จุดเปลี่ยนที่ทำให้จอมโหด “วินนี่ โจนส์” เป็นสุดยอด “นักแสดงฮอลลีวู้ด”

จุดเปลี่ยนที่ทำให้จอมโหด “วินนี่ โจนส์” เป็นสุดยอด “นักแสดงฮอลลีวู้ด”

จุดเปลี่ยนที่ทำให้จอมโหด “วินนี่ โจนส์” เป็นสุดยอด “นักแสดงฮอลลีวู้ด”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากพูดถึง วินนี่ โจนส์ คอบอลอังกฤษในยุค 90s อาจจะรู้จักเขาในฐานะนักเตะพันธ์ดุ ที่ไล่หวดคู่แข่งเป็นว่าเล่น และเป็นหนึ่งในชุด “เครซี่แก๊ง” ของวิมเบิลดัน ที่พลิกล็อคดับลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 1988

แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาคือนักแสดงระดับฮอลลีวูด ที่มักปรากฎตัวในบทบาทของอันธพาล และมีผลงานมาแล้วกว่า 60 เรื่อง ตลอด 20 ปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการนี้

อย่างไรก็ดี โจนส์ เกือบจะไม่ได้มายืนอยู่ในจุดนี้ หากวันนั้นเขาเลือกเดินเส้นทางที่ถนัดต่อไป

จอมโหดแห่งฟุตบอลแดนผู้ดี

ในยุคที่กฎของฟุตบอลยังไม่เข้มงวดเหมือนดังปัจจุบัน นอกจากจากการเล่นที่พริ้วไหว หรือการจบสกอร์ที่แม่นยำแล้ว การเข้าปะทะที่หนักหน่วงแบบถึงลูกถึงคน ก็สามารถทำให้นักเตะกลายเป็นที่จดจำในหมู่แฟนบอลได้ และหนึ่งในนั้นคือ วินนี่ โจนส์ อดีตนักเตะระดับตำนานของวิมเบิลดัน


Photo : iNEws

โจนส์ เริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลตั้งแต่สมัยมัธยม เมื่อได้ทุนนักเรียนจากสโมสรวัตฟอร์ต แต่ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เขาดันมีปัญหาครอบครัวในช่วงนั้นพอดี จนไม่ได้เล่นฟุตบอลอยู่ระยะหนึ่ง แม้จะกลับมาได้แต่โอกาสก็ไม่คอยเขาอีกแล้ว

เขาเริ่มต้นใหม่ด้วยการเป็นนักเตะของทีมนอกลีกที่ชื่อว่า วีลสโตน และทำงานเป็นคนแบกปูนไปด้วยในวันที่ไม่มีแข่ง แต่เพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชรวันยังค่ำ เมื่อฝีเท้าเขาไปเตะตาวิมเบิลดันและได้ย้ายมาเล่นให้ทีมในปี 1986

“ผมได้เซ็นสัญญาเป็นนักเรียนทุนกับวัตฟอร์ดตั้งแต่อายุ 12 แต่หลังจากนั้นพ่อแม่ของผมก็เลิกกัน และผมก็ไม่ได้เตะบอลอีกเลยตลอด 3 ปี ผมต่อต้านพวกเขาและหนีออกจากบ้าน” โจนส์กล่าว

“แต่การได้กลับมาเล่นฟุตบอลทำให้ผมได้รู้ มันคือโอกาสครั้งที่ 2 ที่ผมต้องการ”


Photo : dailymail.co.uk

และที่แห่งนั้นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นชื่อเสียงของเขา ด้วยการเล่นที่ดุดัน ทำให้โจนส์ สถาปณาตัวเองขึ้นมาเป็นนักเตะสำคัญของวิมเบิลดัน และเป็นหนึ่งในสมาชิก “เครซี่แก๊ง” ที่รวมนักเตะพันธุ์ระห่ำอย่างเดนนิส ไวส์, จัสติน ฟานาชู และ ลอร์รี ซานเชส ไว้ด้วยกัน และมีส่วนช่วยทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพในปี 1988 ด้วยการพลิกล็อคเอาชนะลิเวอร์พูลทีมแกร่งของยุค

แม้จะย้ายไปเล่นให้กับ ลีดส์, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หรือเชลซี แต่โจนส์ ก็ไม่เคยเปลี่ยนสไตล์การเล่นที่เต็มไปด้วยพละกำลัง การเข้าสกัดคู่แข่งจนตัวลอยจากด้านหลัง หรือการกระโดดเท้าคู่หาคู่แข่งโดยไม่เกรงกลัวที่จะบาดเจ็บ ได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา จนได้รับฉายาว่า “ไอ้โรคจิต”

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้โจนส์ กลายเป็นที่จดจำของวงการฟุตบอลแดนผู้ดี คือการที่เขาไป “บีบไข่” พอล แกสคอยส์ โดยไม่มีเหตุผล ในเกมระหว่าง นิวคาสเซิล และ วิมเบิลดัน แม้ว่าเขาจะไม่ถูกลงโทษ แต่ช่างภาพก็ถ่ายรูปนี้ไว้ได้


Photo : Monte Fresco | Daily Mirror

ตลอดชีวิตการค้าแข้ง โจนส์ ถูกไล่ออกสนามไปถึง 12 ครั้ง และเป็นเจ้าของสถิติได้รับใบเหลืองที่เร็วที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ สมัยที่เล่นให้กับเชลซี หลังไล่หวด เดฟ ไวท์เฮาส์ของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในเวลาเพียง 2 วินาที ในปี 1992

“ไม่รู้ว่าผมสูงไป, ดิบไป, แกร่งไป รึเข้าพรวดไปรึเปล่า เพราะหลังจากนั้น 3 วินาที กลายเป็นว่าผมเข้าช้าไปแบบโคตรๆ เลย” โจนส์กล่าวในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัว

เขายังสร้างวีรกรรมด้วยการปรากฎตัวในวิดีโอที่ชื่อว่า Soccer’s Hardest Men ในปี 1992 ที่สาธิตวิธีการเป็นนักเตะพันธุ์โหด โดยรวบรวมภาพวิดีโอการเล่นจริงๆ ของเขาในสนาม รวมไปถึงสอนวิธีการทำฟาวล์ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ทำให้เขาถูกแบนยาว 6 เดือน และปรับอีก 20,000 ปอนด์ ข้อหาสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการฟุตบอล

ความมุทะลุ และบ้าดีเดือดของโจนส์ ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ไอ้โรคจิต” คนทั่วไปอาจจะมองว่าเขาเป็นคนอันตราย แต่ไม่ใช่สำหรับ กาย ริชชี่ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษที่มองเห็นบางอย่างในตัวเขา

สู่วงการมายา

แม้ว่าจะเป็นผู้เล่นที่คู่แข่งต้องขยาด จากสไตล์การเล่นแบบ “ฮาร์ดแมน” ที่พร้อมทำคู่แข่งเจ็บหนักได้ทุกเมื่อ แต่มันก็เปิดทางให้เขาได้เข้าสู่อีกเส้นทางนักแสดงอย่างไม่รู้ตัว ตั้งแต่สมัยยังค้าแข้ง


Photo : www.imdb.com

บุคลิกที่โดดเด่นของ โจนส์ ทำให้เขาได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง Lock, Stock and Two Smoking Barrels ของกาย ริชชี่ ในปี 1998 ในบท บิ๊ก คริส นักฆ่าผู้เงียบขรึม ที่แฝงไปด้วยความโหด และพร้อมจะยิงหัวคนได้ทุกเมื่อ

ผลงานดังกล่าวได้ปูทางเขาสู่วงการฮอลลีวูด หลังประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1999 โจนส์ ได้มีโอกาสร่วมงานกับ กาย ริชชีอีกครั้ง รอบนี้เขารับบท Bullet Tooth Tony ในเรื่อง Snatch และต้องเล่นเป็นอันธพาลเช่นเคย


Photo : Writeups.org

อย่างไรก็ดี ภาพยนตร์ที่ทำให้เขาแจ้งเกิด ก็คือเรื่อง Gone in 60 Seconds ที่กำกับโดย โดมินิค เซนา ที่ออกฉายในปีเดียวกัน เมื่อได้ประกบกับดาราระดับแม่เหล็กอย่าง นิโคลัส เคจ และ แองเจลีนา โจลี เขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในบทของ Sphinx แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวดีเช่นเคย เมื่อครั้งนี้เขาต้องเล่นเป็นโจรขโมยรถ

เขาได้ร่วมงานกับ โดมินิค เซนา อีกครั้งในเรื่อง Swordfish ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ออกฉายในปีต่อมา โดยครั้งนี้เขารับบทเป็นลูกน้องผู้เหี้ยมโหดของ กาเบรียล เชึยร์ ซึ่งรับบทโดย จอห์น ทราโวตา

จากนั้นบทบาทอันธพาลกับ โจนส์ ก็กลายเป็นของคู่กันโดยปริยาย บทส่วนใหญ่ของเขามักจะเป็นนักฆ่า หรือลูกน้องสุดโหด ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจกับบทบาทนี้

“ผมเพียงคิดว่าผมต้องมั่นคงก่อนที่จะเริ่มเลือกเล่นบทนั้นบทนี้ ผมคิดว่าจอห์น เวย์น หรือสตีฟ แม็คควีน คนเหล่านี้ก็ทำแบบนี้ ตอนนี้ผมแค่ต้องทำงานออกมาให้ดีที่สุด” โจนส์ให้สัมภาษณ์กับ IGN FILMFORCE


Photo : metro.co.uk

ในขณะเดียวกัน เขายังมีโอกาสได้เล่นบทที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบทของ แดนนี มีฮัน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ถูกส่งเข้าเรือนจำในเรื่อง Mean Machine หรือ แมด เมย์นาร์ด แกนนำฮูลิแกนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเรื่อง EuroTrip

เขายังมีโอกาสได้แสดงในภาพยนตร์ขื่อดังอย่างเรื่อง X-Men: The Last Stand ในปี 2006 และพากย์เสียง Freddie the Dog ในเรื่อง Madagascar 3: Europe's Most Wanted รวมไปถึงประกบกับสตาร์อย่าง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และ อาร์โนลด์ ชวาสเนคเกอร์ในเรื่อง Escape Plan ที่ออกฉายในปี 2013

ตลอด 20 ปีในเส้นทางนักแสดง โจนส์ ร่วมแสดงภาพยนตร์ไปกว่า 70 เรื่อง มีผลงานแสดงทางโทรทัศน์อีกนับ 10 ซึ่งถือว่าไม่เลวสำหรับคนที่เปลี่ยนอาชีพจากนักกีฬามาสู่วงการบันเทิง

ทว่า เขากลับมีสิ่งหนึ่งไม่ได้ทำในวงการฟุตบอลเพียงเพราะคนเพียงคนเดียว ที่ยังเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

ทางแยกที่ไม่ได้เดินไป

ย้อนกลับไปในช่วงท้ายของชีวิตการค้าแข้ง โจนส์ ในวัย 34 ปีได้มีโอกาสรับงานในตำแหน่งผู้เล่น-โค้ชให้กับ ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส สโมสรสุดท้ายก่อนแขวนสตั๊ด


Photo : @QPR90s

แม้ว่าเขาเพิ่งจะมีโอกาสแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Lock, Stock and Two Smoking Barrels แต่ฟุตบอลก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับโจนส์  เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะเดินหน้าต่อในเส้นทางนี้หลังเลิกเล่น

และโอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อเรย์ ฮาร์ฟอร์ด ผู้จัดการทีมของคิวพีอาร์โดนปลด ในช่วงต้นฤดูกาล 1998-1999 แต่เขาก็มีอุปสรรคสำคัญคือ เอียน ดาววีย์ หนึ่งในสต้าฟโค้ชของทีม ที่กำลังเล็งตำแหน่งนี้อยู่เช่นกัน

“ผมอยากจะอยู่ในวงการฟุตบอลต่อ นั่นคือความเสียใจที่สุดในชีวิตของผม” โจนส์กล่าวกับ Planet Football

“ผมใช้เวลากับการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับ เรย์ ฮาร์ฟอร์ดที่ ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ แต่เอียน ดาววีย์ ก็มาทำลับๆ ล่อๆ อยู่เบื้องหลัง และพยายามให้ได้งานใหญ่สุด ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผม”

“เขาคือตัวเลือกอันดับ 3 ในตอนนั้น และคิดว่าเขาควรเป็นอันดับ 1 แต่ผมกำลังจะได้รับช่วงต่อจากเรย์ ที่จริง คิวพีอาร์ เป็นสโมสรเล็กๆ ที่ยอดเยี่ยม ด้วยแฟนที่น่าทึ่ง และผมก็รู้สึกมาตลอดว่าผมจะได้งานที่นั่น”


Photo : www.planetfootball.com

ทว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่โจนส์หวังไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อควีนสพาร์ค ตัดสินใจเลือก ดาววีย์ ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ก่อนที่จะถูกปลดในอีก 18 วันต่อมา ในขณะที่การพลาดหวังในครั้งนั้นของโจนส์ ทำให้เขาตัดสินใจเบนเข็มสู่วงการฮอลลีวูด และสามารถแจ้งเกิดได้ในเวลาต่อมา

“สุดท้ายแล้วผมตัดสินใจไปลอส แอนเจลิส ผมได้บทในเรื่อง ‘Gone in 60 Seconds’ ที่เล่นร่วมกับ นิโคลัส เคจ และ แองเจลีนา โจลี ส่วนดาววีย์ กลายเป็นโค้ชทีมสำรอง ดังนั้นมันจึงเหมือนเป็นจุดหักเห” โจนส์กล่าวกับ talkSPORT

อย่างไรก็ดี แม้จะประสบความสำเร็จในเส้นทางนักแสดง แต่ในใจลึกๆ ของโจนส์ ฟุตบอลก็ยังเป็นสิ่งที่เขารักอยู่เสมอ และความผิดหวังนั้น ก็ยังคงเป็นบาดแผลในใจเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ผมจึงมีบาดแผลในใจหลังจากนั้น ผมอยากอยู่ในแวดวงผู้จัดการทีมและโค้ช แต่มันไม่เกิดขึ้น และชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเลย การแสดงเป็นอะไรที่น่าตื่นตาสำหรับผม” โจนส์กล่าวกับ Planet Football

“ผมเพิ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮฺอลลีวูดมูลค่า 6 ล้านเหรียญ และมีประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดในฐานะนักแสดง แต่ผมก็ยังเสียใจที่ผมไม่ได้งานรับช่วงต่อที่ควีนสพาร์ค”

ฮอลลีวูด ออลสตาร์

แม้ว่า โจนส์ จะไม่ได้งานในเส้นทางผู้จัดการทีมอย่างที่ใจต้องการ แต่เขาก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟุตบอลในวงการบันเทิงมาโดยตลอด เขามักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ในภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล


Photo : www.planetfootball.com

ล่าสุดเมื่อปี 2016 ชื่อของเขาปรากฎอยู่บนหน้าสื่อ เมื่อได้รับการเก็งว่าจะได้บทของ ไนเจล เพียร์สัน อดีตผู้จัดการเลสเตอร์ ซิตี้ ในภาพยนตร์ของ เจมี วาร์ดี ที่เล่าเรื่องจากนักเตะนอกลีกสู่สตาร์ทีมชาติอังกฤษ

โจนส์ยังมีทีมฟุตบอลของตัวเอง ฮอลลีวูด ออลสตาร์ โดยมีเขารับหน้าที่เป็นโค้ช มันทำให้เห็นว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือเปลี่ยนบทบาทไปอย่างไร ฟุตบอลก็อยู่ในใจของเขาเสมอ

“ผมมาที่นี่ (อเมริกา) และก่อตั้งทีมกึ่งสมัครเล่นที่ชื่อว่าฮอลลีวูด ออลสตาร์ และผมก็รักมันมากๆ” โจนส์กล่าวกับ talkSPORT

“ผมชอบเป็นโค้ชให้เด็กๆ ผมชอบการจัดการ ผมชอบดูแทคติกจากข้างสนาม”  

แม้ว่าสุดท้ายแล้วโลกลูกหนังอาจจะไม่มีชื่อของผู้จัดการทีมที่ชื่อว่า โจนส์ แต่จุดเปลี่ยนในครั้งนั้น ก็มีส่วนที่ทำให้โลกมีนักแสดงระดับฮอลลีวูดคนใหม่ขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน และบางทีเราอาจจะต้องขอบคุณ เอียน ดาววีย์ ที่คว้างานชิ้นนั้นไป

เพราะไม่มีใครรู้ว่าโจนส์ จะประสบความสำเร็จแค่ไหนในเส้นทางการคุมทีม แต่ที่แน่ๆ เขากลายเป็นนักแสดงในบทบาทสุดโหด ที่หลายคนต่างยอมรับ พิสูจน์จากภาพยนตร์กว่าครึ่งร้อยที่เขาได้ร่วมแสดง

ราวกับว่ามันคือจุดเริ่มต้นจากจุดจบของตัวเขาเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook