บันทึก 11 ปีแข้งไทยในรังเลสเตอร์ ซิตี้ และก้าวต่อไปของ "ลีออน เจมส์"

บันทึก 11 ปีแข้งไทยในรังเลสเตอร์ ซิตี้ และก้าวต่อไปของ "ลีออน เจมส์"

บันทึก 11 ปีแข้งไทยในรังเลสเตอร์ ซิตี้ และก้าวต่อไปของ "ลีออน เจมส์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความฝันของนักฟุตบอลไทยคืออะไร?

เชื่อว่าทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า การไปค้าแข้งยังต่างแดน หากเป็นลีกอันดับหนึ่งของชาวไทยอย่าง “พรีเมียร์ลีก” ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นโอกาสที่ไม่มีใครปฏิเสธได้

 

หากแต่มีเด็กชายชาวไทยวัย 17 ปี เลือกปัดสัญญาอาชีพจากสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ท่ามกลางความสงสัยจากคนมากมายว่า นักเตะเยาวชนรายนี้คิดถูกต้องแล้วหรือ ที่หันหลังให้กับข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ อันเป็นความฝันของเด็กไทยอีกนับล้าน

เราขอพาไปพบกับเรื่องราวของ ลีออน เจมส์ นักเตะทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 19 ปี ผู้ปฏิเสธสัญญาจากสโมสรดีกรีแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่เคยฝากชีวิตมานาน 11 ปี เพื่อเดินบนเส้นทางใหม่ที่ตัวเขากำหนดเอง

เด็กน้อยในสวนสาธารณะ

ลีออน เจมส์ คือ เด็กชายสายเลือดไทย ที่เติบโตในเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ

 1

แม้อยู่ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนพ่อแม่หลายพันกิโลเมตร แต่ความชอบของเขาไม่แตกต่างจากเด็กชายชาวไทยทั่วไปบนแผ่นดินสยาม คือหลงรักการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก

“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ผมอยากเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่ตอนนั้น เวลาว่างจะเล่นบอลตลอด อยู่บ้าน ไปสวนสาธารณะ ผมเตะบอลตลอดเลยครับ” ลีออนย้อนถึงความรักฟุตบอลในวัยเด็ก

ประเทศอังกฤษ ถือเป็นต้นกำเนิดกีฬาลูกหนังบนพื้นหญ้า จึงไม่น่าแปลกใจหากเด็กทุกคนใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง ไม่ง่ายดั่งความฝัน

เมื่อโอกาสการเข้าสู่สโมสรฟุตบอลอาชีพของเยาวชนที่อังกฤษ มีน้อยกว่าเด็กในประเทศไทย เนื่องจากที่นั่นไม่มีโรงเรียนสอนทักษะฟุตบอลทั่วไป ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น จึงได้รับโอกาสเป็นนักเตะอาชีพ

“มีเด็กอยากเป็นนักฟุตบอลเยอะเลยครับ แต่ว่าพวกเขาไม่มีโอกาส เพราะที่อังกฤษไม่มีอคาเดมีสอนฟุตบอล ต้องเก่งจริง แมวมองถึงเข้ามาดูฟอร์ม”

“อย่างผมเริ่มเล่นในทีมหมู่บ้าน ผมเล่นสนุกมาก แต่มันไม่ใช่ทีมอาชีพ ถ้าแววไม่มี ผมก็เข้าไม่ได้ แมวมองต้องมาดูฟอร์ม และแนะพาผมเข้าไป”

โชคดีที่พรสวรรค์บนเส้นทางฟุตบอลของ ลีออน เจมส์ เริ่มเฉิดฉายออกมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เมื่อฟอร์มการเล่นของเขาในการแข่งขันระดับหมู่บ้าน ไปเข้าตาแมวมองของสโมสรโคเวนทรี ซิตี้ (Coventry City) ทีมฟุตบอลประจำเมืองที่เขาเติบโตมา

 2

“ประมาณ 6 ขวบ มีแมวมองจากโคเวนทรี เข้ามาติดต่อกับคุณพ่อของผมเป็นทีมแรก ชวนผมไปทดสอบฝีเท้าหกอาทิตย์ หลังจากนั้นมีแมวมองจากเบอร์มิงแฮม ซิตี้ (Birmingham City) และ เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City) เข้ามาแสดงความสนใจ”

“หลังจากนั้นผมเข้าไปซ้อมกับทั้งสามทีมเลยครับ สุดท้ายผมต้องเลือกอยู่กับทีมเดียว ผมจึงตัดสินใจเลือกเลสเตอร์”

 3

แม้จะได้รับการการันตีจากแมวมอง และการรับรองจากสโมสรอาชีพ แต่ไม่ได้หมายความว่า ลีออน เจมส์ จะได้รับสัญญาจากเลสเตอร์ ซิตี้ แต่อย่างใด เขาต้องฝึกอยู่กับทีมนานถึงสองปี จนอายุ 8 ขวบ จึงได้รับสัญญาฉบับแรก เพื่อรับรองว่าเขาเป็นสมาชิกทัพจิ้งจอกสยาม ชุดอายุไม่เกิน 9 ปี อย่างเต็มตัว

“ตอนแรกผมเป็นแค่เด็กที่รักฟุตบอล เล่นอยู่ทีมหมู่บ้านไม่ได้คิดอะไร พอแมวมองเข้ามาแสดงความสนใจ ผมก็ดีใจนะ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไร แค่ไปซ้อมแล้วกลับบ้าน จนได้สัญญาฉบับแรกมา ผมรู้สึกภูมิใจมากครับ”

เรื่องราวในฝูงจิ้งจอก

ชีวิตของ ลีออน เจมส์ ภายใต้รั้วสโมสรฟุตบอลอาชีพ เริ่มแรกไม่ได้แตกต่างจากชีวิตในทีมหมู่บ้านมากนัก เนื่องจากตัวเขาเองยังเป็นเยาวชน เลสเตอร์ ซิตี้ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องทักษะ ไปมากกว่าความสนุกในการเล่นฟุตบอลของเด็ก

 4

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับสัญญาอาชีพฉบับแรก ความจริงจังบนเส้นทางลูกหนังอาชีพจึงเริ่มต้นขึ้น เลสเตอร์ ซิตี้ มอบสัญญากับเยาวชนเป็นระยะเวลาปีต่อปี นั่นหมายความว่า จะมีการคัดนักเตะที่ไม่ผ่านการประเมิน ออกไปจากทีมในทุกๆปี

“ตอนเด็กเขาไม่ค่อยเข้มงวดมากเท่าไหร่ครับ แค่สนุกไปกับการฝึกซ้อม สนุกการลงสนาม ยังไม่ได้เน้นจริงจังอะไรมาก”

“หลังเซ็นสัญญาฉบับแรก ผมเข้าชุดยู 9 หลังจากนั้นเขาจะคัดเลือกเด็กทุกปี ตั้งแต่ชุดยู 10, ยู 11 จนถึง ยู 12 ถ้าไม่เก่งพอ เขาจะปล่อยตัว ก็ต้องไปหาทีมอื่นเล่น” ลีออนเล่าถึงความเข้มงวดในระบบอาชีพ

เมื่ออายุมากขึ้น ความสนุกในการลงสนามย่อมลดลง และมีบทเรียนมากมายเข้ามาแทนที่ นักเตะเยาวชนจากที่เคยลงเล่นตำแหน่งใดก็ได้ เริ่มถูกกำหนดให้เล่นในตำแหน่งที่ตายตัวมากขึ้น เพื่อปูทางก้าวสู่การเป็นนักเตะอาชีพในอนาคต

สำหรับ ลีออน เจมส์ แม้จะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง จนฟอร์มเด่นเข้าตาแมวมอง และนำเขาเข้าสู่การเป็นเยาวชนทัพจิ้งจอกสยาม

แต่จากการประเมินความสามารถ และศักยภาพของทีมโค้ชในสโมสร ลีออน ต้องเริ่มต้นใหม่ ในตำแหน่งที่ตัวเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

 5

“ตอนอยู่ทีมหมู่บ้านผมเล่นกองหลัง ยอมรับว่าตอนนั้นผมเล่นเก่งมาก เพราะถนัดตำแหน่งนี้ ผมชอบเสียบ ชอบแย่งบอลจากคนอื่น”

“พอได้สัญญาอาชีพฉบับแรก ผมอยากเปลี่ยนมาเล่นกองกลาง เพราะผมชอบสตีเวน เจอร์ราร์ด (Steven Gerrard) แต่ไม่มีโอกาสได้เล่นเลยครับ เพราะโค้ชยังไม่ให้เล่น เขามองว่าผมมีจุดเด่นคือ เล่นได้สองเท้า เอาไปยืน แบ็คซ้าย หรือ แบ็คขวา เหมาะกว่า”

“ผมโดนเปลี่ยนมาเล่นกองกลาง ตอนอายุ 15 ตอนนั้นรับสัญญาฉบับใหม่สองปี โค้ชเข้ามาบอกกับผมว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเล่นกองกลาง เขาบอกว่าผมเป็นคนขยัน เหมาะกับตำแหน่งกองกลางมากที่สุด”

“แต่ผมยังได้เล่นกองหลังอยู่บ้างครับ เวลาเพื่อนเจ็บหรือโดนใบแดง ผมเป็นคนแรกที่ต้องเปลี่ยนไปเล่นแบ็คก่อนเลยครับ (หัวเราะ) เพราะผมมีความถนัดตรงนี้กว่าคนอื่น” ลีออนเล่าถึงข้อได้เปรียบจากบทเรียนในวัยเด็ก

 6

เมื่อตำแหน่งในสนามคงที่ ตำแหน่งนอกสนามของนักเตะเยาวชน เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องมีความมั่นคงเช่นกัน นอกจากตารางฝึกซ้อมอันเข้มงวดในโรงยิม และพื้นหญ้า

ทัพจิ้งจอกสยาม ยังให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่สมองนักเตะ ด้วยนำเยาวชนในอคาเดมีที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ออกจากระบบการศึกษาแบบปกติ เพื่อมาหาความรู้เฉพาะทาง ตามบทเรียนที่สโมสรวางไว้ โดย เลสเตอร์ ซิตี้ จัดการมอบทุนการศึกษาให้แก่พวกเขาทั้งหมด

“ผมเรียนวิชาเกี่ยวกับกีฬา เน้นเรียนรู้เรื่องสภาพร่างกาย จิตวิทยา มีการจ้างครูพิเศษเข้ามาสอนในสโมสร ผมได้ทุนศึกษาเล่าเรียนสองปี ไม่ต้องเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนปกติเลยครับ ใช้ชีวิตทุกอย่างในสโมสรทั้งหมด”

“สโมสรทำแบบนี้ เพื่อให้นักเตะเยาวชนทุกคนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน มีรถมารับไปเรียนตั้งแต่เช้า จากนั้นเขาจะพาไปซ้อมต่อที่สนามเลย ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมหมดครับ”

 7

สำหรับสโมสรระดับสูงของอังกฤษ พวกเขามองนักเตะระดับเยาวชนของตัวเองเป็น Elite Player หรือ นักเตะขั้นสูง ดังนั้น ฝีเท้าดีในสนามอย่างเดียวย่อมไม่พอ ความเข้าใจเกมจากนอกสนามต้องมีด้วย

เลสเตอร์ ซิตี้ ทำการเรียกผู้ปกครองทุกคนเข้าประชุม เพื่อชี้แจ้งว่าการเรียนหนังสือมีความสำคัญแค่ไหนต่อเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ พร้อมประกาศชัดเจนว่านักเตะคนใดที่มีผลการเรียนแย่ สโมสรสามารถสั่งพักการซ้อมฟุตบอลบนสนามหญ้า เพื่อมาเน้นหาความรู้ใส่ตัวจากตำราแทน

“สโมสรเน้นเรื่องการเรียนมากครับ เป็นเหตุผลหลักที่นำพวกเรามาเรียนที่เดียวกัน ถ้าครูที่สอนเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ตั้งใจเรียน ครูสามารถบอกสโมสรได้ทันทีเลยครับ”

“โชคดีที่ผมตั้งใจเรียน คุณพ่อบอกกับผมเรื่องนี้เสมอ เผื่อวันหนึ่งผมไปไม่ถึงฝัน ถ้ามีความรู้ติดตัว ผมยังมีทางเลือกอื่นให้เดินต่อไปได้ มันเลยทำให้ผมเรียนดีมาตลอด จึงไม่มีปัญหาอะไรในการเล่นฟุตบอล”

มองหาความท้าทาย

บททดสอบจากการปรับตำแหน่งในสนาม และ บทเรียนจากการหาความรู้ในห้องเรียน ทุกสิ่งอย่างนำมาสู่เป้าหมายเดียว คือการพัฒนาเยาวชน ให้กลายเป็นนักเตะที่มีคุณภาพเมื่อเติบใหญ่

 8

ลีออน เจมส์ ยอมรับในฐานะนักเตะเอเชียคนเดียวของรุ่นที่เป็นชาวเอเชียว่า ตัวเขาต้องแข่งขันกับนักเตะที่ถูกคัดสรรมากมายจากหลายชาติ ทั้ง ยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ หรือ สาธารณรัฐเช็ค รวมไปถึงเด็กท้องถิ่นจาก เวลส์, ไอร์แลนด์ และ อังกฤษ

การแข่งขันเพื่อแย่งชิงพื้นที่ตัวจริงในทุกวันของการแข่งขัน คอยตอกย้ำลีออนให้มุ่งมั่นฝึกซ้อมเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาโอกาสลงสนามให้มากที่สุด

“ทุกวันผมบอกตัวเองว่า ต้องทำให้ดีที่สุด ซ้อมให้ดีที่สุด เพราะมันสำคัญมาก ผมต้องพยายามทำให้ดีกว่าเพื่อน โค้ชสอนผมว่าการซ้อม คือการคัดตัวก่อนวันแข่ง”

“ถ้าผมอยากอยู่เป็นตัวจริง ผมต้องดีกว่าคนอื่น มันไม่มีการการันตีว่าจะได้ลงเล่น ทุกตำแหน่งมีนักเตะแข่งขันกันลงสนามเสมอ”

โชคร้ายที่ความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นได้ในทุกจังหวะของชีวิต สิ่งหนึ่งที่สนามซ้อมให้ไม่ได้ คือประสบการณ์ในการแข่งขัน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาเก็บสะสม

จุดหักเหในชีวิตของ ลีออน เจมส์ เข้ามาถึงในวัย 17 ปี เมื่อเขาเตรียมถูกเลื่อนขึ้นไปอยู่ในชุดอายุไม่เกิน 23 ปี อันเป็นชุดระดับเยาวชนที่มีการแข่งขันกันมากที่สุด และเปิดโอกาสให้แก่เยาวชนน้อยที่สุด

 9

“ชุดยู 23 ของเลสเตอร์ ในการแข่งขันแต่ละนัด จะมีนักเตะจากชุดใหญ่ 5-6 คน ลงมาเล่นเรียกความฟิต พื้นที่ตรงนี้มันหายไป” ลีออนเล่าถึงความจริงที่ไม่มีใครเคยรับรู้

“สมมติว่า ผมต่อสัญญาออกไป ผมต้องขึ้นไปเล่นชุดยู 23 ผมจะมีโอกาสได้ลงสนามน้อยมาก มีรุ่นพี่สองคนที่รู้จัก คนแรกได้เล่น 35 นาที ทั้งฤดูกาล อีกคนได้เล่นแค่ 3 นัด มันเหมือนกับเสียเวลาฟรีไปหนึ่งปี”

“ถ้าอยู่กับเลสเตอร์ปีหน้า ผมจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นมาก แต่มันไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญคือ ผมต้องลงเล่นให้มากที่สุด หลายคนอาจไม่ได้มองแบบนี้ ไม่ได้เล่นแต่เงินเยอะ เขาโอเค แต่สำหรับผม มันไม่ใช่”

จากประสบการณ์ตรง ที่ลีออนได้เห็นรุ่นพี่หลายคนย้ายออกจาก เลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อลงไปค้าแข้งให้กับสโมสรลีกล่าง จนได้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ แม้จะเป็นช่วงเวลา 10 หรือ 15 นาทีต่อเกม ลีออนมองเห็นว่า เรื่องดังกล่าวมีประโยชน์มากสำหรับผู้เล่นเยาวชนแบบเขามากกว่า

ด้วยเหตุนี้ ลีออน เจมส์ จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่คัดค้านสายตาแฟนบอลชาวไทยหลายคน ด้วยการบอกปัดสัญญาใหม่จาก เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรฟุตบอลจากพรีเมียร์ลีก และบอกลาโอกาสค้าแข้งให้แก่ทีมที่นักเตะไทยเกือบทั้งหมดได้แค่ฝันถึง

 10

“ผมอยู่กับเลสเตอร์มาเกิน 11 ปี ผมอยากหาเส้นทางอื่น ความท้าทายอื่น สภาพแวดล้อมมันเหมือนเดิมเกินไป อีกอย่างถ้าอยู่ต่อ ผมเสียเวลาไปหนึ่งปี เรื่องนี้ห้ามเด็ดขาดเลยครับ เพราะช่วงอายุ 17 ถึง 19 นักบอลต้องพัฒนาให้ได้มากที่สุด ลงเล่นเท่าที่จะทำได้”

“นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ต่อสัญญากับเลสเตอร์ เพราะเป้าหมายของผมคือการลงสนามให้มากที่สุด ผมต้องการทีมที่ให้โอกาสผมลงสนาม จะเป็นทีมลีกไหนไม่สำคัญ จะได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะตอนนี้ผมอายุ 17 ปีแล้ว”

“ถ้าผมไม่มีโอกาสเล่นในยู 23 ตอนนี้ เมื่ออายุเกินกว่าชุดนี้ไป ผมจะสู้ใครไม่ได้เลย ผมยังต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ ขอแค่มีโอกาสเล่นในยู 23 ก่อน ถ้าผมทำผลงานได้ดีตรงนั้น ผมจะได้โอกาสขึ้นชุดใหญ่เอง”

ความฝันบนแผ่นดินไทย

หลังตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับเลสเตอร์ ซิตี้ ลีออน เจมส์ จึงกลายเป็นนักเตะไร้สังกัด (Free Agent) ในปัจจุบัน สำหรับนักเตะรายอื่น ช่วงพัก 2 เดือน ระหว่างปิดฤดูกาล อาจเป็นเวลาแห่งการพักผ่อน

แต่สำหรับ ลีออน ช่วงเวลาดังกล่าว คือการเตรียมพร้อมร่างกายให้ได้มากที่สุด ก่อนกลับไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรใหม่ ที่ประเทศอังกฤษอีกครั้ง

 11

“ตอนนี้ผมมีเอเยนต์ เขาแจ้งว่ามีสองสโมสรที่สนใจในตัวผม แต่ทุกอย่างต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงเปิดฤดูกาล ผมถึงเข้าไปทดสอบฝีเท้าได้ ผมจึงเดินทางมาเตรียมความพร้อมที่ประเทศไทยก่อน”

ลีออน เจมส์ เข้าเรียกความฟิตกับสโมสรดังในประเทศไทย อย่าง อาร์มี่ ยูไนเต็ด และ สุโขทัย เอฟซี โอกาสดังกล่าวทำให้ตัวเขาได้สัมผัสรูปแบบการเล่นฟุตบอลบนแผ่นดินสยาม ซึ่งลีออนยอมรับว่า มีความแตกต่างกับที่อังกฤษค่อนข้างมาก

“ทักษะนักเตะไทยดีครับ ไม่แตกต่างจากอังกฤษ แต่บอลไทยเล่นกันช้าจังหวะกว่ามาก ที่อังกฤษเขาจะเล่นกันเร็ว เน้นโยนบอลเป็นหลักด้วย ส่วนบอลไทยเน้นการครองบอลมากกว่า”

“อีกอย่างที่ต่างคือเรื่องการซ้อม บอลอังกฤษจะเข้าปะทะแรงมาก แม้เป็นการซ้อม ทุกคนไม่มียั้ง ไม่มีการเกรงใจว่าเป็นเพื่อนร่วมทีมกัน”

ถึงจะเป็นลีกที่คุณภาพต่ำกว่า แต่ ลีออน เจมส์ ไม่ปิดกั้นโอกาสที่จะกลับมาเล่นที่ไทยลีก แม้ตอนนี้ตัวเขาจะต้องการพิสูจน์ตัวเองที่ประเทศอังกฤษก่อน แต่เมื่อได้รับการติดต่อจากหลายสโมสรให้ไปร่วมทีม

ลีออน ยอมรับตามตรงว่าเขารู้สึกดีใจมาก ที่ได้รับความสนใจจากหลายทีม แม้จะไม่เคยเห็นผลงานการเล่นของเขาในระดับสโมสรเลยก็ตาม

“มีทีมในไทยติดต่อมาเยอะมาก สโมสรโทรมาเอง เอเยนต์โทรมาเอง ติดต่อมาทางอินสตาแกรมของผมเยอะมากครับ” ลีออนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น หลังมีข่าวลือว่าเขาตัดสินใจย้ายมาเล่นฟุตบอลในเมืองไทย

“ผมยืนยันว่าอยากมาเล่นฟุตบอลในไทย แต่ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์ตัวเองที่อังกฤษ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ก่อนครับ ค่อยกลับมาเล่นเมืองไทยทีหลังยังไม่สาย”

 12

ชีวิตการค้าแข้งในระดับสโมสร อาจมีเส้นทางที่หลากหลาย แต่บนเวทีฟุตบอลระดับทีมชาติ ลีออน เจมส์ ยืนยันว่า ตัวเขาต้องการเล่นให้กับทีมชาติไทยเท่านั้น แม้เจ้าตัวจะเกิดที่อังกฤษ และ มีสิทธิ์ในการเล่นให้กับทัพสิงโตคำรามทุกประการ

“ความฝันของผมคือการเล่นให้ทีมชาติไทยครับ ผมอยากพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก ถึงจะเกิดที่อังกฤษ แต่สายเลือดผมเป็นไทยแท้ พ่อแม่ผมเป็นคนไทย ครอบครัวมีแต่คนไทย ผมก็รักประเทศไทย เลยอยากเล่นให้ประเทศไทย” ลีออนกล่าวถึงความฝันสูงสุด ในชีวิตลูกหนังของตัวเอง

จากเมืองโคเวนทรี สู่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ถึงทีมชาติไทย ช่วงเวลา 11 ปี อาจเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับ ลีออน เจมส์ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางอันยาวไกลในอาชีพนักฟุตบอล

 13

ยังมีเรื่องราวมากมายรอหนุ่มน้อยรายนี้อยู่ ไม่ว่าจะในประเทศอังกฤษ หรือ ประเทศไทย สิ่งที่เรามั่นใจได้คือ ลีออน เจมส์ ไม่เคยหยุดที่จะท้าทายตัวเอง และ ก้าวข้ามขีดจำกัด เพื่อตามล่าความฝันบนเส้นทางลูกหนังของเขาให้เป็นจริง

“ผมไม่ได้มองว่าตัวเองต้องไปไกลแค่ไหน คิดแค่วันนี้ต้องทำให้ดีที่สุด เป้าหมายการเล่นฟุตบอลของผมคือ ลงเล่นในสนาม เท่านี้พอใจแล้วครับ” ลีออน กล่าวทิ้งท้าย

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ บันทึก 11 ปีแข้งไทยในรังเลสเตอร์ ซิตี้ และก้าวต่อไปของ "ลีออน เจมส์"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook