จับไก่ใส่เหรียญทอง : ขุดความบาดหมางสุดดุดัน "โฮย่า-ฟลอยด์"

จับไก่ใส่เหรียญทอง : ขุดความบาดหมางสุดดุดัน "โฮย่า-ฟลอยด์"

จับไก่ใส่เหรียญทอง : ขุดความบาดหมางสุดดุดัน "โฮย่า-ฟลอยด์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อเข้าสู่การเปลี่ยนจากยุคมวยเฮฟวี่เวตครองโลกสู่มวยรุ่นกลาง ทุกอย่างในวงการมวยสากลก็เปลี่ยนไป นอกจากศึกบนสังเวียนแล้วสิ่งที่นักชกทั้งหลายต้องฝึกปรือให้เก่งกาจไปพร้อมๆ กันคือการสร้างชื่อให้ตัวเองขายได้ด้วย เพราะหากพวกเขายิ่งเป็นข่าวมากเท่าไหร่มันก็หมายความว่าคนดูจะซื้อบัตรเข้ามาชมไฟต์ของเขามากเท่านั้น

และนี่คือเรื่องราวของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ในวันที่เขายังไม่ดังและยังไม่รวย นั่นจึงทำให้เขาต้องสร้างจุดเด่นด้วยการปั่นประสาทคู่ชกและสร้างความหมั่นไส้ไปทั่วปฐพี … และจะมีใครเหมาะไปกว่าวีรบุรุษของชาวอเมริกันอย่าง ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า

 

ว่าแต่ 'ไก่' มาเกี่ยวข้องกับความบาดหมางของทั้งคู่ได้อย่างไรกัน?

ความเหมือนที่แตกต่าง

จะว่าไป หากเทียบเส้นทางของ ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า กับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ คุณๆ อาจรู้สึกถึงความเหมือนกันอย่างประหลาด เพราะทั้งคู่เริ่มแจ้งเกิดจากการชกมวยสากลสมัครเล่น แถมยังมีโอกาสเป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกาไปล่าเหรียญทองในศึกโอลิมปิก มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติทั้งคู่

 1

ซึ่งหากจะหาสิ่งที่แตกต่างกันในตอนนั้น นอกจากเรื่องปีที่ขึ้นชก (เดอ ลา โฮย่า 1992 - ฟลอยด์ 1996) กับพิกัดน้ำหนัก (โฮย่า ไลท์เวต 60 กิโลกรัม - ฟลอยด์ เฟเธอร์เวต 57 กิโลกรัม) ก็เห็นจะเป็นบทสรุปสุดท้าย เพราะโฮย่าสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จจากชัยชนะเหนือ มาร์โก รูดอล์ฟ ของเยอรมนี ทว่าฟลอยด์กลับได้เพียงเหรียญทองแดงแบบช้ำใจ กับความพ่ายแพ้แบบค้านสายตาต่อนักชกบัลแกเรีย เซราฟิม โทโดรอฟ ในรอบรองชนะเลิศ

การเป็นยอดมวยเสื้อกล้ามอาจจะช่วยให้มีชื่อเสียงและเครดิตมากขึ้น แต่หากถอดเสื้อกับเฮดการ์ดเข้ามาลุยในเส้นทางนักชกอาชีพ สิ่งสำคัญกว่าคือผลงานบนเวทีต่างหาก ซึ่งทั้งโฮย่าและฟลอยด์ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร้ข้อสงสัย เมื่อพวกเขาสามารถคว้าเข็มขัดแชมป์โลกมาประดับบนบ่าได้ทั้งคู่

แต่ท่ามกลางความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ทั้งสองกลับเลือกที่จะเดินบนเส้นทางอันแตกต่าง เพราะในขณะที่โฮย่าเลือกเส้นทางสายธรรมะ ไม่สร้างศัตรูกับใคร ให้สมกับฉายา 'Golden Boy' ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก ทว่าฟลอยด์เลือกที่จะมาสายอธรรมเต็มสูบ โดยเฉพาะกับฝีปากอันจัดจ้าน ด่ากราดคู่ชกทุกคนตรงหน้า ซึ่งแม้จะเป็นตัวร้ายแต่ก็หาได้แคร์ไม่ เพราะสิ่งที่ยิ่งกว่าฝีปากคือฝีมือ ถึงคู่ชกอยากจะตั๊นหน้าให้หงายหลังสักแค่ไหน สุดท้ายชื่อที่ถูกประกาศว่าเป็นผู้ชนะก็ยังเป็น ฟลอยด์ เมยเวทเธอร์ จูเนียร์ อยู่ดี

ปัญหาครอบครัว

แม้คนสองคนจะแตกต่างกันแค่ไหน แต่หากอยู่บนเส้นทางอาชีพเดียวกันแล้ว การเผชิญหน้ากันย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เหลือแค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

 2

ด้วยพิกัดน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน การปะทะกันระหว่าง เดอ ลา โฮย่า กับ เมย์เวทเธอร์ คือสิ่งที่หลายฝ่ายคาดว่าจะต้องเกิดขึ้น และหลังจากที่คาดเดากันมานาน ในที่สุดก็ได้มีการประกาศว่า การเจรจาทุกอย่างลุล่วง ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า กับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จะขึ้นฟาดปากกันในวันที่ 5 พฤษภาคม 2007 ที่ ลาส เวกัส เมกกะแห่งวงการมวยยุคใหม่ของสหรัฐอเมริกา

แม้ศักดิ์ศรีบนสังเวียนอาชีพของโฮย่าจะเหนือกว่า กับการเป็นแชมป์โลกถึง 6 รุ่น และในวันที่ประกาศไฟต์ เขายังมีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์โลก WBC รุ่นไลท์มิดเดิ้ลเวต 154 ปอนด์ ซึ่งเป็นเส้นที่ฟลอยด์ต้องทำน้ำหนักขึ้นไปท้าชิง แต่หลายคนก็มองว่า รูปเกมน่าจะออกมาสูสี เพราะแม้โกลเด้นบอยจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าตามหน้าเสื่อ แต่ฟอร์มการชกในระยะหลัง นับตั้งแต่เสียสถิติพ่ายครั้งแรกให้กับ เฟลิกซ์ ตรินิแดด โคตรมวยแห่งเปอร์โตริโกเมื่อปี 1999 ก็แพ้ยอดมวยอเมริกันอย่าง เชน มอสลี่ย์ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา และ เบอร์นาร์ด ฮอปกิ้นส์ อีกครั้ง อีกทั้งอายุในวันกำหนดชกยังปาเข้าไปถึง 34 ปี ต่างจากฟลอยด์ที่กำลังเป็นมวยฟอร์มแรง เป็นแชมป์โลกมาแล้วถึง 4 รุ่น และที่สำคัญที่สุดคือ สถิติการชกของเขาอ่านได้ว่า 'ชนะรวด ไม่เคยแพ้'

 3

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องราวภายในครอบครัวเมย์เวทเธอร์ให้เป็นประเด็นอีก เมื่อเทรนเนอร์คู่บุญมาตั้งแต่ปี 2001 ของโฮย่าดันมีชื่อว่า ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามว่า ฟลอยด์ ซีเนียร์ จะยอมรับงานสอนคู่ชกที่ทำให้ลูกชายของตัวเองต้องพบกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกหรือไม่

ซึ่งเรื่องราวก็จบแบบดับเบิลไคลแมกซ์ เพราะฟลอยด์ ซีเนียร์ พร้อมที่จะเป็นเทรนเนอร์ให้โฮย่า ทว่าการเจรจาก็พังครืนในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่โกลเด้นบอยจะเลือก เฟรดดี้ โรช มารับหน้าที่แทน โดย แดน ราฟาเอล นักข่าวของ ESPN ยืนยันว่า สาเหตุที่ดีลล่มไม่ได้มาจากปัญหาครอบครัว แต่ขึ้นกับ 'เงิน' ล้วนๆ

การตลาดหรือล้ำเส้น?

การพบกันของยอดมวยเหลื่อมยุค บวกกับดราม่าเล็กๆ ในครอบครัว เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ไฟต์ขายได้ บัตรเข้าชมการชกในสนามหมดเกลี้ยงในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงของวันแรกที่เปิดขาย ทั้งๆ ที่ยังเหลือเวลาเกือบ 5 เดือนก่อนขึ้นฟาดปาก สมกับคำโปรยของไฟต์นี้ที่ว่า 'The World Awaits' อย่างแท้จริง

 4

เท่านั้นไม่พอ HBO สถานีโทรทัศน์ที่ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ยังได้ถ่ายทำสารคดีกึ่งเรียลลิตี้ 'De La Hoya-Mayweather 24/7' เพื่อตามติดการเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นชกของทั้งคู่เป็นการเรียกน้ำย่อย ซึ่งถือได้ว่าเป็นออเดิร์ฟสุดแซ่บอย่างแท้จริง

เพราะนอกจากเรื่องราวดราม่าในครอบครัวเมย์เวทเธอร์จะถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งแล้ว ตัวของฟลอยด์เองก็ยังเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องราวตลอดทั้ง 4 ตอนครบรสชาติ ซึ่งสาเหตุนั้นก็มาจากฝีปากของเจ้าตัวเองนั่นแหละ

"มึงอ่ะหน้า... ส่วนกูน่ะตัวท็อป จำใส่กะโหลกไว้ กูจะทุบมึงจนต้องกราบ และกูจะอัดมึงให้ยับแบบต้องร้องขอให้หยุดเลยล่ะเว้ย"

 5

นี่คือหนึ่งในโควตคำพูดเด็ดของฟลอยด์ที่เหยียดหยามคู่ชกที่มีอายุมากกว่า 4 ปีแบบไม่มีเม้ม มิเพียงเท่านั้น สารพัดคำหยามทั้งแก่, อ่อนฝีมือ และอีกหลายสิ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากปากแบบไม่มียั้ง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาคงไม่แสบสันเท่ากับวีรกรรมบนเวทีแถลงข่าวครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นชกอีกแล้ว

เพราะในวันนั้น หลังจากที่มีการแนะนำคู่ชกทั้งสองเสร็จสิ้น ฟลอยด์ก็ถือคติ 'ใส่ก่อนได้เปรียบ' ทันที ด้วยการสั่งลูกน้องให้ "พาออสการ์ขึ้นมานี่หน่อย"

สิ่งที่ปรากฎต่อสายตาทุกคน คือไก่เป็นๆ ตัวหนึ่งในกรงที่ติดข้อความว่า 'Golden Girl' ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือการล้อเลียนโกลเด้นบอยอย่างโฮย่าแบบเต็มๆ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังหยามให้ถึงที่สุด ด้วยการเปิดกรงออกมา ก่อนที่จะค่อยๆ คล้องเหรียญทองให้แล้วแนะนำไก่ตัวดังกล่าวกับทุกคนว่า "นี่แหละครับ ออสการ์"

 6

หลังจากนั้นก็ได้เวลาที่ฟลอยด์จะจัดทอล์คโชว์ยำด่ากราดคู่ชกชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการอวยตัวเองอย่างสุดลิ่มอย่าง "กูเก่งที่สุด", "กูเก่งเกินไปสำหรับมึง" เช่นเดียวกับการตอกย้ำถึงความแก่และฟอร์มที่ไม่ดีเหมือนเดิมของอีกฝ่าย เรียกเสียงเฮจากแฟนมวยที่เข้ามาชมการแถลงข่าวอย่างกึกก้อง ทว่าโฮย่ายังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อย่างดี เมื่อตัวเขาตอบเพียงสั้นๆ แต่ชัดเจนและตรงๆ ว่า

"มันมีเวลาที่พวกขี้โม้จะได้ในสิ่งที่พวกเขาสมควรได้ และนั่นคือสิ่งที่รอเมย์เวทเธอร์อยู่ในวันที่ 5 พฤษภาคม"

ชัยชนะที่กังขา?

และในที่สุด วันที่ทั้งโลกรอคอยก็มาถึง… วันที่ ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า ขึ้นชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

 7

รูปเกมเป็นฝ่าย เดอ ลา โฮย่า ที่เก็บความแค้นจากการถูกเหยียดหยามมาตลอดก่อนหน้า เดินเข้าหาด้วยความดุดันเต็มพิกัด ทว่าฟลอยด์ใช้เกมป้องกันทั้งการ์ดและฟุตเวิร์กระดับเทพต้านทานไว้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถดักสวนจังหวะสองได้อย่างเข้าเป้า

ข้อมูลจาก CompuBox ระบุว่า แม้จำนวนหมัดที่ปล่อยออกมาของฟลอยด์จะน้อยกว่า ทั้งจำนวนหมัดทั้งหมด (481-587) และหมัดที่ออกแรงจากไหล่โดยตรงหรือ Power Punch (241-341) แต่หมัดที่เข้าเป้าไม่ติดการ์ดของฟลอยด์กลับมีมากกว่าทั้ง 2 ประเภท (207-122, 138-82) หรือพูดให้ชัดก็คือ หมัดฟลอยด์เข้าเป้ากว่าทั้งจำนวนทั้งหมด (43%-21%) และหมัดจากไหล่ (57%-24%)

ดูจากสถิติตรงนี้ หลายคนคงคิดว่าฟลอยด์น่าจะเอาชนะไปแบบสบายๆ ทว่ากรรมการทั้ง 3 คนที่อยู่ด้านล่างก็ไม่ถึงกับเห็นพ้องเสียทีเดียว เมื่อคะแนนสุดท้ายออกมาว่า ฟลอยด์ชนะไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ 113-115, 116-112, 115-113

 8

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หนึ่งในคนที่เห็นว่าฟลอยด์ไม่สมควรชนะก็คือ ฟลอยด์ ซีเนียร์ คุณพ่อบังเกิดเกล้านั่นเอง

"ผมคิดว่าออสการ์ชนะคะแนนในไฟต์นี้นะ เขาปล่อยหมัดมากกว่า ดุดันกว่า ลูกผมถึงจะมีเกมป้องกันที่ดี แต่ออสการ์เขากดดันอีกฝ่ายมากพอที่จะชนะนะ"

ทว่ามันก็ยังมีคำถามถึงสิ่งที่ฟลอยด์ ซีเนียร์พูดอยู่ดีว่า พูดจริงหรือหวังเอาใจ? เมื่อมีการเปิดเผยว่า ที่นั่งชั้นริงไซด์มูลค่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เมย์เวทเธอร์ผู้พ่อได้นั่งในไฟต์ดังกล่าว ไม่ได้มาจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่กลับได้จากอดีตลูกศิษย์อย่าง เดอ ลา โฮย่า เสียอย่างนั้น

กำเนิด 'The Money'

ไม่ว่าผลการชกจะออกมาชวนกังขาแบบใด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ไฟต์ดังกล่าวถือเป็นการเปิดตัว ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ สู่การเป็น 'มวยแม่เหล็ก' อย่างแท้จริง

 9

เพราะถึงฟลอยด์จะได้ค่าตัวจากการชกเพียง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น้อยกว่า เดอ ลา โฮย่า ที่ได้ถึง 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กว่าเท่าตัว แต่ก็ช่างปะไร เพราะนี่คือไฟต์ที่คู่ชกได้เงินค่าตัวสูงสุด ณ เวลานั้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำลายสถิติอีกมากมาย ทั้งเป็นไฟต์ที่เก็บเงินค่าบัตรได้มากที่สุด มากกว่า 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ยอดซื้อ เพย์-เพอร์-วิว สูงสุด 24 ล้านวิว กวาดรายได้ไปอีกมากกว่า 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกว่าที่จะมีไฟต์ที่ทำลายสถิติ เพย์-เพอร์-วิว ได้ ก็ต้องรอจนถึงปี 2015 ที่ฟลอยด์ตกลงทำ 'ไฟต์แห่งศตวรรษ' กับ แมนนี่ ปาเกียว

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฟลอยด์สามารถทิ้งฉายา 'Pretty Boy' นักชกหน้าสวยผู้ไม่เคยถูกใครต่อยให้ต้องเสียโฉม สู่ 'The Money' หรือตัวทำเงินทำทองอย่างแท้จริง เมื่อนับแต่นั้นมา ฟลอยด์ก็โกยทรัพย์จากการชกมากมายมหาศาลชนิดที่ใช้ทั้งชาติก็ยังไม่หมด

 10

และแม้แผนการที่จะจัดไฟต์รีแมตช์ระหว่างฟลอยด์และโฮย่าในปี 2008 จะไม่เกิดขึ้น เมื่อฟลอยด์ตัดสินใจแขวนนวมหนแรกหลังจากไฟต์ที่ชนะมาเมื่อปี 2007 ขณะที่โฮย่าเลิกชกมวยอาชีพถาวรในช่วงปลายปีดังกล่าวหลังความพ่ายแพ้ต่อ แมนนี่ ปาเกียว ทว่าความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ก็ยังคงรุนแรงมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อต่างฝ่ายที่ต่างก็เปิดเส้นทางใหม่ในการเป็นโปรโมเตอร์ เปิดสงครามน้ำลายอย่างต่อเนื่อง จน ริชาร์ด เชเฟอร์ ซีอีโอของ โกลเด้นบอย โปรโมชั่นส์ ของโฮย่าเองยังเหนื่อยใจ

"ผมนี่ต้องคอยเล่นบทคนกลางให้ทั้งคู่อยู่เสมอ เพราะความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกันนั้นแย่เอามากๆ เวลาเจอกันทีไรก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ยากเกินควบคุม ซึ่งผมคิดว่าคงต้องเอาหมวกกันน็อกมาใส่กันแรงกระแทกจากทั้งคู่ละ"

 11

แต่ความสัมพันธ์ของคู่นี้ก็ยากแท้หยั่งถึงอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเราสืบสาวราวเรื่องไปอีกก็พบว่า เมย์เวทเธอร์ โปรโมชั่นส์ ที่ฟลอยด์เปิดขึ้นหลังจากชัยชนะเหนือโฮย่าเพื่อดูแลการชกของตัวเองในเวลาต่อมารวมถึงปั้นนักชกเลือดใหม่ กลับมีพันธมิตรสำคัญรายหนึ่งที่ยังคงร่วมมือกันในการจัดไฟต์ชกต่างๆ ถึงทุกวันนี้ และชื่อนั้นคือ… โกลเด้นบอย โปรโมชั่นส์ ของ ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า นั่นเอง

บางที ความบาดหมางระหว่างกันนี่แหละ ที่ทำให้การเป็นโปรโมเตอร์มวยของทั้งคู่นั้นประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ จับไก่ใส่เหรียญทอง : ขุดความบาดหมางสุดดุดัน "โฮย่า-ฟลอยด์"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook