WWE ไลฟ์อิน ซาอุฯ กับความมืดดำ ภายใต้สังเวียนและถุงเงินก้อนโต

WWE ไลฟ์อิน ซาอุฯ กับความมืดดำ ภายใต้สังเวียนและถุงเงินก้อนโต

WWE ไลฟ์อิน ซาอุฯ กับความมืดดำ ภายใต้สังเวียนและถุงเงินก้อนโต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“WWE” คือ สมาคมมวยปล้ำอันดับหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบัน อย่างไม่ต้องสงสัย ความนิยม ของสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์ค่ายนี้ โด่งดังไปทั่วทุกพื้นที่ของโลก ตั้งแต่อเมริกา ผ่านข้ามยุโรป มาจนถึงเอเชีย

แต่มีอยู่ประเทศหนึ่ง ที่มีความสนใจ ในมวยปล้ำแบบฉบับ WWE ถึงขั้นทุ่มเงิน ทำลายสถิติทุกโชว์ ที่ WWE เคยจัดมา เพื่อให้สมาคมแห่งนี้ ไปจัดโชว์ระดับศึกใหญ่ ครั้งแรกในดินแดนแห่งนั้น 

ซาอุดิอาระเบีย คือ ประเทศนั้น พวกเขายอมทุ่มเงิน ระดับร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ จ้าง WWE ให้ไปจัดโชว์ศึกใหญ่ มาแล้วถึง 3 ครั้ง ในช่วงประมาณรอบปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเม็ดเงินมหาศาล ที่สามารถซื้อ WWE ให้ไปจัดโชว์ศึกใหญ่ ถึงดินแดนเอเชียตะวันออกกลาง อันห่างไกล แต่ไม่ได้หมายความว่าเงิน จะซื้อได้ทุกสิ่ง

นักมวยปล้ำหลายคน ปฏิเสธที่จะไปปล้ำที่ซาอุดิอาระเบีย และในขณะเดียวกัน นักมวยปล้ำบางคนก็ถูกปฏิเสธ ไม่ให้ขึ้นปล้ำที่นี่เช่นเดียวกัน

เรื่องราวอันซับซ้อนนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ขอเชิญไปพบกับเรื่องราว อันซับซ้อน ระหว่าง WWE กับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งไม่ได้มีแค่เรื่องราว บนเวทีมวยปล้ำ เพียงอย่างเดียว

เงิน เงิน เงิน

 1

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การจัดโชว์นอกประเทศของ WWE ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ พราะทุกหนแห่ง ที่ WWE ไปจัดโชว์ ต้องมั่นใจได้ว่า ตั๋วที่เปิดขาย จะต้องขายหมดเกลี้ยง และ ต้องเป็นพื้นที่ ซึ่งมวยปล้ำได้รับความนิยมเป็นกีฬาชั้นนำ

ด้วยเหตุนี้ WWE จึงนิยมจัดโชว์ อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรปตะวันตก และประเทศญี่ปุ่น เป็นหลัก เพราะพื้นที่เหล่านี้ กีฬามวยปล้ำ ถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง มีสมาคมมวยปล้ำ กระจายอยู่ทุกหนแห่งเต็มไปหมด

กระนั้น ในเดือนธันวาคม ปี 2013 มีเรื่องราวที่น่าตกใจเล็กๆ เมื่อ WWE ประกาศจะจัดโชว์ แบบไม่ฉายทางโทรทัศน์ (ภาษามวยปล้ำเรียกว่า เฮาส์โชว์-House Show) ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ดินแดนที่ WWE ไม่เคยไปจัดโชว์มาก่อนหน้านี้

 2

“เรามีความคิด ที่จะกลับมาจัดโชว์ที่ เอเชียตะวันออกกลาง มานานแล้ว การที่เราจะมาจัดโชว์ที่ ซาอุดิอาระเบีย คือก้าวสำคัญ ในการขยายตลาด ความนิยมของสมาคม ในภูมิภาคนี้” เกอร์ริต ไมเออร์ (Gerrit Meier) รองประธานของ WWE ในช่วงเวลานั้น กล่าวถึงเหตุผลที่ WWE ตัดสินใจจัดโชว์ที่ซาอุฯ

ในความเป็นจริงแล้ว แม้กีฬามวยปล้ำ จะไม่ใช่กีฬาที่ชาวตะวันออกกลางนิยมเล่น หรือมีสมาคมมวยปล้ำมากมาย แบบในอเมริกา 

แต่กีฬาชนิดนี้ ถือเป็นกีฬาที่มีเรตติ้งผู้ชม ทางโทรทัศน์ ระดับแถวหน้า ที่รายการรอว์ (Raw) และสแม็คดาวน์ (Smack Down) ของ WWE เป็นรายการกีฬาประจำสัปดาห์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในซาอุดิอาระเบีย

WWE ได้ลองชิมลาง จัดโชว์ไม่ออกทีวี ที่ซาอุดิอาระเบีย ตลอดช่วงปี 2014-2016 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้ WWE เกิดความคิด ที่จะเจาะตลาด ในพื้นที่เอเชียตะวันออกกลาง แบบจริงจัง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ ถึงขั้นทำช่องทีวี ของตัวเองโดยเฉพาะ เพื่อฉายในภูมิภาคนี้มาแล้ว 

ทว่า สิ่งที่ WWE ได้รับกลับมา จากความคิดนี้ มีมูลค่ามากกว่าที่ใครจะคาดถึง เมื่อรัฐบาลของซาอุฯ ยอมทุ่มเงินถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,567 ล้านบาทไทย) เพื่อให้ WWE ไปจัดโชว์ระดับศึกใหญ่ ที่ซาอุดิอาระเบีย

 3

ซึ่งเงินก้อนนี้ คือเงินมากที่สุดที่ WWE เคยได้รับจากการจัดโชว์ทั้งหมด ในประวัติศาสตร์ ของสมาคม แม้แต่ Wrestlemania (เรสเซิลเมเนีย) โชว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ประจำปี ของ WWE ยังไม่เคยทำเงินให้กับสมาคม ได้เท่านี้มาก่อน

ด้วยเหตุนี้ WWE จึงรีบประกาศจัดโชว์ Greatest Royal Rumble (เกรตเตส รอยัล รัมเบิล) แบบกระทันหัน เพียงแค่ 1 เดือน ก่อนที่โชว์จะจัดขึ้นจริง ในวันที่ 27 เมษายน 2018 ทั้งที่โดยปกติแล้ว การประกาศจัดศึกใหญ่ ต้องประกาศล่วงหน้ากันเป็นปี เลยทีเดียว

เม็ดเงินมหาศาลทำให้ WWE ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของซาอุดิอาระเบีย และหลายครั้ง ซาอุดิอาระเบีย สามารถถืออำนาจไว้เหนือ WWE นั่นคือสามารถจัดโชว์ หรือเลือกผลการปล้ำ ได้ตามที่ตัวเองต้องการ

ไม่ว่าจะเป็นการจัดแมทช์ รอยัล รัมเบิล แมทช์การปล้ำขึ้นชื่อของ WWE ในโชว์ที่ซาอุ แถมมีนักมวยปล้ำร่วมปล้ำ มากถึง 50 คน, สร้างเข็มขัดของตัวเองในชื่อ WWE Greatest Royal Rumble (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เกรตเตส รอยัล รัมเบิล)

 4

ไปจนถึง การเอานักมวยปล้ำอย่าง ชอว์น ไมเคิลส์ (Shawn Michaels) นักมวยปล้ำ ระดับตำนาน ที่เลิกปล้ำไปอย่างยาวนาน กลับคืนสู่สังเวียน ครั้งแรกในรอบ 8 ปี ขณะที่สตาร์ดังอย่าง ทริปเปิล เอช (Triple H) และ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ (The Undertaker) ซึ่งไม่ได้ปล้ำแล้ว ในโชว์ปกติทั่วไป ล้วนปล้ำทั้ง 3 โชว์ที่จัดขึ่น ในซาอุดิอาระเบีย

หากจะหาคำตอบว่า ทำไม WWE ถึงต้องยอม จัดหนักจัดเต็มให้ซาอุดิอาระเบีย นั่นเป็นเพราะว่า สมาคมแห่งนี้ ทำสัญญายาว 10 ปี ในฐานะพาร์ทเนอร์ ด้านกีฬา ซึ่ง WWE ได้รับเงินตอบแทนมากถึง 450 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินง่ายๆ แค่ประมาณ 14,102 ล้านบาท เท่านั้นเอง

สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้

มีคำกล่าวว่า “เงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่ง” เช่นเดียวกัน ในกรณีนี้ แม้ซาอุดิอาระเบีย จะสามารถดึงนักมวยปล้ำ ระดับตำนานให้กลับมาคืนสังเวียน หรือจัดแมทช์ เลือกผู้ชนะตามที่ตัวเองต้องการ แต่นักมวยปล้ำหลายคน ปฏิเสธที่จะทำงาน ให้กับ WWE ที่ซาอุดิอาระเบีย

เรื่องนี้เริ่มต้นจาก การเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา ของจามาล คาชอกกี (Jamal Khashoggi) นักข่าวชื่อดัง ชาวซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกฆาตกรรม หลังจากหายตัวไป ในสถานกงสุลของซาอุฯ ที่ประเทศตุรกี และไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

5

รัฐบาลของซาอุดิอาระเบีย ถูกโจมตีอย่างหนัก ว่าอยู่เบื้องหลังการตาย ของจามาล เนื่องจาก จามาล เป็นนักเขียนที่ขึ้นชื่อ ในการวิจารณ์การทำงาน ของรัฐบาลซาอุฯ และด้วยความไม่เป็น ประชาธิปไตย ของสังคมซาอุฯ ทำให้จามาลถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง จนเขาต้องอพยพ เป็นผู้ลี้ภัย ของสหรัฐอเมริกา

การเสียชีวิต ของจามาล ในฐานะผู้ลี้ภัย ของสหรัฐฯ และนักข่าว ของ วอชิงตัน โพสต์ (Washington Post) สร้างความเดือดดาล ให้กับ รัฐบาล และประชาชนชาวสหรัฐฯ อย่างมาก จนถึงขั้นมีการส่ง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ (CIA) หน่วยสืบสวน ของสหรัฐฯ ไปที่ตุรกี เพื่อค้นหาความจริง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้แรงกดดันข้ามมาถึง WWE ที่กำลังจะจัดโชว์ศึกใหญ่ครั้งที่ 2 ที่ซาอุฯ ในโชว์ Crown Jewel (คราวน์ จีเวล) ซึ่งการตายของจามาล เกิดขึ้นก่อนจัดโชว์นี้ เป็นเวลา 1 เดือนพอดิบพอดี

แม้จะมีแรงกดดัน จากฝั่งการเมือง ให้ WWE ยกเลิกโชว์ ที่ซาอุดิอาระเบีย แต่ WWE ที่รับเงินก้อนโต มาจากทางซาอุฯ ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่า ยอมปิดตา และเดินหน้าจัดโชว์ต่อไป ท่ามกลางเสียงวิจาร์ณของสังคม

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้สตาร์ดัง อย่าง จอห์น ซีนา (John Cena) และ แดเนียล ไบรอัน (Daniel Bryan) ประกาศถอนตัว จากการปล้ำที่ซาอุฯ ทั้งที่สองคนนี้ แต่เดิมมีโปรแกรม ต้องขึ้นปล้ำ ในศึก Crown Jewel

 6

เนื่องจากทั้งสองคน ต้องการประท้วง ต่อการเสียชีวิต อย่างเป็นปริศนา ของจามาล รวมถึงเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง จากกรณีที่เกิดขึ้น แม้การเสียชีวิต ของจามาล จะไม่ได้เกิดขึ้นในดินแดนของ ซาอุดิอาระเบีย ก็ตาม

นอกจากสองรายข้างต้น แซมี เซย์น (Sami Zayn) เป็นอีกคนที่ปฏิเสธ การไปปล้ำที่ซาอุฯ เพราะเขาเป็นคนเชื้อสายซีเรีย ชาติที่มีปัญหาทางการเมือง กับซาอุฯ ในปัจจุบัน 

รวมไปถึงอดีตแชมป์โลก อย่าง เควิน โอเวนส์ (Kevin Owens) ซึ่งปฏิเสธ การไปทำงานที่ซาอุฯ เพื่อสนับสนุนจุดยืนของเพื่อนซี้ อย่างเซย์น ที่ต่อต้าน รัฐบาลซาอุฯ กับการมีส่วน สนับสนุน ให้เกิดสงครามกลางเมือง ในซีเรีย 

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลายคน สามารถถอนตัว ออกจากการปล้ำที่ซาอุฯ บางคนอาจไม่โชคดีแบบนั้น เดฟ เมลท์เซอร์ (Dave Meltzer) กูรูของวงการมวยปล้ำ เปิดเผยว่า นักมวยปล้ำส่วนใหญ่ ไม่ต้องการไปปล้ำที่ ซาอุดิอาระเบีย แต่ไม่ใช่ทุกคน ที่สามารถทำตามความปรารถนา ของตัวเอง

 7

“ไบรอัน สามารถถอนตัวได้ เพราะเขามีอำนาจหลังฉาก เขาคือสตาร์ระดับสูง รับค่าเหนื่อยระดับต้นของสมาคม แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์แบบนั้น” 

“คนส่วนใหญ่ ไม่อยากไปปล้ำที่ซาอุฯ ทุกคนรู้ดีว่า การไปปล้ำที่นั่นจะเจอแต่ปัญหา หลายคนบอกผมว่า ที่นั่น ไม่ใช่สถานที่ ที่ควรจะจัดโชว์มวยปล้ำด้วยซ้ำ”

“นักมวยปล้ำบางคนบอกว่า การปล้ำที่นั่น มันแย่กว่าที่ทุกคนคิด มีนักมวยปล้ำคนหนึ่ง พูดกับผมว่า เขาจะไม่มีทาง กลับไปปล้ำที่นั่นอีก น่าเสียดาย ที่เขาไม่มีอำนาจ ตัดสินใจเรื่องนี้”

ไม่มีพื้นที่ สำหรับผู้หญิง

ในขณะที่นักมวยปล้ำชายบางคน ยังมีสิทธิ์เลือกว่าจะไปทำงาน ที่ซาอุดิอาระเบียหรือไม่ แต่นักมวยปล้ำหญิง ไม่มีทางเลือกแบบนั้น เพราะพวกเธอ ไม่ได้รับสิทธิ์ให้ไปปล้ำที่ซาอุฯ ตามกฎหมายของชาติตะวันออกกลาง

เป็นที่รู้กันดีว่าสิทธิสตรี ในพื้นที่ของชาติอาหรับ ยังไม่ได้รับการเปิดรับ แบบชาติตะวันตก ก่อนหน้านี้ ที่ซาอุดิอาระเบีย ถึงขั้นมีกฎหมาย ห้ามผู้หญิงเล่นกีฬา เสียด้วยซ้ำ

แม้จะมีการผ่อนปรนในช่วงหลัง เช่น การส่งนักกีฬาหญิง เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก ครั้งแรกในปี 2012 แต่ประเภทกีฬา ยังคงถูกจำกัด แค่ 2-3 ชนิดกีฬา ซึ่งต้องเป็นกีฬา ที่ผู้หญิง สามารถใส่ชุดคลุมทั้งตัว (เว้นเพียงส่วนใบหน้า) ลงแข่งขันได้

 8

ดังนั้น สำหรับกีฬามวยปล้ำอาชีพ ที่นักมวยปล้ำหญิง ใส่เครื่องแต่งกายน้อยชิ้น ขึ้นสู่สังเวียน จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ที่กีฬาประเภทนี้ จะอนุญาตให้ผู้หญิงทำการแข่งขัน ในซาอุดิอาระเบีย

อย่างไรก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากแฟนมวยปล้ำ และนักสิทธิมนุษยชน ถาโถมโจมตี ไปหา WWE เนื่องจากก่อนหน้านี้ WWE มีส่วนสำคัญ ในการผลักดันสิทธิสตรี สร้างความเท่าเทียม มาโดยตลอด ถึงขั้นสามารถจัดแมทช์ มวยปล้ำหญิง ครั้งแรก ในพื้นที่เอเชียตะวันออกกลาง ที่อาบู ดาบี ประเทศสหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ เมื่อปี 2017

การตกลงจัดโชว์ระดับศึกใหญ่ของ WWE ที่ซาอุฯ โดยไม่มีนักมวยปล้ำหญิงขึ้นปล้ำ จึงเป็นเหมือนการทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม จุดยืนที่ WWE ทำมาโดยตลอด และมีการเรียกร้อง ให้ยกเลิกจัดโชว์ที่ซาอุฯ

สมาคมมวยปล้ำ อันดับหนึ่งของโลกแห่งนี้ หนีไม่พ้นคำต่อวิจารณ์ ที่ว่า WWE ลืมอุดมการณ์ของตัวเอง และยอมแพ้ ให้กับเงินก้อนโต อันหอมหวานเสียแล้ว

“ผมเข้าใจถ้าคนจะตั้งคำถาม กับการกระทำของเรา แต่คุณต้องเข้าใจ ว่าวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน” ทริปเปิล เอช ผู้บริหารของ WWE ที่มีส่วนสำคัญ กับการผลักดันสิทธิสตรี ออกมาปกป้องการกระทำของสมาคม

อันที่จริงแล้ว WWE มีคววามพยายาม ที่จะจัดแมทช์การปล้ำ หญิงให้เกิดขึ้นให้ได้ ที่ซาอุดิอาระเบีย เช่น ในศึก Super ShowDown (ซุปเปอร์ โชว์ดาวน์) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในตอนแรก ทาง WWE ได้วางแมทช์การปล้ำ ของนักมวยปล้ำหญิงเอาไว้

 9

อย่างไรก็ตาม แมทช์ที่วางเอาไว้กลับถูกถอดออกจากโชว์ เพราะทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ไม่อนุญาตให้ WWE จัดแมทช์ปล้ำหญิง ในประเทศของตัวเอง

สุดท้าย WWE ไม่สามารถหนีคำวิจารณ์ กับการร่วมมือกับทางซาอุฯ ในขณะที่ประเด็นสิทธิสตรี ยังไม่คืบหน้า แต่ WWE เชื่อว่า สักวันสมาคมแห่งนี้ จะจัดแมทช์มวยปล้ำหญิง ให้เกิดขึ้นจริง บนดินแดนแห่งนี้

“นักมวยปล้ำหญิงของเรา อาจไม่สามารถเข้าร่วม โชว์ที่ซาอุฯ ในเวลานี้ แต่เรากำลังหารือ ถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ด้วยความหวังที่เรามี ผมเชื่อว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีแมทช์มวยปล้ำหญิง เกิดขึ้นใน WWE” ทริปเปิล เอช กล่าว

จนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่าง WWE กับซาอุดิอาระเบีย แม้จะโดนต่อต้านจากรอบด้าน ทั้งแฟนมวยปล้ำ ถึงคุณภาพโชว์สุดห่วย, จากนักสิทธิมนุษยชน ในด้านต่างๆ รวมถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในซาอุฯ

แต่จำนวนเงินมหาศาล ที่ WWE ได้จากรัฐบาลซาอุฯ ถือว่ามากพอ ทำให้ WWE มองข้ามเรื่องราวข่าวฉาว ที่เกิดขึ้น เพราะในโลกธุรกิจแล้ว กำไรและเม็ดเงิน คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด มากกว่าสิทธิมนุษยชนข้อไหนๆ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ WWE ไลฟ์อิน ซาอุฯ กับความมืดดำ ภายใต้สังเวียนและถุงเงินก้อนโต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook