พงศ์รวิช จันทวงษ์ : เส้นทางการเติบโตของต้นซากุระสัญชาติไทย วัย 18 ปีที่โอซาก้า

พงศ์รวิช จันทวงษ์ : เส้นทางการเติบโตของต้นซากุระสัญชาติไทย วัย 18 ปีที่โอซาก้า

พงศ์รวิช จันทวงษ์ : เส้นทางการเติบโตของต้นซากุระสัญชาติไทย วัย 18 ปีที่โอซาก้า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความฝันของนักฟุตบอลไทย คืออะไร ? หากให้เหล่านักค้าแข้ง มาตอบคำถามเหล่านี้ ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นสองคำตอบ 

หนึ่ง ติดทีมชาติชุดใหญ่ ลงเล่นให้ทัพช้างศึก เพื่อเป็นเกียรติประวัติ ของตนเอง และวงศ์ตระกูล

สอง ไปค้าแข้ง เล่นฟุตบอลต่างประเทศ โดยเฉพาะในลีก ที่มีระดับสูงกว่า เช่น ญี่ปุ่น หรือในยุโรป

ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทำความฝันให้เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี การทำหนึ่งในสองข้อข้างต้นให้เป็นจริงได้ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมไม่ใช่น้อย...

ธาม - พงษ์รวิช จันทวงษ์ คือ เด็กไทยที่ได้รับโอกาส ให้ไปหาประสบการณ์ การค้าเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร เซเรโซ โอซากา ที่ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วัยที่ยังไม่บรรลุ บรรลุนิติภาวะ ไม่ใช่แข้งชื่อดังของเมืองไทย และไม่เคยมีประสบการณ์ ลงเล่นในลีกสูงสุด อย่าง ไทยลีก 1 แม้แต่เกมเดียว

ไม่มีทางลัดใด บนเส้นทางลูกหนัง กว่าจะได้ไปโชว์ทักษะฟุตบอล ที่ญี่ปุ่น พงศ์รวิชต้องฝ่าคลื่นลมแรง ที่มาท้าทาย ความแข็งแกร่งของเขา จนต้นไม้นี้ เติบใหญ่และเบ่งบาน เป็นซากุระ สัญชาติไทย อยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น 

ขวากหนามบนเส้นทางลูกหนัง

“ผมเริ่มต้นเล่นฟุตบอล ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กเลย ตอนนั้นผมเป็นโรคภูมิแพ้ คุณพ่ออยากให้ผมหายดี จึงพาไปเตะบอล ผมจึงเริ่มต้นเล่นฟุตบอล มาตั้งแต่นั้น” พงศ์รวิช เล่าถึงจุดเริ่มต้น บนเส้นทางลูกหนัง ที่ไม่ได้เริ่ม ด้วยเรื่องราวด้านบวก


Photo : Pongrawit Jantawong 

ดังคำกล่าว กีฬาเป็นยาวิเศษ อาการของเด็กชายพงศ์รวิช ดีขึ้นเรื่อยๆ โรคร้ายได้หายไป มีแต่ความรักในลูกฟุตบอลใบกลม ที่เข้ามาแทนที่ หนุ่มน้อยจากจังหวัดอุทัยธานี ตั้งเป้าหมายว่า เขาต้องการเติบโต เป็นนักฟุตบอลอาชีพ ตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบเท่านั้น

แม้คุณแม่ไม่สนับสนุน ให้เป็นนักฟุตบอล เพราะกลัวลูกเจ็บตัว จากการเล่นกีฬา แต่ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากคุณพ่อ ทำให้พงศ์รวิช ได้โอกาสฝึกฝนฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง และมีเป้าหมาย คือ การเข้าโรงเรียน ที่ขึ้นชื่อด้านฟุตบอล เพื่อเป็นใบเบิกทาง 

“ตอนผมอายุ 8 ขวบครับ ผมไปคัดตัว กับโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี เข้าถึงรอบสุดท้ายครับ แต่ว่าไม่ติด ผมก็คิดว่าไม่เป็นไรครับ กลับฝึกซ้อมให้เก่ง ให้หนักยิ่งขึ้น เดี๋ยวปีหน้ามาใหม่”

ด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม ทุ่มเทกับการฝึกซ้อม พงศ์รวิช กลับไปคัดตัว ที่อัสสัมชัญธนบุรี ซึ่งทำผลงานได้น่าประทับใจ สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ได้อีกครั้ง ก่อนจะได้บทสรุปที่ เด็กชายพงศ์รวิช ตกรอบสุดท้ายเป็นปีที่สองติดต่อกัน

ความผิดหวังถาโถมใส่เขา เด็กหนุ่มถามตัวเอง อยู่บ่อยครั้ง ตัวเขาดีพอหรือเปล่า ที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ โชคดีที่เขามีครอบครัว คอยให้กำลังใจ ดึงมือของเขาให้ลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคำปลุกใจ..สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความของคุณพ่อ “ลูกต้องทำให้เขาเสียดาย ที่เขาไม่เลือกเรา”

พงศ์รวิช ก้มหน้าก้มตาซ้อมให้หนักขึ้น แม้จะต้องผิดหวัง กับการคัดตัวอีกหลายครั้ง เขาไม่เคยท้อ พร้อมที่จะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งเขาเห็นสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด (หรือชื่อบางกอกกล๊าสในอดีต) เปิดคลีนิคสอนฟุตบอล 

แม้จะต้องเดินทางไปกลับ อุทัยธานี ถึง ปทุมธานี ในวันเสาร์-อาทิตย์ ทุกสัปดาห์ เป็นระยะเวลาไปกลับ กว่า 400 กิโลเมตร แต่เขายอมเหนื่อย เพื่อการเดินทางตามฝัน ขณะที่ ครอบครัวของพงศ์รวิช ให้การสนับสนุน เป็นอย่างดีเสมอ

ระหว่างที่เขา เรียนรู้ศาสตร์ลูกหนัง ฝีเท้าของเขาได้ไปเข้าตา ทีมงานทัพกระต่ายแก้ว จนได้โอกาสมาทดสอบฝีเท้าเข้าอคาเดมีอย่างจริงจัง ลงเล่นแข่งขันทัวร์นาเมนต์ ในนามสโมสร ก่อนจะได้เซ็นสัญญา เป็นผู้เล่นเยาวชนของทีม เป็นเวลา 3 ปี


Photo : spoolzap@gmail.com

สำหรับเด็กอายุ 12 ปี ไม่ง่ายที่ต้องห่างพ่อแม่ มาใช้ชีวิตเพียงลำพัง แต่เพื่อความฝัน เขาพร้อมสู้กับอุปสรรค ที่เข้ามาท้าทาย

แม้จะได้ โอกาสพิสูจน์ตัวเอง กับการเป็นแข้งเยาวชน ของสโมสรฟุตบอลชั้นนำ แต่บททดสอบ ได้เข้ามาวัดความแกร่งของจิตใจ พงศ์รวิชอีกครั้ง เพราะตลอดสัญญา 3 ปี เขาไม่อาจช่วยทีมคว้าแชมป์ได้เลย

“ผมยอมรับว่าท้อนะครับ ผมคอยถามตัวเองว่า ทำไมเราไม่ชนะบ้าง ไม่ได้แชมป์แบบเขา ผมพยายาม คิดว่าไม่เป็นไร ตั้งใจ เอาใหม่ ซ้อมให้หนักขึ้น ตั้งใจทำให้เต็มที่ คิดถึงครอบครัว ผมจะหยุดตรงนี้ไม่ได้”

พงศ์รวิช ได้รับการต่อสัญญาแบบปีต่อปี ในฐานะเยาวชนของบีจี ยิ่งทำให้เขามุ่งมั่น ยิ่งกว่าเดิม ฝีเท้าของเขาค่อยๆพัฒนา โดยไม่รู้ตัว สามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง ทั้งกลางรุก กลางรับ ไปจนถึงปีกซ้าย 

เรื่องราวที่ยากลำบาก ถ้าเราผ่านไปได้ จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น... 

พงศ์รวิช เขาฟันฝ่าอุปสรรค และกลายเป็นนักฟุตบอล ที่ได้รับการจับตา ติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ตามด้วย 17 และ 18 ปี ขณะที่การเล่นในระดับสโมสร เขาสามารถพาบีจี คว้าแชมป์ ยูธลีก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีได้สำเร็จ

พิสูจน์คุณค่าตัวเอง

เมื่อผ่านทั้งช่วงเวลาที่มืดมัวและสดใส พงศรวิช มองถึงก้าวต่อไป ในฐานะนักฟุตบอล เขาหวังที่จะได้โอกาส ลงสัมผัสเกมอาชีพบ้าง และเขาได้โอกาสนั้น เมื่อถูกเรียกตัว ไปเล่นให้กับสโมสรบีจีซี เอฟซี ในช่วงเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2018 กับศึกไทยลีก 4 


Photo : BGC FC

ผลงานที่โดดเด่น แม้วัยเพียง 18 ปี ทำให้หลังจากจบฤดูกาล เขาได้รับการเซ็นสัญญา เป็นนักเตะอาชีพ กับบีจี ปทุมฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไกลเกินความคาดหวัง และเคยจินตนาการไว้

“ตอนแรกผมตั้งใจแค่ว่า อยากเล่นไทยลีก 4 ต่อไปอีกสักปี เพื่อหาประสบการณ์ พอได้ขึ้นชุดใหญ่ ตกใจมากครับ เลยตั้งใจว่าจะเก็บประสบการณ์ เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด ในสนามซ้อม ผมไม่ได้หวังว่า จะต้องลงสนามแข่งจริง”


Photo : BG Pathum United

แค่ได้ร่วมซ้อม กับนักเตะในดวงใจ ที่เคยทำได้แค่มอง อยู่ข้างสนาม มาตลอด ทำให้พงศ์รวิชรู้สึกตื่นเต้นมากอยู่แล้ว แต่ก่อนฤดูกาลจะเปิดได้ไม่นาน เขาได้รับข่าวดี ที่ทำให้ตัวเองตื่นเต้น มากยิ่งกว่าเดิม เมื่อบีจี มีแผนจะส่งเขา ไปเล่นกับสโมสร เซเรโซ โอซากา รุ่นยู-23 ในศึกเจลีก 3

พงศ์รวิช มีชื่อร่วมกับ ตะวัน โคตรสุโพธิ์ และ ธนินท์ เกียรติเลิศธรรม สองนักเตะเพื่อนร่วมรุ่น กับการไปเล่นฟุตบอล ที่ประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม หนังชีวิตของพงศ์รวิช ไม่เคยมีเรื่องง่าย 

“ตอนแรกสโมสรตั้งใจจะพาไป 3 คนครับ ไปๆมาๆเหลือแค่ 2 คน คือผมกับตะวัน สักพักทางญี่ปุ่นเขาบอก เอาแค่ตะวันคนเดียวพอ”

“ความรู้สึกตอนนั้น ผมรู้สึกเฟลครับ เพราะผมเตรียมตัวเตรียมใจ ไว้แล้วว่า เราคงได้ไปญี่ปุ่นแน่ เพราะความฝันของผมคือ การได้ไปเล่นฟุตบอล ที่ต่างประเทศ”


Photo : Pongrawit Jantawong 

เป็นอีกครั้ง ที่พงศ์รวิช ต้องเจอกับความผิดหวัง แต่ชีวิตยังคง มีพรุ่งนี้เสมอ หนุ่มน้อยรายนี้ได้รับโอกาสที่สอง จากทางเซเรโซ ที่มอบช่วงเวลา 2 สัปดาห์ ให้ไปทดสอบฝีเท้า หากดีพอ เขาจะได้ย้ายไป เล่นฟุตบอล บนแผ่นดินอาทิตย์อุทัย 

“ดีใจมากครับ ตอนรู้ว่าจะได้ไปเทสต์ ผมคิดแค่ว่า เราต้องทำให้เต็มที่ ทำให้เขาเห็นฝีเท้าของเรา” 

หนุ่มน้อยวัย 18 ปี เดินทาง ไปยังต่างแดน เพียงลำพัง เพื่อพิสูจน์ขีดความสามารถของตัวเอง 

เขาได้รับการฝึกซ้อม ร่วมกับทีมชุดยู-23 ของเซเรโซ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รับการฝึกสอนอะไรมากนัก ทีมดังจากเจลีก ปล่อยให้เขาเล่นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะต้องการเห็นความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้อย่างชัดเจนที่สุด 

2 สัปดาห์ผ่านไป พงศ์รวิชได้โอกาสโชว์ฝีเท้า และลงสนามแข่งจริง เขากลับมาเมืองไทย โดยไม่ได้คาดหวังว่า จะต้องได้กลับไป ที่โอซากาอีกครั้ง แต่คราวนี้โชคชะตา ไม่โหดร้ายกับเขา 


Photo : Pongrawit Jantawong 

“สุดท้ายทางสโมสรบอกกับผมว่า ผมจะได้ไปเซเรโซด้วย ตอนนั้นผมพูดไม่ออกเลยครับ ตัวสั่น คือมันดีใจมากครับ ดีใจมากที่สุดในชีวิตแล้วครับ เพราะอย่างที่ผมบอก การไปเล่นบอลต่างประเทศ คือความฝันของผม”

4 มีนาคม พ.ศ. 2562 คือวันที่พงศ์รวิช และ ตะวัน โคตรสุโพธิ์ สองหนุ่มน้อยชาวไทย ต้องออกเดินทาง ไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อเล่นให้กับสโมสร เซเรโซ โอซากา รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี

เส้นทางลูกหนังบทใหม่ ของพงศ์รวิช ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 ต่อสู้ที่โอซาก้า

ถึงจะเคยไปอยู่ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ครั้งก่อนเป็นช่วงเวลา แค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น คราวนี้พงศ์รวิช จะต้องอยู่ที่แดนอาทิตย์อุทัย ยาวจนถึงเดือนธันวาคม การปรับตัวเข้ากับ วัฒนธรรมชีวิต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ประสบการณ์ ที่ต้องห่างไกลจากครอบครัว ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้พงศ์รวิช ไม่ได้รู้สึกเหงามากนัก กับการมาใช้ชีวิตที่ต่างแดน เขายังคงมี ตะวัน เป็นเพื่อนคู่ใจ ไปไหนไปกันในประเทศญี่ปุ่น 

โลกโซเชียล มีส่วนช่วยให้เขา สามารถสื่อสาร กับคนที่คิดถึงที่บ้านเกิดได้

ความเป็นคนรุ่นใหม่ ทำให้เขาปรับตัวได้ไม่ยาก ที่ญี่ปุ่น มีอาหารท้องถิ่น หลายเมนูที่เขาชื่นชอบ ไปเที่ยวช็อปปิ้ง ที่ย่านนัมบะ หรือเรื่องการสื่อสาร เขาสามารถใช้ภาษาอังกฤษ พูดคุยกับชาวญี่ปุ่นได้

ถึงเรื่องนอกสนาม จะไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นอีกเรื่อง กับในสนามหญ้าสีเหลี่ยมผืนผ้า เมื่อพงศ์รวิช เข้ามาเป็นสมาชิก ของสโมสรฟุตบอลที่ญี่ปุ่น อย่างเต็มตัว บทเรียนลูกหนังที่เขาได้รับ บนสนามซ้อม แตกต่างกับตอนที่เขา มาทดสอบฝีเท้าอย่างมาก


Photo : Pongrawit Jantawong 

“ตอนแรกผมกลัวมากครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่า ฟุตบอลที่ไทยกับญี่ปุ่น ต่างกันมาก ที่นี่เขาเป๊ะมากครับ ดูทุกรายละเอียดจริงๆ”

“เวลาจับบอล คือต้องจับให้อยู่เท้าเลยครับ ต้องนิ่งสนิท เมื่อก่อนผมอยู่ไทย ก็จับบอลนิ่งบ้าง ไม่นิ่งบ้าง ที่นี่ไม่ได้เลยครับ ถ้าจับบอลไม่อยู่ เขาตะคอกด่าเลย”

“อีกเรื่องคือผมเป็นกองกลาง เขาจะสอนผมเรื่องเพรสซิ่ง มากเป็นพิเศษ ผมต้องวิ่งกดดันคู่แข่งตลอดเวลา ไม่วิ่งไล่ไม่ได้ ถ้าตอนไหน ผมเผลอไม่ยอมวิ่งเพรสซิ่ง ก็โดนด่าครับ”


Photo : Pongrawit Jantawong 

ไม่แปลก ที่จะมีคำร่ำลือ ถึงการซ้อมโหด ซ้อมหนัก ของฟุตบอลญี่ปุ่น พงศ์รวิชได้พบเจอเรื่องราวนี้ กับตัวเอง และกลายเป็นเรื่องยากที่สุด ในการปรับตัวของเขา กับชีวิตที่โอซากา

ความเป็นจริง ช่วงเวลาการซ้อม ที่ญี่ปุ่น ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่ต่างกับที่เมืองไทย ทว่าข้อแตกต่าง คือความจริงจังในการซ้อม ที่ใส่เต็มร้อย ไม่มีพัก ระเบียบวินัย ความตรงต่อเวลา คือเรื่องที่ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญ

“การปรับตัวในสนามช่วงแรก ก็ไม่ง่าย หลายวันที่ผมรู้สึกเหนื่อย เราทำได้ไม่ดีตอนซ้อม ทำแบบที่โค้ชสั่งไม่ได้ หลายครั้งก็กดดันตัวเองมากเกินไป” 

“แต่ผมพยายามทำให้ดีที่สุด เราได้โอกาสตรงนี้มาแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ มีนักฟุตบอลอีกมาก ที่อยากได้โอกาสนี้ แต่พวกเขาไม่เคยมี”

“มองจากวันแรก จนถึงวันนี้ ผมคิดว่าตัวเอง พัฒนาขึ้นเยอะนะครับ โดยเฉพาะเรื่องการจับบอล กับการเพรซซิ่ง ที่เขาพร่ำสอนผมเป็นพิเศษ เห็นผลชัดเจนมากครับ”


Photo : Pongrawit Jantawong 

ผลงานในสนามซ้อม ที่ดีขึ้น ทำให้ประตูการลงสนามจริง เปิดกว้างขึ้นสำหรับพงศ์รวิช เขาได้โอกาสลงสนาม 4 นัด ในศึกเจลีก 3 ในขณะที่ทุกอย่าง กำลังไปได้สวย บททดสอบชีวิต แวะเวียนมาหาเพื่อนเก่าอีกครั้ง คราวนี้เป็นในรูปแบบของ “อาการบาดเจ็บ” 

“ผมบาดเจ็บ ระหว่างเกมการแข่งขัน พอผลตรวจออกมา กล้ามเนื้อฉีกครับ ต้องพักอย่างน้อย 1 เดือน ผมเซ็งมาก ผมกำลังได้รับความไว้ใจ จากโค้ช ผมคิดกับตัวเองตลอด ทำไมเรื่องแบบนี้ มันต้องเกิดกับเราด้วย”

ขอบคุณทุกอุปสรรค

กำลังใจ คือ สิ่งสำคัญ สำหรับคนที่กำลังพบกับ ความเจ็บปวด ครอบครัวของพงศ์รวิช คือกลุ่มคนที่ช่วยให้เขากลับมา ลุกยืนอีกครั้ง โดยเฉพาะคุณพ่อ ที่คอยสื่อสารทางไกล ช่วยเหลือลูกชายอยู่เสมอ


Photo : Pongrawit Jantawong 

ในปัจจุบัน พงศ์รวิช กลับคืนสู่สนามซ้อมอีกครั้ง และเขามุ่งมั่นทำให้เต็มที่ เพื่อทวงคืนโอกาส ในการลงสนามคืนมา

แม้จะได้โอกาส มาเล่นที่ญี่ปุ่น ในระดับเจลีก 3 แต่ด้วยชื่อเสียง ของพงศ์รวิช รวมถึงตะวัน ซึ่งไม่มีประสบการณ์ บนลีกสูงสุด ต่างจากรุ่นพี่หลายคน ที่มาค้าแข้ง ในญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ ทำให้ข่าวคราว ของนักเตะทั้งสอง จึงไม่เป็นรับรู้ ของแฟนบอลชาวไทยมากนัก

“ผมว่าดีนะครับ ที่ไม่มีสื่อมาคอยเขียนข่าวเราตลอด มันช่วยให้เรา โฟกัสกับผลงานในสนาม ของเราได้มากขึ้น ส่วนที่ญี่ปุ่น เขาก็มีสนใจบ้างครับ แต่โดยภาพรวม คือเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรา”  

“การไม่คาดหวังของเขา เปลี่ยนให้เป็นแรงผลักดัน พยายามทำให้เขาเห็นคุณค่า หาทางพิสูจน์ตัวเอง ให้เขาหันมา ไว้ใจเราให้ได้”

อาจจะเป็นผู้เล่นโนเนม ที่ประเทศไทย แต่ที่ญี่ปุ่น พงศ์รวิชมองว่า ชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งที่จะมาตัดสินว่า ใครจะได้ลงสนาม เพราะผลงานในสนามซ้อม คือตัวตัดสินทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนักเตะตัวเก่งชาวญี่ปุ่น หรือเด็กหนุ่มวัย 18 ไร้ชื่อเสียง อย่างเขา

เมื่อมีโอกาสเข้ามา ถ้าไม่อยากเสียใจ ต้องทำให้เต็มที่ที่สุด พงศ์รวิช เผยเป้าหมายของเขาในปีนี้ว่า ต้องการลงสนามให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในฐานะตัวจริง หรืออย่างน้อยเขาขอเก็บประสบการณ์ ให้ได้มากที่สุด ตลอดช่วงเวลา บนแผ่นดินอาทิตย์อุทัย

“ผมไม่รู้ว่าจะได้อยู่ที่นี่ต่อไหม ถ้าเลือกได้ผมอยากอยู่ต่ออีกสักปี แต่ถ้าไม่ ผมหวังจะเอาประสบการณ์ ทั้งหมด ที่ผมได้รับ ไปพัฒนาตัวเอง ที่ประเทศไทย”

“สำหรับที่ผมการมาที่นี่ มันเหลือเชื่อครับ ผมไม่เคยจินตนาการมาก่อน ว่าอายุแค่นี้ ผมจะได้มาเล่นบอล ที่ต่างประเทศ ต่อให้ผมมา แล้วไม่ได้ลงเล่นสักนัด ผมก็จะเลือกมาที่นี่ครับ เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ บางอย่างที่ผมเรียนรู้ที่นี่ ผมไม่สามารถเรียนรู้ได้ที่เมืองไทย”


Photo : Pongrawit Jantawong 

เรื่องราวของหนุ่มน้อย วัย 18 ย่าง 19 กับโอกาสค้าแข้งต่างแดน ในแง่หนึ่ง คือ เรื่องที่น่าดีใจ ของวงการฟุตบอลไทย เรามีอนาคตของชาติ ที่สามารถไปสู้ ไปหาโอกาส พัฒนาตัวเอง ในประเทศลูกหนังชั้นนำ เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ของการยกระดับฟุตบอลไทย

แต่ในอีกด้าน กว่าพงศ์รวิช จะมีวันนี้ เขาต้องพบเจออุปสรรค ที่เข้ามาท้าทายเขา นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่พรสวรรค์ ระเบียบวินัย ความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม ที่ทำให้เขามาถึงตรงนี้ แต่รวมถึง หัวใจที่แข็งกล้า ไม่ยอมแพ้ต่อขวากหนามใดๆ

“ผมต้องขอบคุณ เรื่องราวความผิดหวังในอดีต อุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น มีแรงผลักดัน ในการเล่นฟุตบอล ให้ผมต้องสู้ต่อไป บนเส้นทางนี้”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook