"อเวนเจอร์ส" สายวิ่ง : "ดีน คาร์นาเซส" เศรษฐีนักธุรกิจที่ลาออกมาไล่ตามนรก

"อเวนเจอร์ส" สายวิ่ง : "ดีน คาร์นาเซส" เศรษฐีนักธุรกิจที่ลาออกมาไล่ตามนรก

"อเวนเจอร์ส" สายวิ่ง : "ดีน คาร์นาเซส" เศรษฐีนักธุรกิจที่ลาออกมาไล่ตามนรก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลองนึกภาพพนักงานออฟฟิศใส่สูทราคาแพงจากอาร์มานี มีรถประจำตำแหน่งดูโก้หรู เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วเวลาในเวลาพบปะลูกค้าที่เป็นเหล่าเศรษฐีระดับต้นๆของเมือง....

ทุกคำพูดที่ออกจากปากล้วนเป็นคำพูดที่โชว์ถึงทัศนคติและการบริหารจัดการสินทรัพย์ ทุกคนชื่นชอบ ดีน คาร์นาเซส ในฐานะพนักงานเกรดเอของบริษัท ยกเว้นคนเดียวที่เกลียดตัวตนของเขา...ซึ่งนั่นก็คือตัวของเขาเอง

 

นี่คือเรื่องราวของ ดีน คาร์นาเซส นักธุรกิจผู้เพียบพร้อมทุกอย่างที่ค้นพบว่าตัวเองมีพลังวิเศษซ่อนอยู่ และพลังเหนือมนุษย์ที่สามารถทำให้เขาวิ่งระยะ 500 กิโลเมตร แบบรวดเดียวโดยไม่ต้องพักนอนหลับแม้สักงีบ สิ่งนี้เปลี่ยนเขาอย่างไรบ้าง ติดตามได้ที่นี่

คืนนั้นฉลองวันเกิด

ณ บาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องบาร์เครื่องดื่มที่มีบาร์เทนเดอร์ปรุงรสชาติออกมาให้จัดจ้านโดนใจ เครื่องดื่มหนึ่งแก้วของบาร์แห่งนี้อาจจะมากเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำของผู้คนในรัฐ แคลิฟอเนียร์เลยก็ว่าได้ ชายคนหนึ่งเดินมาสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอร์และยกแก้วกลับไปร่วมก๊วนกับเพื่อนๆของเขา ทุกคนดูเฮฮา หัวเราะสนุกสนานและโยกย้ายร่างกายไปกับดนตรีแนวละติน... 

 1

นี่คือวันเกิดฉลองอายุครบ 30 ปีของชายคนนั้น และในวัยขนาดนี้เขากำลังมีชีวิตที่ใครก็ต้องอิจฉา เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มมีการศึกษามีรายได้ดี มาดของเขาเนี้ยบยิ่งกว่าใคร และเมื่ออกสเต็ปแดนซ์ได้ไม่นานก็มีสาวๆเริ่มเข้ามาพัวพัน เขาทำท่าจะเร่งเครื่องเดินเกม แต่สุดท้ายเขาก็หยุดสักครู่เพื่อไปห้องน้ำเพื่อไปคิดว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันสมควรหรือไม่... เธออาจจะเป็นสาวฮ็อต แต่ตัวของเขานั้นแม้จะเมาแค่ไหนก็ยังพอระลึกได้ว่านิ้วนางข้างซ้ายนั้นสวมแหวนอยู่... เขามีลูกและภรรยาแล้ว 

การหยุดคิดครั้งนั้นส่งผลกับชีวิตของเขามากมายเหลือเกิน มันมากพอที่จะทำให้เขาเดินออกมาจากบาร์ และเดินมาบนถนนกลางดึกที่เงียบสงัด เขาสับสนกับกับสิ่งที่กำลังดำเนินไปในแต่ละวัน และหลังจากนั้นเขาก็ถอดชุดสูทและปลดเน็คไทออกเพื่อที่จะวิ่งกลับบ้าน...  

ดีน คาร์นาเซส เริ่มเพิ่มความเร็วทีละนิด ทีละนิด จุดมุ่งหมายของเขาคือการวิ่งไปข้างหน้า ทว่าเมื่อยิ่งวิ่งเขากลับพบว่าภาพของเขาในอดีตกลับเป็นสิ่งที่ดักรอทักทายอยู่ตลอดสองข้างทาง... รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีแสงไฟจากถนนแล้ว เขาพ้นจากโซนเมืองและวิ่งบนถนนอยู่เงียบๆคนเดียว 

นี่คือครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกเมื่อเหงื่อแทรกออกมาจากรูขุมขน จิตใจของพุ่งทะยานไปเร็วกว่าฝีเท้า การวิ่งอาจจะทำให้ร่างกายของใครบางคนเจ็บปวด แต่ไม่ใช่สำหรับเขา...รู้ตัวอีกทีเขาก็วิ่งมาเป็นระยะทางกว่า 45 กิโลเมตรและพระอาทิตย์ก็ขึ้นจากท้องฟ้าบอกเวลาว่าเช้าแล้ว นั่นหมายถึงเขาจะต้องเริ่มทำงานที่ทำให้เขาได้เงินมาใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยในแต่ละวัน 

เมื่อสติกลับคืนมาเขาพบว่าเท้าของเขามีแผลพุพองจากการสวมรองเท้าคัทชูวิ่ง ที่ง่ามขาเกิดแผลจากการเสียดสีของกางเกงสแล็กที่ใส่ทำงาน แต่น่าแปลกคือสภาพจิตใจของเขากลับปลอดโปร่งแบบที่ไม่เคยเป็น เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากชีวิต ก่อนจะเริ่มหยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรบอกให้ภรรยาของเขามารับที่หน้าร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น แห่งหนึ่งใน อ่าวฮาล์ฟมูนที่ซานฟรานซิสโก 

 2

ทันทีที่เจอหน้าภรรยาเขาบอกกับเธอว่า "ที่รัก...ผมรักคุณนะ" ตลอดระยะการวิ่ง 45 กิโลเมตร เขาบอกว่าเขาเห็นภาพสมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นคู่รักวัยเรียน เธอคือรักแรกของเขา....

"คุณจะกลับบ้านเลยไหมหรืออยากจะแวะกินอะไรหน่อย?" ภรรยาถามเขา 

และเขาตอบว่า "คุณขับไปส่งผมที่ออฟฟิศเลย" ... คำตอบนี้ไม่ได้ทำให้ภรรยาของเขาแปลกใจมากนัก ดีน เป็นคนบ้างานมากนับตั้งแต่เรียนจบ เขาชอบพูดเรื่องเงินๆทองๆอยู่เป็นประจำ และเขาก็หามันมาให้ครอบครัวได้จริง แม้เธอจะคิดว่านี่มันมากเกินไปจนลืมคำว่าครอบครัวหรือเปล่า?

"จะไปทำงานต่อเลยเหรอ?" เธอถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่ดีน คาร์นาเซส จะตอบสั้นๆว่า "ไม่ล่ะ ผมจะไปเขียนใบลาออก" 

และหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็ได้เริ่มแบบจริงๆจังๆหลังจากวันเกิดครอบรอบ 30 ปี

ทิ้งเงินล้านวิ่งกลับสู่จุดเริ่มต้น 

ดีน คาร์นาเซส เป็นพนักงานชั้นหัวกะทิของบริษัท เดินเข้าไปพบเจ้านายที่ให้โอกาสดีๆมากมายในชีวิตพนักงานเงินเดือนของเขา เขาเริ่มขอโทษที่ไม่อาจจะทำงานนี้ต่อไปได้แล้ว เพราะเขาค้นพบว่าสิ่งที่หัวใจเรียกร้องที่สุดคือการออกวิ่ง และไม่อาจจะรอได้อีกต่อไป

 3

ตั้งแต่จำความได้การวิ่งคือสิ่งเดียวที่เขาภาคภูมิใจ ดีน เรียนโรงเรียนอนุบาลที่คิงส์การ์เด้น แคลิฟอร์เนีย แม้จะอายุแค่ 5 ขวบ แต่ ดีน คือเด็กที่แปลกประหลาดกว่าใครในโรงเรียนเพราะเขานั้นไม่ยอมขึ้นรถรับส่งในช่วงหลังเลิกเรียน เขาเลือกที่จะวิ่งกลับบ้านด้วยเหตุผลแค่ว่า "มันสนุกดี" เท่านั้นเอง 

มันเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยจนถึงระดับประถมและมัธยม จนกระทั่งเขาเข้าไฮสคูลเขาจึงได้เป็นสมาชิกของทีมวิ่งครอสคันทรี่ของโรงเรียนภายใต้การนำทีมของโค้ชที่ชื่อ แจ็ค แม็คทราวิส โดยโค้ชแจ็คได้เห็นศักยภาพของดีนแล้วเขาก็มั่นใจว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นยอดนักวิ่งระยะไกลระดับโลกได้แน่นอน เขาจึงยัดทัศนคตินักวิ่งใส่ให้ดีนอย่างเต็มที่ 

"ออกไปท้าทายกับเรื่องยากๆ ถ้าทำได้แล้วจงหาอะไรที่มันยากยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา" นี่คือคติที่ติดตัวของ ดีน คาร์นาเซส มาโดยตลอด ไม่นานนักเขาก็ชนะการแข่งครอสคันทรีระดับรัฐแคลิฟอร์เนีย ทันทีที่เขาชนะโค้ชแจ็คเข้ามาถามเขาว่า "ดีน แกรู้สึกยังไงบ้างหลังเป็นแชมป์?" ดีนก็ตอบกลับว่า "การพยายามอย่างหนักและท้าทายกับความยากลำบากของโค้ชมันทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ ผมเชื่อคุณแล้ว" เขายิ้มอย่างภูมิใจ

น่าเสียดายนั่นไม่ใช่คำตอบที่โค้ชแจ็คชอบใจ เขาสอนมวย ดีน และบอกว่าถ้าการวิ่งแล้วชนะทำให้เขารู้สึกดีนั่นแสดงว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ยังไม่ยากพอ ความท้าทายที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขารู้สึกว่ายิ่งวิ่งออกไปก็ยิ่งเจ็บเหมือกันลงนรก ซึ่งแน่นอนว่า ดีน ไม่ค่อยเข้าใจมากนักเพราะสำหรับเขาแล้วการเป็นแชมป์ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แล้วสำหรับเด็กอายุ 15 ปี ทว่ามันไม่มีเวลาให้เขาได้หาคำตอบของโค้ชแจ็คมากนักเพราะหลังจากนั้นไม่นาน ดีน ก็ต้องย้ายตามพ่อไปยัง ซาน เคลเมนเต้ แต่นั่นก็เป็นคำพูดที่ตัวของดีนยังจดไว้ในใจเสมอมา 

 4

หลังจากย้ายโรงเรียนและย้ายที่อยู่แล้ว ดีน ได้เข้าทีมวิ่งระยะไกลของโรงเรียน ซาน เคลเมนเต้ ภายใต้การนำของโค้ช เบนเนอร์ คัมมิ่งส์ ซึ่งทฤษฎีของที่นี่แตกต่างออกไป คติของทีมวิ่งทีมนี้คือการวิ่งคือการค้นหาความสงบภายในจิตใจ เขาเริ่มวิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ และทำเวลาดีมากขึ้นตามลำดับ ทว่าเส้นทางก็ต้องหยุดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อพ่อของเขาเห็นว่าลูกชายเสพติดการวิ่งเกินไปจนไม่สนใจการเรียน และตัวของเขาเองในเวลานั้นก็มีความสับสนเกิดขึ้น เมื่อได้รับการแนะนำจากพ่อมันทำให้เขาเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ณ เวลานั้นเขาคิดว่าวิ่งไปแล้วได้อะไร? และยังคิดว่าการเอาเวลาไปวิ่งวันละ 6-7 ชั่วโมงมันทำให้เขาเสียเวลาอ่านหนังสืออีกด้วย ซึ่งหลังจากนั้น ดีน คาร์นาเซส ก็ไม่เคยกลับมาวิ่งระยะไกลอีกเลยตลอด 15 ปีต่อมา และจุดเปลี่ยนมันเริ่มขึ้นในวันฉลองอายุครบ 30 ปี ของเขาดังที่ได้กล่าวไปนั่นเอง

แม้ว่าชีวิตจะเจอกับความสำเร็จตลอดในช่วงเวลาหลังจากนั้น แต่การออกวิ่งกลางดึกขณะเมาเหล้า มันกลับทำให้ภาพความสนุกในการวิ่งเมื่อครั้งยังเด็กกลับคืนมา เขาพบว่าตัวเองเป็นคนที่ทำงานหนักมากวันละหลายชั่วโมง บางครั้งวันๆหนึ่งก็แทบไม่ได้คุยกับครอบครัวเลยแม้แต่คำเดียว เขารู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการ เขาอยากจะกลับมามีชีวิตที่มีความสุขอีกครั้ง เขาจึงเลือกที่จะเป็นนักวิ่งทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเส้นทางข้างหน้ามีอะไรรออยู่

เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นยอดมนุษย์

คุณจำคำที่โค้ชแจ็คเคยบอกกับเขาเมื่อตอนอายุ 15 ได้ไหม "ถ้ายังรู้สึกสบายดี นั่นแสดงว่าแกยังไม่สามารถผลักดันตัวเองได้มากพอ มันต้องรู้สึกทรมานและเหนื่อยเหมือนกับตกนรก" 

 5

ดีน นึกถึงประโยคนี้และพยายามค้นหาสิ่งที่เจ็บปวดเหมือนตกนรกให้เจอได้ด้วยตนเอง เขาเริ่มกลับมาวิ่งแบบจริงจังแม้ไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุน และเมื่อยิ่งทำไปกลับยิ่งพบว่าตัวเองทำได้ดีไม่ต่างจากตอนอายุ 15 ปีเลย ทั้งๆที่นี่ก็ผ่านเวลามานมนาน และเขาก็ใช้ร่างกายกับการปาร์ตี้แทบจะตลอดในช่วงเวลาที่ห่างจากการวิ่งไป

เขาเริ่มเดินตามหาความพยายามทีละอย่าง โดยแต่ละรายการนั้นโหดจนคนธรรมดาหมดสิทธิ์แข่ง อาทิ รายการ แบดวอเตอร์ อัลตรามาราธอน (217 กิโลเมตร) เป็นการวิ่งข้าม "เดธ วัลเล่ย์" ภายใต้อากาศที่ร้อนถึง 49 องศาเซลเซียส

"ทุกครั้งที่เอาเท้าเหยียบลงถนนมันรู้สึกเหมือนกับว่าคุณกำลังเหยียบกองไฟ" ดีน เล่าถึงการแข่งขันรายการดังกล่าว แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังไม่ทรมานอยู่ดี เขาติดท็อป 10 เข้าเส้นชัยตลอดนับตั้งแต่การแข่งขันในปี 2000 จนถึง 2008 

นอกจากสนามที่ร้อนเหมือนนรกแล้ว ดีน ยังลองในสนามที่เป็นน้ำแข็งด้วยอุณหภูมิติดลบ 25 องศาเซลเซียส ไม่ใช่แค่เรื่องสภาพอากาศเท่านั้น ระยะทางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเลือกและตัดสินใจลงแข่งขัน เขาเคยวิ่งข้ามประเทศสหรัฐอเมริกามาแล้วโดยเริ่มตั้งแต่ ดิสนี่ย์แลนด์ เมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึง มหานครนิวยอร์ค ด้วยระยะทาง 4,800 กิโลเมตร และใช้เวลาไปทั้งหมด 75 วัน นอกจากนี้ในปี 2005 เขาลงแข่งขันรายการวิ่งที่มีระยะทาง 560 กิโลเมตร ซึ่งเป็นรายการที่เขาวิ่งรวดเดียว 80 ชั่วโมงกับอีก 44 นาที โดยไม่หยุดพักนอนหลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว ... ทุกรายการที่กล่าวมานั้นแค่ส่วนหนึ่ง จริงๆแล้ว ดีน ยังมีดีกรีแชมป์วิ่งระยะไกลมากมาย และยังเคยทำสถิติวิ่ง มาราธอน 50 รายการใน 50 รัฐทั่วอเมริกา ภายในเวลาแค่ 50 วันมาแล้ว

ทุกคนเริ่มแปลกใจในความอึดเกินคนของเขา แม้ตัวของดีนจะกลายเป็นนักวิ่งชื่อดัง มีแชมป์การันตี มีสปอนเซอร์เข้า และมีหน้ามีตาทางสังคมแล้วในตอนนี้ ทว่าเขายังคงหาความทรมานในแบบที่ใกล้เคียงกับการตกนรกอย่างที่โค้ชแจ็คเคยบอกไม่เจอสักครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เขาถามตัวเองประจำว่าอะไรคือสิ่งที่ยากกว่าที่เขาทำอยู่อีก?    

 6

"ผมเองก็แปลกใจมาก เพราะต่อให้ผมวิ่งไกลแค่ไหนผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่ว่าการท้าทายไหนๆที่ผมหามาเพื่อทดสอบและทำลายกล้ามเนื้อตัวเองให้ทรมาน แต่สุดท้ายมันกลับทำอะไรร่างกายผมไม่ได้เลย"  นั่นคือสิ่งที่เขาเริ่มเอะใจ

"ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อย ความรู้สึกเดียวตอนที่วิ่ง 80 ชั่วโมงรวดคือผมรู้สึกแค่ง่วงนอน แต่จิตของผมมันมุ่งมั่นมาก มากชนิดที่ว่าแม้ผมจะหลับแต่ร่างกายของผมก็ยังวิ่งต่อไปได้ มันคือความรู้สึกที่แบบว่าแค่อยากจะไปต่อแค่นั้นเอง เท่าที่ผมรู้"

มนุษย์ที่ไม่มีวันเหนื่อย

ไม่ใช่แค่ตัวของ ดีน เท่านั้นที่สงสัยในศักยภาพตัวเอง แต่แทบจะทุกคนในวงการวิ่งระยะไกลตื่นตัวมากกับความสามารถของเขาที่ไม่เคยปรากฎกับมนุษย์โลกคนไหน นั่นจึงทำให้มหาวิทยาลัยโคโลราโด้ เชิญเขาเข้ามาทดสอบสมรรถภาพร่างกายเพื่อไขให้เจอว่าพลังอะไรกันแน่ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของ ดีน คาร์นาเซส 

 7

การทดสอบด้านร่างกายคือการให้ขยับและออกกำลังกายแบบหนักอยู่ และผลที่ออกมานั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ร่างกายของเขาแข็งแรงเหมือนกับนักกีฬาอาชีพหลายๆคน พลังพิเศษยังไม่เผยตัวออกมา ดังนั้นจึงต้องเริ่มเข้าสู่ส่วนที่สองนั้นคือการทดสอบ Lactate Threshold (LT)

LT คือจุดที่กรดแลคติคในเลือดเริ่มสูงกว่าปกติ เนื่องจากการออกกำลังกายในแต่ละครั้งจะทำให้เกิดกรดแลคติค ซึ่งกรดแลคติคจะถูกกำจัดออกด้วยกระบวนการเผาผลาญแบบใช้ออกซิเจนหรือการหายใจ.... หากจะอธิบายให้ง่ายที่สุดคือ LT คือตัวแสดงชี้วัดให้เห็นว่าร่างกายของคุณนั้นสามารถทนต่อการออกกำลังกายได้มากขนาดไหนนั่นเอง

"ตอนแรกทีมวิจัยบอกว่าขอใช้เวลาตรวจสัก 15 นาที ทว่าเอาเข้าจริงพวกเขาใช้เวลาตรวจถึง 1 ชั่วโมงและบอกผมว่าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน" พลังวิเศษในตัวของ ดีน เผยโฉมออกมาแล้ว เขามีเลือดในร่างกายมากกว่าคนปกติและมันคือสาเหตุเริ่มต้นที่ทำให้เขาไม่รู้จักเหนื่อย 

"ถ้าคุณฝึกให้ชายคนนี้วิ่งระยะไกลคุณจะได้ผลทดสอบว่าระบบหัวใจและหลอดเลือดทำให้เขาสามารถวิ่งได้ไกลและทนทานขึ้นแต่ถ้าเขามีเพียงแค่นั้นเขาก็จะไปถึงทางตันและไม่สามารถพัฒนาได้มากกว่านี้ แต่สำหรับ ดีน เขามีเกณฑ์ค่า LT ที่ไร้ขีดจำกัดและมันส่งผลไปยังระบบหัวใจและหลอดเลือดของเขาด้วย คุณภาพกล้ามเนื้อของเขาสูงมากจนสามารถกำหนดการทำงานของส่วนต่างๆได้" โลรองต์ เมซองนิเยร์ จากมหาวิทยาลัย ซาวอย อธิบายถึงสิ่งที่เขาพบในตัวของ ดีน คาร์นาเซส

กล้ามเนื้อของ ดีน แข็งแกร่งจนขนาดที่ว่าต่อให้วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ยุบและแทบไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นเลย สำหรับคนอื่นการวิ่งจบมาราธอนนั้นอาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นฟูร่างกายเป็นสัปดาห์ แต่สำหรับ ดีน นั้นเขามีค่าความเสียหายของกล้ามเนื้อน้อยกว่าคนปกติถึง 6 เท่า ดังนั้นเท่ากับว่าหากเขาวิ่งไปที่ความเร็ว 7-10 นาทีต่อ 1 กิโลเมตร เขาจะวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ เขาจะไม่มีวันเหนื่อย และนั่นหมายความว่าเขาจะวิ่งได้ไปตลอดกาลจนกว่าจะพอใจ 

 8

คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัย ซาวอย ยังเผยอีกว่าแม้ดีนจะมีร่างกายที่เหนือมนุษย์ แต่เขาโชคดีมากที่ปลุกความสามารถนี้ตื่นขึ้นได้ เพราะบางครั้งต่อให้มีความสามารถขนาดไหนแต่ถ้าไม่ยอมขัดเกลามันก็กลายเป็นความสามารถที่สูญเปล่า ซึ่งตัวของดีนปลุกมันขึ้นมาตั้งแต่เรียนอนุบาลเพราะเขาออกวิ่งกลับบ้านแทนการขึ้นรถบัสทุกวัน นอกจากนี้เขายังใช้เวลาวิ่งมาถึง 15 ปีเต็มๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าต่อให้เขาหันเหไปใช้ชีวิตแบบนักธุรกิจ ความสามารถนี้ที่ถูกปลุกขึ้นมาก็ได้ฝังอยู่ในตัวของเขาไปแล้ว การกลับมาขัดเกลาเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เครื่องติดได้อย่างง่ายดาย และส่งให้เขาเป็นนักวิ่งผู้ไม่รู้จักความทรมานเหมือนในทุกวันนี้ 

ปริศนาทั้งหมดถูกไขออกมาแล้วเขาคือผู้มีพลังพิเศษทางร่างกายอย่างแท้จริง และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาจึงหาความเหนื่อยหอบจนทรมานเหมือนตกนรกไม่เคยเจอเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ "อเวนเจอร์ส" สายวิ่ง : "ดีน คาร์นาเซส" เศรษฐีนักธุรกิจที่ลาออกมาไล่ตามนรก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook