เมายาก่อนล่าแชมป์ : 'ไทสัน ฟิวรี่' นักมวยผู้เป็นศูนย์รวมความไม่เข้ากันของชีวิตมนุษย์

เมายาก่อนล่าแชมป์ : 'ไทสัน ฟิวรี่' นักมวยผู้เป็นศูนย์รวมความไม่เข้ากันของชีวิตมนุษย์

เมายาก่อนล่าแชมป์ : 'ไทสัน ฟิวรี่' นักมวยผู้เป็นศูนย์รวมความไม่เข้ากันของชีวิตมนุษย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การเป็นแชมป์โลกสำหรับคนทั่วไปมีความหมายขนาดไหน? ... แน่นอนมันมีความหมายอย่างที่สุด มันบอกถึงความพยายาม, ฝีมือ และ โชคชะตาฟ้าลิขิต เมื่อชนะแล้วมันก็ต้องฉลองให้กับความสำเร็จครั้งนี้ 

ทว่าไม่ใช่สำหรับ ไทสัน ฟิวรี่ นักชกรุ่นเฮฟวี่เวตผู้เคยถือเข็มขัดแชมป์โลกถึง 5 เส้นในเวลาเดียวกัน เพราะทั้งๆ ที่เขาเพิ่งคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขากลับเข้านอนด้วยความหวังที่ว่า "ได้โปรดอย่าตื่นขึ้นมาอีกเลย" 

อะไรทำให้เขาเป็นแบบนั้น ชีวิตของ ไทสัน ฟิวรี่ ผ่านอะไรมาจนเป็นคนที่แปลกได้ขนาดนี้ ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่

สายเลือดนักสู้ 

ไทสัน ลุค ฟิวรี่ เกิดในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ แม้ว่าปัจจุบันจะกลายเป็นไทสัน ฟิวรี่ ผู้ยิ่งใหญ่ สูงมากกว่า 2 เมตร และเป็นนักชกที่มีลำหักลำโค่นไม่ธรรมดาจนทำให้กลายเป็นแชมป์โลก แต่ก็ไม่มีแชมป์ไหนเทียบได้กับวันที่เขาลืมตาดูโลกอีกแล้ว 


Photo : wsbuzz.com

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะตอนที่เขาเกิดมา ไทสัน ฟิวรี่ มีน้ำหนักตัวเพียง 5 ขีดเท่านั้น ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิดหรอก แม่ของเขาคลอดก่อนกำหนดถึง 3 เดือน ทำให้ร่างกายของเขายังไม่พร้อมที่จะลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำ และการที่เด็กคนหนึ่งจะคลอดก่อนกำหนดออกมาได้ปลอดภัยทั้งแม่ลูกนั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงในระดับที่ต้องลุ้นกันนาทีต่อนาทีเลยทีเดียว นั่นคือแชมป์แรกที่เขาได้สัมผัส รางวัลของมันไม่ใช่เข็มขัด แต่มันเป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้มีชีวิตต่อไป

หากเกิดในครอบครัวอื่นๆ พ่อ-แม่ คงประคบประหงมเต็มที่เพราะลูกน้อยช่างอ่อนแอ แต่สำหรับตระกูล ฟิวรี่ นั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น ...

ตระกูล ฟิวรี่ มีรากเหง้ามาจากประเทศไอร์แลนด์ บรรพบุรุษแห่งฟิวรี่ เป็นนักเดินทางและนักผจญภัยอยู่ไม่ติดที่หรือที่เรียกกันว่าพวก "ยิปซี" และหลังจากที่เข้ามาสู่เจเนเรชั่นที่ปู่ของเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว ปู่ของไทสัน เปลี่ยนเส้นทางเดินของตระกูลจากจอมพเนจรให้เป็นตระกูลของเหล่านักสู้ ปู่ของเขาเป็นนักมวย และพ่อของเขาที่ชื่อว่า จอห์น ก็ดำเนินรอยตามด้วยการเป็นนักชกแห่งเบลฟาสต์ โดยในช่วงปี 1980 พ่อของเขาเดินแซงหน้าปู่ของเขาไป 1 ก้าวด้วยการมีโอกาสได้ขึ้นชกในเวทีอาชีพ หลังแอบขึ้นชกแบบไม่มีใบอนุญาตรวมถึงการเป็นนักสู้กำปั้นเปล่า และได้รับฉายาว่า "ไอ้ยิปซี" จอห์น ฟิวรี่ ทว่าก็ได้แค่นั้นเพราะแม้จะใจสู้แต่ฝีมือของ จอห์น ยังไม่ถึงขั้นจึงไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ความฝันจากปู่ส่งถึงพ่อ และจากพ่อส่งถูกลูกชายให้รับผิดชอบชื่อเสียงวงตระกูลต่อไปและนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงเกิดมาชื่อ ไทสัน เพราะพ่อของเขาหวังว่าจะให้ลูกชายกลายเป็นโคตรนักชกอย่าง ไมค์ ไทสัน นักชกชาวอเมริกันนั่นเอง 

ไม่รู้ว่า ไทสัน ที่เป็นเด็ก 5 ขีดคนนี้เป็นคนเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองหรือไม่ เพราะตั้งแต่จำความได้เขาก็ถูกฝึกให้เป็นนักชกแล้ว แม้จะตัวเล็กกว่าเด็กๆ ทั่วไปแต่ จอห์น ผู้เป็นพ่อไม่สนอยู่แล้ว ลูกชายเขาจะต้องไปได้ไกลกว่าตนเอง ไทสัน ถูกฝึกให้กินและสอนให้สู้และเขาเองก็ปฏิบัติตามเพราะอย่างน้อยๆ มวยคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่โดนเด็กรุ่นเดียวกันรังแก


Photo : www.badlefthook.com

"ผมตัวเล็กมากเลยตอนเด็กๆ จนกระทั่งอายุ 9-10 ขวบนี่แหละที่ผมเริ่มสูงขึ้นซึ่งมันทำให้ผมดูผอมแห้งยิ่งกว่าเดิมอีก ผมเลยต้องกินทุกอย่างที่ขวางหน้ารู้ตัวอีกทีตอนอายุ 14 ปี ผมก็กลายเป็นเด็กที่ตัวอ้วนที่สุดในห้องเรียนไปแล้ว" ไทสัน เล่าถึงวัยเด็ก

"ผมโดนแกล้งตลอดไม่ใช่แค่ในโรงเรียน เวลาไปเล่นที่สวนสาธารณะผมก็โดนเหมือนกันจะหมัดหรือแข้งผมโดนมาหมดแล้ว พี่ชายผมคอยจัดการพวกที่ชอบมาแกล้งผมให้ แต่ยิ่งผมเห็นเขาทำแบบนั้นผมยิ่งอยากจะเข้าโรงยิมฝึกมวยแบบจริงจัง"

สายเลือดของตระกูลนักสู้ของ ไทสัน ฟิวรี่ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการได้ลงนวม เขาเอาจริงเอาจังกับการเข้ายิม ฝึกทักษะ และกินอาหารอย่างถูกหลัก หลังจากนั้นเจ้าทารก 1 ปอนด์ ก็กลายร่างเป็นยักษ์ใหญ่แห่งแมนเชสเตอร์ ไปอย่างเหลือเชื่อ เขาสูงขึ้นถึง 2 เมตรตอนอายุ 18 และการเข้ายิมทำให้ร่างกายดูแข็งแรงสมส่วน มีมัดกล้ามที่ใครเห็นก็รู้ว่าอย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า

ทั้งๆ ที่ใจจริงเขาไม่ได้อยากทะเลาะวิวาทกับใคร แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อเขาตัวใหญ่กลับยิ่งเป็นเป้าของนักเลงตามท้องถนน ทุกคนอยากจะชกเขาเพื่อแสดงความแข็งแกร่งอารมณ์ประมาณว่า "ฉันคว่ำไอ้ยักษ์นี่ได้" สุดท้ายก็กลายเป็นว่าแม้จะตัวใหญ่ขึ้นเขาก็โดนรังแกอยู่ดี แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเพราะหากเขาคิดจะสู้ขึ้นมาพวกนักเลงจอมซ่าคงลงไปกองในไม่กี่วินาที แต่เขาไม่ทำ ... ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดี แต่เขามีฝันที่แน่วแน่ว่าเขาอยากจะได้ขึ้นชกในระดับอาชีพ ซึ่งหากเขาเกิดเอาวิชาหมัดมวยไปใช้สู้ข้างถนน เขาอาจจะถูกยึดใบอนุญาตและเป็นอันจบฝันของตระกูลฟิวรี่ก็ได้ ... 

แชมป์ที่สมบูรณ์แบบ 

ไทสัน ฟิวรี่ มีความฝันแรกที่โดนพ่อยัดเยียดให้คือเขาอยากจะได้ขึ้นชกในโอลิมปิกสักครั้ง เขาจึงตั้งหน้าตั้งตาฝึกเพื่อไปคัดตัวเป็นตัวแทนของรุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวทของสหราชอาณาจักร ในโอลิมปิก 2008 ทว่าเขากลับไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ แม้จะดูน่าผิดหวังแต่มันมีเรื่องน่ายินดีซ่อนอยู่ เพราะมันทำให้เขาเลือกเส้นทางของตัวเองได้ชัดเจนขึ้นที่จะหันไปเป็นนักมวยอาชีพแบบเต็มตัว  


Photo : telegraph.co.uk

ฟิวรี่ เทิร์นโปรทันทีหลังจากพลาดโอลิมปิก และมันเป็นช่วงเวลาที่ชื่อเสียงของเขาเริ่มเข้ามา สไตล์ของเขาถูกพูดถึงกันในแง่ของมวยเฮฟวี่เวตที่แปลกออกไปจากคนอื่นๆ ในรุ่นเพราะ ฟิวรี่ ไม่ใช่คนหมัดหนักระดับชกทีเดียวสลบอะไรแบบนั้น แต่เขาเป็นนักมวยที่มีทักษะเป็นเลิศที่สุดคนหนึ่ง มีความเร็วในระดับที่เหนือกว่ามวยรุ่นยักษ์ทั่วไป ช่วงชกที่ยาวมากทำให้ได้เปรียบคู่แข่งเสมอ และที่สำคัญสุดเลยคือเป็นนักชกที่มีจุดขายโดดเด่นนั่นคือ "ฝีปาก"

ลีลาฝีปากของ ฟิวรี่ ถือว่าชั้นหนึ่งหากเขาได้แหย่ใครรับรองต้องมีหัวร้อนกันบ้าง และสิ่งที่ทำให้ฝีปากของเขามีราคานั่นคือฝีมือของเขาที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ฟิวรี่ ไม่เคยแพ้ใครเลยแม้แต่หนเดียวนับตั้งแต่เทิร์นโปร ซึ่งเมื่อเขาไล่กวาดคู่ชกในสหราชอาณาจักรมาจนหมดแล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการยั่วแชมป์โลกเพื่อเรียกกระแส ซึ่งหวยออกที่ วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ ยอดนักชกชาวยูเครน 

ตอนนั้น ฟิวรี่ กำลังมีความกระหายสร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมาก และเมื่อได้โอกาสนี้มันทำให้เขาคึกคักถึงขีดสุด ส่วนทางฝั่ง คลิทช์โก้ ที่ถือว่าเป็นยอดมวยรุ่นยักษ์ถูกถามว่าเขารู้สึกอย่างไรสำหรับไฟต์ดังกล่าวในปี 2013 เขาตอบกลับอย่างสุภาพและให้เกียรติผู้ท้าชิงอย่าง ฟิวรี่ เต็มที่ 

"ผมเชื่อว่าการได้ชกกับ ไทสัน ฟิวรี่ จะเป็นไฟต์ที่แตกต่างไปจากที่ผมเคยเจอ ฟิวรี่ สูงกว่าผมและเป็นคนที่มีความทะเยอทะยายมาก ผมคิดว่ามันน่าตื่นเต้นนะ เราจะชกกันอย่างดุเดือดและผมรอให้ถึงวันนั้นจริงๆ" วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ ไม่รู้เสียแล้วว่าเขากำลังให้เกียรติด้านคำพูดกับคนที่ไม่ควร ...


Photo : www.theguardian.com

ฟิวรี่ ได้โอกาสและตอบโต้แบบเจ็บแสบ สไตล์ของเขานั้นเรียกได้ว่ามาถึงตรงนี้ไม่ต้องให้เกียรติอะไรกันแล้วควรจะเล่นสงครามจิตวิทยาใส่กัน เพราะมันจะทำให้ไฟต์นั้นตื่นเต้นเร้าใจแฟนๆ "มวยรุ่นเฮฟวี่เวทน่าเบื่อมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เอาเถอะไว้ผมจะลงไปสั่นคลอนบัลลังก์และทำให้ความตื่นเต้นนั้นกลับมาเองไม่ต้องห่วงเลย" คือสิ่งที่เขาพูด ซึ่ง ณ วันนั้นเขายังไม่มีแชมป์สถาบันหลักติดไม้ติดมือเลยแม้แต่แชมป์เดียว แต่นั่นเองมันคือสิ่งที่แตกต่าง คาแร็คเตอร์ของไทสัน ฟิวรี่ เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าโปรโมเตอร์เป็นอย่างมาก 

หลังจากที่มีการประกาศการชกอย่างเป็นทางการ ฟิวรี่ ก็เริ่มที่จะใช้ฝีปากมากขึ้น เขาพร้อมรับบทตัวโกงปากมากที่คนดูอยากจะเห็นเขาโดนสุภาพบุรุษคลิทช์โก้น็อคด้วยหมัดที่หนักหน่วง 

"ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง ผมไปเข้าซาวน่าพร้อมๆ กับ คลิทช์โก้ พอดี ตอนนั้นมีคนอยู่ในห้อง 10 คน ทุกคนมองมาที่เราว่าจะใส่กันหรือเปล่า ในใจเขาคิดยังไงผมไม่รู้ แต่ในใจที่ผมคิดคือผมพร้อมจะตายตั้งในห้องซาวน่านั้นแล้ว ส่วนผลสุดท้ายคืออะไรนะเหรอ วล้าด เดินออกจากห้องนั้นไปก่อนไงล่ะ" ฟิวรี่ ยังไม่ยอม 

แม้จะดูยียวน แต่เมื่อขึ้นชกกันจริงๆ กลับกลายเป็นว่า ฟิวรี่ ใช้ทุกสิ่งที่มีทั้งความเร็ว ทักษะ และช่วงชกที่ยาวกว่าเอาชนะ คลิทช์โก้ ไปได้หลังชกครบ 12 ยก หลายคนกังขาว่า วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในช่วงขาลงหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลยเพราะก่อนที่จะแพ้ ฟิวรี่ นั้นเขาเพิ่งเอาชนะ อเล็กซานเดอร์ โพเวตกิ้น แชมป์ชาวรัสเซียมาหมาดๆ นี้นี่เอง 

ส่วน ฟิวรี่ น่ะหรือกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารไปเรียบร้อยแล้ว การชนะ วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ ทำให้เขาชิงเข็มขัดแชมป์มาทีเดียว 5 เส้น ทั้ง WBA (Super), IBF, WBO, IBO และ The Ring พร้อมสถาปนาตนเป็น "ราชายิปซี" อย่างภาคภูมิ

มวยก็เหมือนแต่งงาน 

ทว่าหลังจากถือเข็มขัดแชมป์ 5 เส้น ฟิวรี่ กลับมีความรู้สึกที่ว่างเปล่า เขาไม่ได้ฉลองใหญ่โต และป่าวประกาศออกสื่อเหมือนก่อนที่จะเป็นแชมป์ มันกลับทำให้เขาไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ...


Photo : @Tyson_Fury

ไม่รู้ว่าเขารักมวยจริงๆ หรือเปล่าความคิดแบบนี้จึงเกิดขึ้น เพราะหากย้อนกลับไปตอนแรกเริ่มเขาโดนบังคับให้เริ่มชกมวย นอกจากนี้เขายังต้องถือศักดิ์ศรีของตระกูล ฟิวรี่ ที่ต้องกลายเป็นแชมป์ให้ได้ ดังนั้นในเมื่อวันที่เขาเดินมาถึงเส้นชัยแล้วชีวิตของเขาจะเหลืออะไรให้ต้องทำอีก นั่นคือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

"ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนั้นเรื่องอะไรที่ทำให้ผมต้องรู้สึกหดหู่ แปลกนะผมประสบความสำเร็จมากมาย ผมรวยขึ้นมาก สุขภาพยอดเยี่ยม ครอบครัวก็อบอุ่น แถมยังมีชื่อเสียง ทุกอย่างที่ผมมีคือสิ่งที่ชายทุกคนบนโลกอยากจะคว้ามาให้ แต่ก็นั่นแหละผมกลับรู้สึกหดหู่กับมันอย่างไร้สาเหตุ" ไทสัน ฟิวรี่ พูดถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากการเป็นแชมป์โลกได้ ... เพราะสิ่งที่ตามมาคือ โรคซึมเศร้า นั่นเอง 


Photo : www.manchestereveningnews.co.uk

เขาต้องสู้รบกับจิตใจตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเคยเป็นคนชอบมวยไม่ใช่หรือ? ความรักที่เคยมี ความทุ่มเทที่เคยลงกายลงแรงหายไปไหนหมดในเวลานี้? แม้แต่การฉลองให้กับความยิ่งใหญ่เขายังไม่สามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ 

"ผมเปรียบการชกมวยเหมือนกับการแต่งงาน คุณจะต้องรับมือกับมันหลายความรู้สึก คุณจะตกหลุมรักมัน และบางเวลาคุณจะเกลียดมันจนอยากหันหลังให้" ฟิวรี่ อธิบายความรู้สึกนี้กับ BBC 

มันคือช่วงเวลาที่เขาหมดลายแชมป์ จากที่เคยเป็นคนขยันซ้อมกลับกลายเป็นว่าแทบไม่มีมวยเข้ามาในหัวสมองเขาเลย เขามีกิจวัตรประจำวันคือออกไปนั่งที่บาร์จากนั้นก็เริ่มเมาด้วยเงินที่หามาได้จากการชกมวย และเมื่อเมาได้ที่เขาจะกลับไปซัดโคเคนให้หนำใจก่อนนอนหลับไปในห้องที่ไม่เคยเก็บกวาด

การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ทุกอย่างพังทลาย เพราะเขาถูกสุ่มตรวจสารกระตุ้นจากสมาคมมวยโลก จากนั้นทุกอย่างก็ออกมากับปัสสาวะของเขา ความจริงเปิดเผยทันที ไทสัน ฟิวรี่ โดนแบนเป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งมันเสียหายมากเพราะเขากำลังจะได้รีแมตช์กับ วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ อีกครั้ง เขาจะแพ้หรือชนะไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ๆ คือเขาพลาดเงินก้อนโตไปแล้ว ในขณะที่เงินก้อนเดิมที่เคยได้กำลังร่อยหรอลงอย่างช้าๆ 


Photo : www.thesun.co.uk

เรื่องดังกล่าวไม่ได้ส่งผลถึงตัวเขาคนเดียวเท่านั้นเพราะหลังจากที่ ฟิวรี่ ติดยา, เมาหนัก และน้ำหนักขึ้นจนอ้วนฉุ มันสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าโปรโมเตอร์ที่เคยถือหาง รวมถึงสถาบันมวยต่างๆ ที่พากันทบทวนถึงสถานะแชมป์ของเขา เพราะแทนที่ ฟิวรี่ จะได้แชมป์และเอาไปต่อยอดให้ค่ายและสถาบันต่างๆ ได้กำไรเพิ่ม เขากลับเอาเข็มขัดทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะ และไม่ได้ขึ้นชกป้องกันแชมป์เลย ฟิวรี่ ถอยจนหลังติดกำแพง และเมื่อไม่มีที่ให้ถอยอีกเขาจึงคิดได้ว่าชีวิตดีๆ ที่เคยมีกำลังจะหมดไปจากเขา หากว่าเขาไม่รีบปัดฝุ่นให้ความฝันที่เคยมีกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง

ดวงตาเห็นธรรม

เมื่อคนเราลำบากถึงขีดสุดเมื่อนั้นเขาจะได้เห็นความจริงบางอย่าง ไทสัน ฟิวรี่ ก็เช่นกัน เขาเห็นครอบครัวที่กำลังสิ้นหวังกับสิ่งที่เขาเป็น นอกจากนี้ยังเห็นความเสื่อมโทรมของตัวเองที่เกินจะระดับได้ เขายอมรับสภาพที่เกิดและพร้อมจะแก้ไขให้ดีขึ้น


Photo : www.foxsports.com.au

"ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนสอนใจที่ดี ด้านมืดของผมเกือบจะเอาตัวผมไปได้แล้ว แต่สุดท้ายผมก็ค้นพบหนทาง สิ่งใดก็ตามที่พยายามฆ่าคุณแต่ทำไม่สำเร็จสิ่งนั้นแหละจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น เรื่องราวความเจ็บปวดสำหรับผมได้สิ้นสุดลง ฝนร้ายผ่านไปและดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้ากำลังจะกลับมา"  

ฟิวรี่ ประกาศเว้นวรรคจากตำแหน่งแชมป์โลก เพื่อเปิดทางให้นักชกคนอื่นๆ ได้ชิงตำแหน่งที่ว่างลง ส่วนตัวเขานั้นเริ่มกลับไปเข้าโรงยิมอีกครั้ง ... ณ ตอนนั้นเขาพบว่าถึงเวลาที่ต้องเอาจริงเพราะน้ำหนักตัวของเขามากถึง 180 กิโลกรัม และการจะกลับมาเป็นแชมป์ เขาไม่สามารถมีรูปร่างแบบนี้ได้แน่ 

เขาใช้เวลาถึง 2 ปี กลับมาฟิตซ้อมให้กลับมาเข้ารูปเข้าร่างอีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม หากการชกมวยเหมือนการแต่งงาน ในเวลานี้คงเปรียบได้ว่าชีวิตของ ฟิวรี่ กำลังซาบซ่าถึงขีดสุด


Photo : www.dailystar.co.uk

"มันเหมือนกลับว่าผมพาเมียไปซื้อชุดนอนไม่ได้นอนเพื่อปลุกเร้า และหลังจากนั้นเราก็กลับมามีความสุขกันแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน" เขาเปรียบไว้อย่างบ้านๆ แต่ก็สามารถเห็นภาพได้ชัดเจน 

ในปี 2018 ฟิวรี่ กลับมาขึ้นชกอีกครั้งกับ เซเฟอร์ เซเฟรี่ จาก แอลเบเนีย และเอาชนะไปได้แบบไม่ยากเย็นอะไร จากนั้นก็เก็บ ฟรานเชสโก้ ปิอาเนต้า นักชกชาวอิตาเลียน ทั้ง 2 ไฟต์เป็นเหมือนการเรียกฟิตและประกาศให้โลกรู้ว่า ไทสัน ฟิวรี่ คนเดิมกลับมาแล้ว 

ไฟต์สะท้อนชีวิต 

เมื่อ ฟิวรี่ กลับมาเหล่าโปรโมเตอร์ก็พร้อมจะมอบโอกาสให้กับนักชกที่คาแร็คเตอร์ขายได้แบบเขาอีกครั้ง แฟรงค์ วอร์เรน โปรโมเตอร์ชื่อดังจัดให้ ฟิวรี่ ได้ขึ้นชกกับ ดีออนเต้ ไวลเดอร์ แชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทของสถาบัน WBC ผู้ไร้พ่ายและป้องกันแชมป์มาได้แล้วถึง 7 หนก่อนที่จะมาเจอกับเขา ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2018 


Photo : www.mirror.co.uk

ฟิวรี่ ถือว่าเป็นรองเยอะ เพราะร้างสนามไปนาน อีกทั้ง ไวลเดอร์ นั้นขึ้นชื่อในฐานะเบอร์ 1 ของรุ่นเฮฟวี่เวท ณ ปัจจุบัน แต่ไฟต์นี้มีความหมายกับ ฟิวรี่ มากกว่าแค่การแพ้ชนะ แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าตลอดชีวิตของเขาต้องผ่านเส้นทางที่แปลกกว่ามนุษย์คนอื่น จากเกือบตาย, กลายเป็นนักชก จากนักชกกลายเป็นคนโดนรังแก จากคนโดนรังแกกลายเป็นแชมป์โลก จากแชมป์โลกกลายเป็นคนคิดฆ่าตัวตาย และตอนนี้จากคนที่คิดฆ่าตัวตายเขากำลังได้กลับมาล่าแชมป์โลกอีกครั้ง จะมีใครที่ตายยากมากกว่านี้อีกไหม? เป็นคำถามที่หาคำตอบได้ยากจริงๆ

ในไฟต์นั้น ฟิวรี่ สู้ได้ดีเหลือเชื่อเชื่อแม้ว่าจะมีจังหวะปัญหาเกิดขึ้นในยกสุดท้าย หลังจากที่แชมป์ชาวมะกันปล่อยหมัดซ้ายส่ง ไทสัน ฟิวรี่ ลงไปกองกับพื้น ซึ่งสุดท้ายนักชกเมืองผู้ดีสามารถกัดฟันลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ครบยก ก่อนที่ผลการแข่งขันจะจบลงด้วยการเสมอกันไป ชนิดที่กรรมการเสียงแตกเป็น 3 เสียง (ให้ฟิวรี่ชนะ, ให้ไวลเดอร์ชนะ และเสมอกัน) ปัญหาอยู่ที่จังหวะที่ ฟิวรี่ ลงไปกองนั้น ไวลเดอร์ คิดว่ากรรมการนับช้าไป 1 วินาที ความจริงแล้ว ฟิวรี่ ควรจะแพ้น็อคเสียด้วยซ้ำ 

อย่างไรก็ตามสำหรับ ฟิวรี่ แม้หมัดนั้นของ ไวลเดอร์ อาจจะหนักหน่วง แต่มันก็ยังไม่หนักเท่ากับสิ่งที่เขาเคยเจอ เขาลุกขึ้นมายันเสมอเพื่อหาโอกาสท้าชิงแชมป์โลกครั้งใหม่ในอนาคต เหมือนกับวันที่เขาลุกขึ้นสู้กับเรื่องเส็งเคร็งในชีวิตและเรียกหาโอกาสในการสร้างเกียรติแห่งวงศ์กระกูล "ฟิวรี่" ที่เขาภาคภูมิใจเป็นครั้งที่สอง 


Photo : www.worldboxingnews.net

"ผมยืนอยู่ตรงนี้ในฐานะทูตแห่งปัญหาสุขภาพจิต ผมจะกลายเป็นแชมป์ของประชาชน มีคนที่เป็นโรคนี้เหมือนกับผมเป็นล้านๆ คนและผมจะสู้เพื่อพวกเขาเหล่านั้นด้วย ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนต้องการโอกาสที่สองเสมอ ผมเชื่อว่าพวกเขาต้องการส่งเดียวเท่านั้นเหมือนกับที่ผมต้องการนั่นคือการที่คนอื่นมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เห็นค่า" ฟิวรี่ กล่าว

หากคิดได้ก็ไม่มีเรื่องใดที่สายเกินไป มูฮัมหมัด อาลี เคยออกจากวงการมวยถึง 3 ปีก่อนจะกลับมาแพ้ โจ เฟรเซียร์ จนใครๆ มองว่าหมดยุคของเขาไปแล้ว แต่ความจริงคือ อาลี เอาแชมป์โลกกลับมาและสร้างยุคสมัยของตัวเองอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับ ไทสัน ฟิวรี่ ชายผู้เป็นศูนย์รวมความไม่เข้ากันของชีวิตมนุษย์คนนี้ที่เชื่อว่าหากลองเปลี่ยนมุมมองก็จะได้รู้ว่าชีวิตของเรานั้นมีค่ามากแค่ไหน 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook