่ผมต้องใช้ปริมาณมากกว่าคนปกติ 2-3 เท่า ซึ่งถ้าทำแบบนั้นผมมีโอกาสที่จะตายได้ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่ายาที่ผมกินไม่ได้เป็นยาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอะไรเลย" เขาขอความเป็นธรรมแต่สุดท้ายกฎก็เป็นกฎอยู่ดี 


Photo : Jopesalmi's Classic Snooker

บิล ถูกปรับแพ้และปรับเงินจากการแข่งขัน หลังจากที่เขาฝืนคำสั่งและยังใช้ยาที่ถูกนับเป็นสารกระตุ้นอยู่ในช่วงปี 1988-89 ชีวิตนักสนุกเกอร์อาชีพของเขาอยู่ในช่วงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนอันดับตกมาอยู่ที่ 47 ของโลก

โดยแมตช์ระดับอาชีพแมตช์สุดท้ายของเขาคือการแข่งขันกับ ไนเจล บอนด์ ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี 1990 รอบคัดเลือก ซึ่งเขาแพ้ยับ 1-10 เฟรม ก่อนจะเปิดใจหลังจบการแข่งขันว่า 

"ผมชอบกินเบียร์ เบียร์ลาเกอร์ที่ดีกรีแรงที่สุด 24 ไพน์ (แก้วใหญ่) ต่อด้วยว็อดก้าอีก 8 ช็อต และแน่นอนผมยังไม่เมา" หลังจากการประกาศครั้งนั้นเขาก็ตรวจโด๊ปไม่ผ่าน ก่อนจะออกจากการแข่งขันสนุกเกอร์อาชีพตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 

ตอนจบของบิ๊กบิล 

คำกล่าวที่ว่าสูงสุดคืนสู่สามัญถือว่าเป็นอะไรที่เหมากับชีวิตของ บิล แวร์บินุก อย่างแท้จริง เขาโดนวงการสนุกเกอร์อาชีพเขี่ยออกมาหลังจากเข้าสู่ยุค '90s นั่นทำให้เขาต้องกลับสู่งวงจรเดิมคือการกลับไปประเทศแคนาดาและแข่งเดิมพันพูลเหมือนกับตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น แต่สัจธรรมของชีวิตมนุษย์คือสังขารของเรานั้นไม่เที่ยง บิล คนเดิม, ดื่มเหมือนเดิม, และสไตล์การเล่นเหมือนเดิม แต่ในวัยที่แก่ขึ้นและร่างกายที่ทรุดโทรม ฝีมือของเขากลับไม่เหมือนตอนสมัยหนุ่มๆ


Photo : www.walesonline.co.uk

เขามีอาการมือสั่นอันเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท จนทำให้การเดินสายล่าเดิมพันและรางวัลไม่เวิร์กเหมือนเก่า ซ้ำร้ายเงินเก็บที่เคยมีก็หมดลงเรื่อยๆ และสุดท้ายในปี 1991 เขาก็ประสบปัญหาใหญ่หลังจากถูกฟ้องล้มละลาย แม้ตัวของเขาจะพยายามดิ้นเพื่อให้กลับมาเล่นในระดับอาชีพที่ทำเงินได้แน่นอนกว่าอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็สายเกินไป ร่างกายของเขาหมดสภาพสำหรับการแข่งขันไปแล้ว ...

กฎในตอนนั้นพยายามจะอะลุ่มอล่วยให้ บิล แข่งขันได้ แต่ร่างกายจะต้องปราศจากตัวยาดังกล่าวในช่วงเวลาแข่งขัน ซึ่งเขาทำไม่ได้ การอดยาทำให้เขาแทงไม่แม่น และไม่เข้าเป้าจนกระทั่งไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

เล่นสนุกเกอร์ไม่ได้, เล่นพูลไม่ได้, กินเหล้าไม่ได้ จะให้กินยาก็ยังไม่ได้อีก ... ชีวิตง่ายๆ ของ บิ๊กบิล ไม่มีจริง มันเป็นเพียงแค่การเบิกพลังในอนาคตมาใช้เท่านั้นเอง เพราะเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายเอาคืน บิล ก็ได้รู้ว่าที่สุดแล้วชีวิตที่ยากลำบากนั้นคืออะไร

ข่าวคราวของ บิล แวร์บินุก เงียบหายไปตามกาลเวลา รู้ตัวอีกทีเขาก็กลับไปอยู่แคนาดาและอาศัยเบี้ยยังชีพคนพิการไปวันๆ และสุดท้ายการจับเจ่ากับกองทุกข์จากโรคร้ายก็ทำให้ "บิ๊กบิล" เสียชีวิตไปในปี 2003 จากโรคหัวใจ ซึ่งมีการเปิดเผยภายหลังว่า บั้นปลายชีวิตของ บิล นั้นป่วยหนักมา 1 ปีเต็มและ 3 เดือนสุดท้ายเขาต้องนอนโรงพยาบาลเพราะโรคภัยแทรกซ้อน สุดท้ายเขาก็จากไปอย่างสงบในวัย 56 ปี

ทุกคนในวงการสนุกเกอร์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีนักสนุกเกอร์คนไหนที่มีคาแร็คเตอร์โดดเด่นเท่ากับ บิล แวร์บินุก อีกแล้ว แชมป์โลก 6 สมัยอย่าง สตีฟ เดวิส เล่าความหลังสมัยยังเป็นเพื่อนร่วมวงการว่า นี่คือชายที่คนหนึ่งที่เขาคิดว่าเอาชนะยากที่สุดในอาชีพของเขา


Photo : @SnookerMemories

"บิลดูเหมือนเป็นคนร่าเริงและสนุกสนาน แต่ความจริงเขาเป็นคู่แข่งที่หนักมากเลย ผมยังจำได้ครั้งหนึ่งเขากำลังจะวางท่าก้มแทงแต่มีเสียงรบกวนมาจากแฟนๆ เขาหันไปทำหน้าดุแล้วบอกว่า 'ใครทำเสียงนั้นวะ'" เดวิส กล่าว

ขณะที่คนซึ่งถือว่าสนิทกับ บิล มากที่สุดอย่าง คลิฟฟ์ ธอร์เบิร์น ที่เป็นนักสนุกชาวแคนาดาเหมือนกันเล่าว่า แม้ตัวของเขาจะเคยเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกและเป็นแชมป์ชาวแคนาดาที่ประสบความสำเร็จมากกว่า บิล แวร์บินุก ทว่าทุกครั้งที่เขาไปแข่งไม่ว่าที่ไหน สิ่งที่ใครหลายคนเข้ามาคุยกับเขาไม่ใช่การชื่นชมเชิดชูเขาโดยตรง แต่เป็นการเข้ามาถามว่า บิล แวร์บินุก เจ๋งอย่างที่ว่าหรือเปล่า?

"ทุกครั้งที่มาแข่งที่อังกฤษ ทุกคนจะถามผมเรื่อง บิล เสมอ เขามีคาแร็คเตอร์ที่ยิ่งใหญ่มาก เขาไม่ได้แค่เป็นเพื่อนร่วมทีมของผม แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีด้วย เขามีจิตใจที่ยอดเยี่ยม เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง เขามีพลังในการสอยคิวมากกว่าใครที่ผมเคยรู้จัก หลังจากเขาออกจากวงการผมไม่ได้พูดคุยกับเขานักหรอก ได้ข่าวว่าเขาไปอยู่ที่ แวนคูเวอร์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมลงแข่งผมก็อดนึกถึงเขาไม่ได้ทุกที" มือ 1 ของโลกในปี 1981-82 กล่าว


Photo : www.picturesheffield.com

เรื่องราวของ บิล แวร์บินุก สอนเราทุกคนได้ว่าชีวิตนี้อะไรก็ไม่แน่นอน ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ การใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอยากทำอะไรก็ทำแบบที่เห็นในโฆษณาอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนักหากเอาชีวิตของ บิ๊กบิล มาเทียบ 

การมีสติในทุกๆ การกระทำต่างหากที่เป็นคำตอบที่แท้จริง หาก บิล แวร์บินุก มีสติและรู้ว่าแอลกอฮอล์เป็นแกลลอนๆ จะส่งผลกับเขาในภายภาคหน้า ป่านนี้สถิติของเขาอาจจะจบด้วยการเป็นมือ 1 ของโลกสักปี และมีแชมป์ระดับเมเจอร์สักรายการก็เป็นได้ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook