เหตุผลที่คนรัก "นิ้วกลาง" ของ "สโตน โคลด์" สตีฟ ออสติน
"มันถือเป็นหนึ่งในท่าทางแห่งการดูหมิ่นที่เก่าแก่ที่สุด... นิ้วกลางคือองคชาติ และนิ้วที่งอทั้งสองด้านคือลูกอัณฑะ การที่คุณทำแบบนี้เป็นการแสดงสัญลักษณ์ขององคชาติต่อผู้อื่น เพื่อสื่อว่านี่คือองคชาติที่คุณมอบให้กับพวกเขาซึ่งเป็นการแสดงออกที่มีความเก่าแก่มากๆ"
นี่คือวาทะจาก เดสมอนด์ มอร์ริส นักมานุษยวิทยา ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของการใช้ 'นิ้วกลาง' เพื่อแสดงความดูหมิ่นเหยียดหยาม ซึ่งหากจะสืบสาวราวเรื่องก็จะพบว่า มีการใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวเพื่อสื่อความหมายทำนองนี้ตั้งแต่สมัยโรมัน กับการมีชื่อเรียกนิ้วกลางเฉพาะว่า 'digitus impudicus' หรือ 'นิ้วแห่งความหยาบคาย ไร้ยางอาย' เลยทีเดียว
แม้นิ้วกลางจะเป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนเข้าใจถึงความหมาย แต่กลับมีอยู่หนึ่งคน ที่เมื่อเขาชูนิ้วกลางคราใด สิ่งที่ผู้คนโดยรอบตอบรับกลับไม่ใช่การโห่ แต่เป็นเสียงเฮกระหึ่ม แถมบางคนยังชูนิ้วกลางกลับคืนให้ด้วยความยินดี...
'สโตน โคลด์' สตีฟ ออสติน นั่นเอง
Austin 3:16
แม้ สตีฟ ออสติน จะเคยผ่านประสบการณ์มวยปล้ำอาชีพในเวที WCW และ ECW แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า เวทีที่สร้างชื่อให้เขากลายเป็นตำนานอย่างแท้จริง คือ WWF หรือ WWE ในปัจจุบัน
ออสตินเข้าสู่เวที WWF เมื่อปี 1995 ในฐานะลูกน้องของ เท็ด ดิบีอาซี่ ซีเนียร์ ในกลุ่ม The Million Dollar Corporation แต่เรื่องราวการสร้างชื่อของเขา เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาสามารถคว้าแชมป์ในทัวร์นาเมนต์ King of the Ring ในปี 1996
ในรอบชิงชนะเลิศ ออสตินสามารถเอาชนะ เจค 'เดอะ สเนค' โรเบิร์ตส์ ที่ในขณะนั้นกำลังใช้กิมมิคผู้ศรัทธาที่ได้กำเนิดใหม่อีกครั้งด้วยศาสนาคริสต์ และหลังจบแมตช์ เจ้าตัวก็ได้เอ่ยวาทะหยามคู่ต่อสู้ ซึ่งกลายเป็นประโยคตำนานในเวลาต่อมาว่า
"มึงนั่นอยู่ตรงนั้นและเปิดคัมภีร์ไบเบิล เริ่มสวดอธิษฐาน แต่มันก็ไม่ทำให้มึงได้ไปไหน พูดถึงบทสวด พูดถึง ยอห์น 3:16... ออสติน 3:16 บอกว่า กูเพิ่งฟาดก้นมึงเต็มๆ เลยว่ะ"
โดย 'ยอห์น 3:16' ที่ออสตินอ้างถึงในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น อ้างอิงมาจากบทหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล ความว่า
"พระเจ้าทรงรักโลก ดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"
ซึ่งเจ้าตัวได้เปิดใจถึงที่มาของ 'ออสติน 3:16' กับสื่อในภายหลังว่า
"ตอนนั้นเหมือนผมจะได้ยิน เจค โรเบิร์ตส์ ให้สัมภาษณ์พาดพิงผมแล้วเอา ยอห์น 3:16 มาอ้างอิง พอหลังจากที่ผมชนะมัน ไอ้คำนั้นก็วาบขึ้นมาในหัว แล้วผมก็จัดไปเลย ขอชี้แจงนะว่าผมไม่ได้ดูหมิ่นศาสนา แต่ก็ยอมรับว่ามันก็เป็นโชคนิดๆ ที่ ออสติน 3:16 ดังขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าใครไม่ชอบ... ก็ช่างหัวแม่งสิวะ!"
เมื่อลูกน้องไม่กลัวเจ้านาย
หลังจากนั้น ออสติน 3:16 ก็ได้มาเป็นหนึ่งในกิมมิคของ สตีฟ ออสติน ซึ่งนอกจากจะได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ อย่างล้นหลามแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ คนจริงไม่สนอะไร อยากทำอะไรก็ทำ ของเจ้าตัวเริ่มขับให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน สงครามคืนวันจันทร์ หรือ 'Monday Night Wars' ในการแย่งชิงเรตติ้งผู้ชมมวยปล้ำระหว่าง WWF กับ WCW ก็กำลังทวีความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ WCW ที่มี เท็ด เทอร์เนอร์ เจ้าพ่อวงการสื่อเป็นหัวเรือใหญ่ ใช้พลังเงินดูดสตาร์จาก WWF มาสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับค่ายของตัว
วินซ์ แม็คมาน ผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งค่าย WWF จึงต้องคิดหาวิธีในการทำให้ค่ายของตนกลับมากุมความได้เปรียบอีกครั้ง ซึ่งเขาตัดสินใจไม่ง้อสตาร์ค่าเหนื่อยแพง ให้ความสำคัญกับการปั้นนักมวยปล้ำที่เคยเป็นตัวรอง (มิดการ์ด) สู่ตัวหลัก (เมนอีเวนท์) มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น แม็คมานเองยังได้นำตัวเขาเข้าไปร่วมสงครามบนเวทีมวยปล้ำ กับกิมมิค 'มิสเตอร์ แม็คมาน' บอสใหญ่บ้าอำนาจของค่ายผู้เลือกที่รัก มักที่ชัง ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สูงสุดของตน
เมื่อเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ก็ต้องมีนักมวยปล้ำสักคนที่จะลุกขึ้นมาเป็นหัวหอกในการต่อสู้เพื่อคนที่ถูกกดขี่ ตามสูตรความบาดหมางระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง และผู้ที่ต้องมารับบทนี้ก็คือ สตีฟ ออสติน ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็น ทวีนเนอร์ หรือ แอนตี้ฮีโร่ ผู้ยืนอยู่คาบเส้นระหว่างนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะ (เฟซ) กับอธรรม (ฮีล) และพร้อมทำทุกอย่างตามที่ตัวเองเห็นสมควร
นั่นเองทำให้ออสตินตัดสินใจทำบางสิ่ง เพื่อขับภาพลักษณ์ใหม่นี้ให้สมบูรณ์มากขึ้น...
'นิ้วกลาง' ที่แฟนๆ รัก
ด้วยการที่กิมมิคของ สตีฟ ออสติน คือคนจริงผู้ไม่สนอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมก็มีเพียงแค่เล็กน้อยเพื่อขับภาพลักษณ์ให้กลายเป็น 'คนหัวขบถ' อย่างสมบูรณ์แบบ และวิธีการที่เขาเลือกใช้ก็คือ การซดเบียร์โฮกๆ บนเวที และแจกนิ้วกลางให้กับทุกคนแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
ถึงกระนั้น ในหลังฉากก็ใช่ว่าจะมีทุกคนที่ชอบใจไอเดียนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วินซ์ แม็คมาน บอสใหญ่ WWF ผู้ที่ต้องเป็นศัตรูกับเขาหน้าฉากนั่นเอง
"จริงๆ วินซ์เขาโอเคกับเรื่องซดเบียร์นะ เขาไม่สนอะไรเลยด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตอนนั้นผมก็อายุ 30 กว่าแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปก็ไม่ใช่วัยที่มีปัญหาเรื่องการดื่มเท่าไร อีกอย่าง การกระดกเบียร์ซักหน่อยหลังเลิกงานก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป" ออสตินเปิดใจกับ Sports Illustrated ถึงเรื่องราวในตอนนั้น
"แต่ไอ้เรื่องแจกนิ้วกลางเนี่ย ยังไงมันก็คือแจกนิ้วกลาง ไม่ว่าคนนั้นจะอายุเท่าไหร่มันก็มีความหมายเหมือนกัน วินซ์เลยคุยกับผมหลังฉากว่า 'สตีฟ เวลานายแจกนิ้วกลางใส่ใครๆ เนี่ย คนทั้งสหรัฐอเมริกามันก็ด่าพวกเรานะ'"
ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การชูนิ้วกลางใส่หน้าทุกคนของ สตีฟ ออสติน คือสิ่งซึ่งแฟนๆ รักที่จะเห็น เพราะสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหน้าฉากระหว่างความบาดหมางระหว่างเขากับ วินซ์ แม็คมาน คือฝ่ายหลังพร้อมจะกระทำสารพัดเพื่อตัดอนาคตของอีกฝ่าย
การได้เห็นออสตินตอบโต้ ไม่ว่าจะเป็นชูนิ้วกลาง, ซดเบียร์ หรือแม้แต่ใส่ สตันเนอร์ ท่าไม้ตายใส่แม็คมาน ถือเป็นการตอบสนองความต้องการลึกๆ ของคนดูที่ต้องอดทนกับการโดนเจ้านายหรือคนที่ไม่ชอบหน้าทำเรื่องแย่ๆ มากมายใส่พวกเขา โดยที่ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ และมันก็ทำให้แฟนๆ รักเขามากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ว่าอะไร การชูนิ้วกลางคือหนึ่งในสาระสำคัญที่จะขาดไม่ได้...
"วินซ์เองเขาก็ถามนะว่า 'มันมีสัญลักษณ์อื่นมั้ยที่ทุกคนจะใช้ได้ หากไม่ใช่นิ้วกลาง?' ผมก็บอก 'ไม่มี ผมจะไม่เปลี่ยนห่าอะไรทั้งนั้น' ซึ่งวินซ์ก็แบบ 'อ่อ โอเค' คือคุณต้องเข้าใจด้วยว่า กว่าที่ผมจะได้แจ้งเกิดก็ต้องใช้เวลานาน แล้วพอมีโอกาสฉายแสง ก็โดนเจ้านายบ้าอำนาจเลื่อยขาอีก แน่นอน เป็นใครก็ไม่พอใจ ทุกคนย่อมไม่พอใจอยู่แล้วเวลาโดนพรากอะไรไปแบบไม่สมควร ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องทำในบทบาทคือ ถ้ามึงเล่นงานกู กูก็ต้องเล่นคืน เพื่อให้กูได้ในสิ่งที่ควรได้"
การยืนยันถึงสิ่งที่มันควรจะต้องเป็นเพื่อความสมจริงและเพื่อกระแสตอบรับจากแฟนๆ ทำให้เรตติ้งของ WWF ค่อยๆ ดีขึ้น กระทั่งสามารถเอาชนะ WCW ในสงครามคืนวันจันทร์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นิ้วกลางของ สตีฟ ออสติน คืออีกหนึ่งสิ่งเล็กๆ ที่มีบทบาทสำคัญ และนั่นทำให้การชูนิ้วกลางของเขากลายเป็นที่รักของแฟนๆ มาจนถึงทุกวันนี้
"มันก็นะ... พอผมชูนิ้วกลาง เงินทองมันก็ไหลเข้าไม่หยุด เราก็เลยชูนิ้วกลางกันมาเรื่อยๆ นี่แหละครับ" บุรุษผู้สามารถเรียกเสียงเฮได้ทุกครั้งยามชูนิ้วกลางทิ้งท้าย
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ