Goal โมเดล : ซานติอาโก้ มูเนซ - มิเกล อัลมิร่อน 2 แข้งนิวคาสเซิ่ลจากโลกคู่ขนาน

Goal โมเดล : ซานติอาโก้ มูเนซ - มิเกล อัลมิร่อน 2 แข้งนิวคาสเซิ่ลจากโลกคู่ขนาน

Goal โมเดล : ซานติอาโก้ มูเนซ - มิเกล อัลมิร่อน 2 แข้งนิวคาสเซิ่ลจากโลกคู่ขนาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในความทรงจำของคอฟุตบอลทั่วโลกนั้นมีภาพยนตร์เกี่ยวกับฟุตบอลหลายเรื่องที่เข้ามาสร้างความประทับใจ แต่ที่สุดคงไม่มีเรื่องไหนที่จะเล่าและเรียงลำดับเหตุการณ์ให้โดนใจเทียบเท่ากับ Goal (เกมหยุดโลก) ในปี 2005 อีกแล้ว

เรื่องราวของ ซานติอาโก้ มูเนซ เด็กหนุ่มชาวเม็กซิโกหนีเข้าสหรัฐอเมริกาแบบผิดกฎหมายพร้อมกับครอบครัวและความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ เขาเริ่มไต่เต้าจากชนชั้นแรงงานใน ลอส แอนเจลิส จนได้ย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีกกับสโมสรนิวคาสเซิล จากนั้นเรื่องราวความยิ่งใหญ่ก็เริ่มขึ้น  

ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 14 ปี มีนักฟุตบอลคนหนึ่งกำลังเดินตามรอย มูเนซ อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเมื่อมาเปรียบเทียบกันก็ยิ่งพบว่าเส้นทางของ มิเกล อัลมิร่อน นักเตะที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรของ นิวคาสเซิล มีความคล้ายกันไม่น้อยเลยทีเดียว และนี่คือสิ่งที่หลายคนกำลังแซวกันว่า เขาคือ "ซานติอาโก้ มูเนซ แห่งโลกความจริง"

รู้จักเรื่อง Goal ใน 1 นาที

หลังจาก ซานติอาโก้ มูเนซ หนีเข้าสหรัฐอเมริกาแบบผิดกฎหมาย เขาต้องช่วยพ่อทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพกรรมกรก่อสร้างและธุรกิจจัดสวนเล็กๆ ในบริษัทที่มีแค่รถกระบะไว้ขนของคันเดียว


Photo : microsoft.com

ด้วยความที่ยังหนุ่มยังแน่น มูเนซ ทำงานได้เยอะและหาเงินให้ครอบครัวได้มากจนพ่อของเขาวางตัวให้เป็นกำลังหลักที่จะคอยดูแลครอบครัวและส่งน้องชายของเขาเรียนหนังสือ ดังนั้นพ่อของเขาจึงห้ามเด็ดขาดที่จะให้เขาไล่ตามฝันตัวเองด้วยการเป็นฟุตบอลอาชีพเพราะมันเป็นเรื่องยากและเสียเวลาเปล่า

อย่างไรก็ตามโชคชะตาพลิกผัน เกล็น ฟอย อดีตนักเตะของ นิวคาสเซิล เดินทางมาพักผ่อนที่ แอลเอ และเขาได้เห็นฝีเท้าของ ซานติอาโก้ ในเกมระดับสมัครเล่น เขาประทับใจทันทีและประกอบกับนิวคาสเซิลในเวลานั้นกำลังมีผลงานย่ำแย่ เกล็น จึงชวน ซาติอาโก้ บินไปทดสอบฝีเท้าถึงอังกฤษ และจากนั้นการเดินทางสู้ชีวิตในต่างแดนของ ซานติอาโก้ ก็เริ่มขึ้น (แม้ไม่มีคำอธิบายว่า มูเนซหาพาสปอร์ตและรอดจาก เวิร์ก เพอร์มิต ด่านดับฝันสำคัญแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษได้อย่างไร)


Photo : www.trollfootball.me

เขาค่อยๆ ปรับตัว และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ พร้อมกับแก้ปัญหาชีวิตในอังกฤษมากมายทั้งเรื่อง สไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไป และปัญหานอกสนามในวันที่เขาเริ่มมีชื่อเสียง กระทั่งกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลและผู้เล่นคนสำคัญของทีม และนำ นิวคาสเซิล ติดท็อปโฟร์ คว้าโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ

เริ่มต้นจากความจน

อย่างที่ได้กล่าวในข้างต้น ซาติอาโก้ มูเนซ ต้องทำงานเป็นคนขายแรงงานตั้งแต่อายุยังน้อยแต่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ด้วยความเชื่อว่านอกจากจะมีชื่อเสียงแล้วมันยังทำให้เขามีรายได้ที่มากพอจะดูแลครอบครัวที่มี พ่อ, ย่า และน้องชาย


Photo : www.onlinegambling.com

แต่สำหรับ มิเกล อัลมิร่อน … จุดเริ่มต้นตอนแรกอาจจะต่างกับ มูเนซ อยู่บ้างเพราะ อัลมิร่อน ไม่ได้มาจาก เม็กซิโก แต่เขาเป็นชาว ปารากวัย อย่างน้อยๆ ก็พอมีจุดเชื่อมอยู่บ้างเพราะทั้ง เม็กซิโก และ ปารากวัย ต่างก็ใช่ภาษาสเปนเป็นภาษากลางเหมือนกัน

จุดที่เหมือนกันอีกอย่างคือทั้งคู่มาจากครอบครัวที่มาฐานะยากจนเหมือนกัน อัลมิร่อน นั้นมีพ่อเป็นที่ทำหน้าที่เป็นยามที่ต้องทำงานถึงวันละ 18 ชั่วโมง ซึ่งการทำงานที่มากขนาดนี้สามารถส่งผลถึงชีวิตได้เลย (ซึ่งในภาพยนตร์ GOAL ก็สะท้อนถึงจุดนี้ผ่านพ่อของ ซานติอาโก้ ที่เสียชีวิตขณะรับจ้างจัดสวน) ขณะที่แม่ของเขาเป็นพนักงานร้านซูเปอร์มาเก็ตในเมือง อาซุนซิยง เมืองหลวงของ ปารากวัย ขณะที่ตัวของเขานั้นต้องทำงานในพาร์ทไทม์ในร้านอาหารจีน ดังนั้นฝันของเขาก็เหมือนกับ ซานติอาโก้ นั่นคือครอบครัวต้องได้ลืมตาอ้าปากด้วยฝีเท้าของเขา  

อย่างไรก็ตามด้วยความที่ ซานติอาโก้ เป็นตัวละครสมมุติจึงทำให้เรื่องเส้นทางการค้าแข้งต่างออกไป หนังปูมาให้เขาเก่งสุดๆ อยู่แล้วขาดแค่เพียงการปรับตัว อีกทั้งการย้ายทีมทุกอย่างก็ยังดูง่ายเพราะตัวหนังเองต้องรวบรัดให้กระชับมากที่สุด ดังนั้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ อัลมิร่อน จึงยากกว่าพอสมควร

อัลมิร่อน อยู่ในทีมอคาเดมี่ของสโมสร เซร์โร่ ปอร์เตโน่ ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปารากวัย เมื่อเป็นเช่นนั้นการแข่งขันในทีมจึงสูงมาก เขาเข้าสู่ระบบอคาเดมีตอนอายุ 14 ปี แต่หลังจากฝึกได้ 2 ปี สโมสรมองว่า อัลมิร่อน ไม่ดีพอที่จะเล่นในทีมระดับยู 16 ได้จึงทำการจะยกเลิกสัญญา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องทำงานในร้านอาหารจีนไปตลอดชีวิต ในช่วง 1 สัปดาห์สุดท้ายก่อนหมดสัญญา เอร์นัน อาคุนญ่า โค้ชเยาวชนของ เซร์โร่ มองเห็นศักยภาพในตัวเขาและเดินไปเคลียร์กับสโมสรให้เองว่าเด็กคนนี้ต้องอยู่ต่อไป


Photo : BarnBurner.ca

"ผมไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ไปที่ไหน ทีมงานโค้ชอยากให้เก็บเขาไว้และเขาจะพัฒนาการตัวเองต่อไปได้แน่นอน" อคุนญ่า เล่าถึงความหลัง ซึ่งหลังจากนั้น อัลมิร่อน ก็ตอบแทนความไว้วางใจด้วยการเติบโตขึ้นมาในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ และขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในปี 2013 และเป็นดาวเด่นของทีมในที่สุด

การเริ่มต้นของทั้งคู่มีส่วนคล้ายกันตรงปูมหลังครอบครัวที่ยากลำบาก เพียงแต่ ซานติอาโก้ มูเนซ หนีเข้ามาในแอลเอ ตั้งแต่ยังเด็ก ต่างกับ อัลมิร่อน ที่พิสูจน์ตัวเองใน ปารากวัย ก่อนจึงค่อยย้ายไปเล่นใน อาร์เจนติน่า กับทีม ลานุส และสุดท้ายก็ได้ไปยังสหรัฐอเมริกาจริงๆ หลังจาก แอตแลนต้า ยูไนเต็ด คว้าตัวไปร่วมทีมด้วยราคาถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ

ดินแดนแห่งเสรีภาพ...และผู้ชักจูงจากนิวคาสเซิล

ซานติอาโก้ หนีเข้า แอลเอ ส่วน อัลมิร่อน ย้ายแบบถูกกฎหมายไปยังเมือง แอตแลนต้า เมืองหลวงของรัฐจอร์เจีย ทั้ง 2 แห่งมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของประชาการในพื้นที่ แอลเอ เป็นเมืองที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเชื้อสายละตินหรือ ฮิสแปนิก ที่มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 47.5 ขณะที่คนผิวขาวเป็นคนส่วนน้อย ขณะที่ แอตแลนต้า มีประชากรกว่า 5.4 ล้านคน และยังคงต้อนรับผู้ย้ายถิ่นฐานจากทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ยืนยันได้จากท่าอากาศยานนานาชาติ ฮาร์ทสฟิลด์-แจ็คสัน เป็นสนามบินที่คึกคักที่สุดในโลกเมื่อเทียบด้วยจำนวนผู้โดยสาร สนามบินแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางบริการขนส่งด้วยอากาศยานของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเท่านั้น แต่ยังให้บริการสู่จุดหมายปลายทางกว่า 42 แห่งในลาตินอเมริกาอีกด้วย


Photo : www.onlinegambling.com

สหรัฐอเมริกา คือดินแดนแห่งความฝัน ไม่ว่าใครก็ตามที่อพยพเข้ามาทุกคนล้วนอยากจะมีชื่อเสียงและสร้างตำนานของตัวเอง ซานติอาโก้ มูเนซ นั้นคือคนที่มีอเมริกันดรีมแบบเต็มอก แม้พ่อของเขาจะเพิ่งตั้งตัวได้และมีธุรกิจตกแต่งสวนเป็นของตัวเองเพื่อรองรับให้เขามาสานต่อ แต่เขาหวังอย่างเดียวคือต้องไปเล่นฟุตบอลในยุโรปให้ได้จนถึงขั้นแอบเก็บเงินไว้ในที่ลับ (รองเท้า) และมีความคิดที่ว่าหากเขามีเงินมากพอ เขาจะหนีพ่อไปคัดตัวเป็นนักฟุตบอลด้วยตัวเอง จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจาก เกล็น ที่เป็นอดีตนักเตะของ นิวคาเซิล

ด้าน อัลมิร่อน นั้นเล่นให้กับ แอตแลนต้า ที่เป็นสโมสรเกิดใหม่ใน เมเจอร์ลีก ซอคเก้อร์ ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จทั้งๆ ที่ลงแข่งขันในลีกนี้ได้เพียง 2 ปีเท่านั้น … แน่นอน เขาไม่คิดจะหยุดตัวเองอยู่กับแค่ เมเจอร์ลีก อยู่แล้ว การไปยุโรปคือฝันของเขา ณ ตอนแรกเขาก็ยังไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะไปทีมไหนหรอก เพียงแต่ว่า นิวคาสเซิล เป็นทีมแรกที่ติดต่อเข้ามาและพร้อมจะจ่ายค่าตัวถึง 22 ล้านปอนด์  อัลมิร่อน คิดอยู่พักใหญ่เพราะนักเตะละตินนั้นไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในอังกฤษมากนัก จนกระทั่งเขามีผู้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำจาก นิวคาสเซิล เหมือนกับที่ ซานติอาโก้ เคยได้รับ ซึ่งในส่วนของ อัลมิร่อน นั้นเป็น เดอันเดร เยดลิน นักเตะทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่เคยเล่นใน เมเจอร์ลีก กับ ซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส มาก่อน


Photo : www.premierleague.com

"อัลมิร่อน เป็นผู้เล่นที่เฉียบคมมาก เร็วมากเมื่อบอลอยู่กับเท้า อีกทั้งยังมีวิชั่นในการมองหาลูกบอลที่ดีมาก เขาจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่คุณรู้ว่ามีของซ่่อนอยู่ แล้วเขาจะเป็นผู้เล่นคนที่สำคัญของเรา คุณคอยดูเลย" เพื่อนสนิทที่สุดของ อัลมิร่อน ในรั้วเซนต์ เจมส์ พาร์ค กล่าว

จาก อเมริกา สู่ นิวคาสเซิล โดยการชักนำของคนวงในของสโมสร  เอาล่ะเรื่องมันเริ่มคล้ายกันขึ้นมาบ้างแล้ว

โดดเด่นในแดนผู้ดี

ความเหมือนยังไม่จบแค่นั้น ซานติอาโก้ มูเนซ ได้สัญญาจาก นิวคาสเซิล ในช่วงตลาดซื้อขายระหว่างฤดูกาล แม้ในเรื่องจะไม่บอกว่าเดือนไหน แต่ที่คุณรู้ได้เลยคือในหนังนั้นพยายามปูให้เห็นว่านิวคาสเซิลกำลังย่ำแย่ด้วยฟอร์มที่ไม่เอาไหน พวกเขาต้องการจุดเปลี่ยนจากใครสักคน จากนั้น มูเนซ ก็เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์       


Photo : hitc.com

เช่นเดียวกันกับ อัลมิร่อน นั้นย้ายเข้ามาช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมเหมือนกัน สถานการณ์ก็คล้ายกันอีกต่างหาก เพราะ นิวคาสเซิล มีตัวเลือกในแนวรุกน้อยมาก นอกจาก อโยเซ่ เปเรซ และ ซาโลมง รอนดอน พวกเขาแทบไม่มีแนวรุกคนไหนที่ไว้ใจได้เลย ดังนั้นในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกฟอร์มของ นิวคาสเซิล จึงย่ำแย่และมีโอกาสที่จะต้องตกชั้นเป็นครั้งที่ 3 ในรอบทศวรรษ ส่วนเบอร์เสื้่อของทั้งคู่นั้นเลขเคลื่อนไปนิดเดียวเท่านั้นเองเพราะ ซานติอาโก้ ได้เสื้อเบอร์ 26 ขณะที่ อัลมิร่อน ได้ใส่เสื้อหมายเลข 24

อย่างไรก็ตามแม้เบอร์เสื้อจะต่างแต่ทั้งคู่เล่นตำแหน่งเดียวกัน นั่นคือตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ตัวปั้นเกมที่สามารถขยับไปเล่นในตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายได้ด้วย ทีเด็ดของทั้งสองคนอยู่ที่ความเร็วและการเลี้ยงบอล นอกจากนี้ยังโดดเด่นในด้านการสร้างโอกาสมากกว่าการยิงประตูเองอีกด้วย โดยในช่วงหนึ่งของเรื่อง Goal มูเนซ ก็ยังโดนโค้ชของ นิวคาสเซิล เตือนว่า "บอลเคลื่อนที่ไวกว่าคน ดังนั้นอย่าเลี้ยงเยอะ" จนต้องดองเขาไว้ข้างสนามอยู่หลายเกมเพื่อให้เรียนรู้ก่อน จากนั้น ซานติอาโก้ จึงค่อยๆ ปรับตัวและเปลี่ยนสไตล์การเล่นใหม่จนกลายเป็นคนสำคัญของทีม    

เช่นเดียวกันกับ อัลมิร่อน หลังจากได้ตัวเขามา ราฟา เบนิเตซ กุนซือของ นิวคาสเซิล ต้องรอให้เขาปรับตัวและซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมไป 2 นัด จึงค่อยส่งลงเล่นเกมแรกในการพบกับ วูล์ฟส์ (วันที่ 11 กุมภาพันธ์ หรือ 13 วันหลังจากย้ายทีม) โดยลงมาเป็นตัวสำรองในช่วง 18 นาทีสุดท้าย


Photo : talksport.com

"คำถามตามมาก็คือเรื่องของสภาพร่างกายในการเล่นพรีเมียร์ลีก นั่นคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างพรีเมียร์ลีกกับเมเจอร์ลีก การเล่นในพรีเมียร์ลีกที่เขาไม่รู้จักเป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก ดังนั้นเขาต้องการเวลาในการปรับตัว" นี่คือสิ่ง ราฟา บอกหลังจากได้ตัวเขามาร่าวมทีม ซึ่งหลังจากปรับตัวได้ อัลมิร่อน ก็โดดเด่นทันที นิวคาสเซิล มีสถิติแพ้แค่ 3 เกมเท่านั้น จาก 10 เกมที่ อัลมิร่อน ลงสนาม และหลังจากเขาช่วยทีมในแมตช์ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ในเดือน เมษายน นิวคาสเซิล ก็รอดตกชั้นอย่างเป็นทางการ  

ทั้ง ซานติอาโก้ และ อัลมิร่อน กลายเป็นขวัญใจชาวทูน อาร์มี่ อย่างรวดเร็ว สำหรับ อัลมิร่อน นั้นได้รับคำชมเต็มโลกโซเชียลหลังจากเขาลงมาโชว์ลีลาในเกมที่เอาชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 2-0 ซึ่งเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรก


Photo : telegraph.co.uk

"อัลมิร่อน คือชิ้นส่วนที่ขาดหาย เขาเป็นคนสร้างจุดเริ่มต้นในประตูแรกของเรา"

"อัลมิร่อน มันของจริงนี่หว่า ผู้เล่นระดับคุณภาพเลย" นี่คือบางสเตตัสในทวิตเตอร์ภายใต้แฮชแท็ก #NUHD

ไม่ใช่แค่คำชมในโซเชี่ยล ตอนที่เขาโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 81 แฟนๆ ใน เซนต์ เจมส์ พาร์ค ก็ลุกขึ้นสแตนดิ้ง โอเวชั่นให้กับเขาด้วย  

อย่าบอกนะว่า ...

ความจริงแล้วความคล้ายคลึงกันของทั้งสองคนถูกพูดถึงมาสักพักใหญ่แล้ว และหลายๆ คนก็คิดว่ามันเป็นการเปรียบเทียบแบบขำๆ เท่านั้น เพราะในภาคที่ 2 ซานติอาโก้ ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ก่อนจะพาทีมราชันชุดขาวยุค "กาแลคติกอส" ไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกต่างหาก ซึ่งเส้นทางนี้ยากมากที่ อัลมิร่อน ที่เพิ่งย้ายมาเล่นในยุโรปไม่ถึง 1 ปีจะเดินตามรอยได้ ... จนกระทั่งมีข่าวลือข่าวหนึ่งโผล่ขึ้นมาหลังฤดูกาลจบลง


Photo : thedailynewnation.com

อัลมิร่อน ติดทีมชาติ ปารากวัย ไปเตะฟุตบอล โคปา อเมริกา โดยในเกมที่ ปารากวัย พบกับ กาตาร์ สำนักข่าวของสเปนอย่าง AS ซึ่งเป็นสายมาดริดิสต้า (เชียร์ เรอัล มาดริด) อยู่แล้ว รายงานว่ามีทีมแมวมองของ เรอัล มาดริด เดินทางไปยังสนามแข่งดังกล่าวเพื่อดูฟอร์มของ อัลมิร่อน โดยเฉพาะ นอกจากนี้คล้อยหลังข่าวจาก AS เพียงวันเดียว มาร์กอส กอนซาเลซ จากสำนักข่าว Tyc Sport ก็โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า

"ฟังให้ดี! ผมยืนยันได้เลยว่า เรอัล มาดริด กำลังจับตาดูสถานการณ์ของ มิเกล อัลมิร่อน อย่างใกล้ชิด" นักข่าววงในมั่นใจเสียเต็มประดา โดยเขาอธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ อัลมิร่อน จะเพิ่งย้ายมาอยู่กับ นิวคาสเซิล แต่เขากำลังต้องคิดนักเมื่อทีมกำลังจะกลายเป็นของกลุ่มนายทุนจากอาหรับที่ชื่อว่า "บิน ซาเย็ด กรุ๊ป" โดยเหตุผลที่คิดหนักก็เพราะว่า ราฟา เบนิเตซ ที่เป็นคนนำตัวเขามาเล่นในอังกฤษ กำลังจะถูกกลุ่มทุนใหม่บีบให้ออก

มันอาจจะเป็นข่าวลือหรือไม่ก็ได้ ทว่าล่าสุดแบบสดๆ ร้อนๆ ทีมสาลิกาดงได้ร่อนแถลงการณ์ระบุว่า ราฟา จะไม่ต่อสัญญากับ นิวคาสเซิล หลังจากสัญญาฉบับปัจจุบันของเขาจะหมดลงในวันที่ 30 มิถุนายนนี้

ดูเหมือนว่าอะไรๆ มันจะตรงจนน่าขนลุก ถ้า อัลมิร่อน ย้ายไป เรอัล มาดริด จริงๆ ขึ้นมาล่ะก็ สิ่งที่เราต้องติดตามคือเขาจะพา ราชันชุดขาว คว้าแชมป์บิ๊กเอียร์ได้เหมือนกับที่ ซานติอาโก้ มูเนซ หรือตัวเขาอีกคนในอีก 1 จักรวาลทำได้หรือเปล่า ... โปรดติดตามตอนต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook