ผู้นำไม่ได้วัดกันที่คำพูด : แบกทีมแบบ "คาวาย".. ชายผู้บันดาลแชมป์ให้ "แร็ปเตอร์ส"
“คาวาย เป็นผู้เล่นที่เก่ง แต่เขาไม่ใช่ผู้นำหรืออะไรทั้งนั้น ส่วนที่เขาทำไว้ในปีก่อนได้ถูกเติมเต็มโดย มานู และ แพ็ตตี้ แล้ว” นี่คือสิ่งที่ เกร็ก โปโปวิช ว่าถึงอดีตผู้เล่นที่เขาเทรดออกจากทีมไปในปี 2018 ทว่าอีก 1 ปีให้หลังผู้เล่นคนนั้นกลายเป็นลูกพี่ของฝูงไดโนเสาร์จากโตรอนโต้ คว้าแชมป์ NBA ไปครอง
นี่คือเรื่องราวของผู้เล่นที่ทำมากกว่าพูดและแสดงความรู้สึก จากชายผู้ถูกปรามาสสู่เจ้าของรางวัล MVP ไฟนอลส์ … เสือหน้านิ่งอย่าง คาวาย เลียวนาร์ด ขับเคลื่อนทีมนอกสายตาอย่าง โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส ให้ไปถึงแชมป์ได้อย่างไรกันแน่?
ออกไปซะคนใจเสาะ
ปี 2014 ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส คว้าแชมป์ NBA สมัย 5 ของทีมภายใต้การนำทัพของผู้เล่นตัวเก๋าอย่าง ทิม ดันแคน, มานู จิโนบิลี่ และ โทนี่ ปาร์คเกอร์ ที่โชว์ฟอร์มการเล่นได้ยอดเยี่ยมตลอดทั้งฤดูกาล ทว่านัดชิงชนะเลิศที่ต้องเล่น กับ ไมอามี่ ฮีต ซึ่งนำโดย เลบรอน เจมส์ กลับมีผู้เล่นหนึ่งคนของ สเปอร์ส ที่โดดเด่นกว่าใครและเขาคนนั้นคือ คาวาย เลียวนาร์ด ที่คว้ารางวัล MVP ไฟนอลส์ ไปครองได้สำเร็จด้วยผลงานที่เด่นกว่าทุกคนตลอดการแข่งขันทั้งหมด 5 เกม ดังนั้นไม่แปลกอะไรเลยที่เขาจะกลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ ในเวลานั้น
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเรื่อยๆ ทุกสิ่งกลับไม่คงทน แม้ คาวาย จะเป็นผู้เล่นดีกรีรางวัลแต่เมื่อถึงวันที่เขาต้องเจออาการบาดเจ็บเล่นงาน ปัญหาต่างๆ ที่ต้องพิสูจน์เขาในฐานะสตาร์ของทีมก็เริ่มขึ้น … เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องสภาพร่างกายเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงสภาพจิตใจของเขาด้วย
ในช่วงปี 2018 ทีมสเปอร์สร้อนเป็นไฟ เพราะ คาวาย บาดเจ็บหนักจนแทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมมากนัก ผลงานทีมก็ตกลงเป็นเงาตามตัวเพราะเวลานั้นตำนานอย่าง ดันแคน ก็เลิกเล่น ขณะที่ ปาร์คเกอร์ ก็เข้าสู่ช่วงขาลงไม่เก่งแบบแต่ก่อน ดังนั้นการที่ผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม 2 สมัยอย่าง คาวาย หายไปอีกคนทำให้สเปอร์สถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เมื่อคนที่พึ่งได้ที่สุดกลับไม่สามารถทำตัวให้เป็นที่พึ่งได้ และมันยิ่งสร้างความคับข้องใจให้แฟนๆ ของ สเปอร์ส มากเข้าไปอีกเมื่อมีนักข่าววงในเล่าว่า คาวาย คือตัวปัญหา
อาเดรียน วอจนาโรวสกี้ นักข่าวตัวท็อปของ ESPN เสนอข่าวพาดหัวตัวใหญ่ เขาเล่าว่าหลังเกมที่ สเปอร์ส เอาชนะ มินนิโซต้า ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ในช่วงเดือน มีนาคม ปี 2018 แต่ก็ยังต้องลุ้นหนักเพื่อเข้ารอบเพลย์ออฟจากเกมที่เหลือ กลุ่มผู้เล่นของ สเปอร์ส เข้าประชุมทีมและทุกคนลงมติในข้อสงสัยเดียวกันว่า "ทำไม คาวาย ไม่ยอมเล่นให้กับทีมสักที?"
จริงอยู่ที่ คาวาย อาจจะเจ็บไปนานและได้ลงสนามเพียง 9 นัดในซีซั่นดังกล่าว แต่ ณ ตอนนั้นเขาก็เริ่มกลับมาซ้อมได้และมีการซ้อมแบบลงทีม 3 ต่อ 3 และ 4 ต่อ 4 แล้วด้วย ขาดแต่เพียงการซ้อมเต็มรูปแบบ 5 ต่อ 5 เท่านั้น และยิ่งเทียบกับช่วงปีที่เเล้วที่ โทนี่ ปาร์คเกอร์ ที่เจ็บหนักกว่าเข้าแท้ๆแต่ก็กลับมาลงเล่นให้ทีมอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เพราะมีหลายคนคิดว่า คาวาย เห็นแก่ตัวและทำตัวไม่สมกับผู้เล่นที่ทีมต้องพึ่งพา เมื่อตอนนั้นทีมแพทย์ของสเปอร์สยืนยันว่าอาการบาดเจ็บของเขาสามารถลงเล่นได้แล้ว แต่ คาวาย กลับไม่เชื่อหมอของทีมและบอกกับแพทย์ที่ดูแลอาการของเขาบอกว่ายังไม่พร้อม และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลงเล่นให้ได้เทียบเท่ากับปี 2017 (ลงเล่นไป 79 นัด) ถ้าลงเล่นก็เสี่ยงจะเจ็บอีกและอาจจะเสียคนไปยาวๆ จนไร้ทางรักษา
การประชุมทีมวันนั้นเป็นไปอย่างดุเดือด ปาร์คเกอร์ ในฐานะพี่ใหญ่ของทีมเป็นโต้โผ ระเบิดอารมณ์ใส่จนเสียงดังออกมานอกห้องพักนักกีฬา แม้ คาวาย จะพยายามอธิบายถึงเรื่องนี้ แต่ทั้ง 2 ฝั่งมีมุมมองต่างกันเกินไป และการเคลียร์ปัญหาจึงคาราคาซังด้วยความไม่เข้าใจ… ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในการประชุมครั้งนั้น แต่การแสดงออกของผู้เล่นบางคนทำให้เราพอคาดเดาอะไรบางอย่างได้
มานู จิโนบิลลี่ ผู้เล่นซีเนียร์ของ สเปอร์ส อีกคนเดินออกมาจากห้องแต่งตัวหลังไม่มีอะไรต้องถกกันต่อไป และเมื่อนักข่าวยื่นไมค์โครโฟนถามว่า คาวาย จะกลับมาช่วยทีมได้หรือไม่ สีหน้าของ มานู ไม่ยิ้มแย้มและตอบกลับด้วยท่าทางของคนทีจริงจังว่า "เขาจะไม่ได้กลับมาเล่นอีกแล้ว ... สำหรับผมเขาหมดสิทธิ์แน่นอนต่อให้กลับมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ที่จะคิดถึงการคัมแบ็คของเขา สุดท้ายแล้วพวกเราก็คือพวกเรา เราต้องสู้แม้ว่าจะไม่มีเขาก็ตาม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกว่า คาไว จะพร้อมที่จะกระโดดจั๊มป์บอลได้นั่นแหละ"
เท่านั้นยังไม่พอ เกร็ก โปโปวิช เฮดโค้ชของ สเปอร์ส ยังพูดอะไรบางอย่างที่สื่อได้หลายทางว่า "คาวาย เป็นผู้เล่นที่เก่ง แต่เขาไม่ได้เป็นผู้นำหรืออะไรทั้งนั้นเลย แม้เขาจะอยู่ในช่วงการเรียกฟิตและอาจจะกลับมา แต่ตอนนี้ มานู กับ แพ็ตตี้ มิลส์ คือผู้เล่นที่มีความเป็นผู้นำสูงสุดในทีม ทั้งสองคนได้เติมเต็มจุดนั้นไปแล้ว ขณะที่ ลามาร์คัส อัลดริดจ์ ก็มีอนาคตที่สดใสรออยู่อีกคน"
เป็นจริงอย่างที่ มานู พูดและเข้าเค้ากับที่ โปโปวิช บอกเพราะหลังจากนั้น คาวาย ก็ไม่ได้ลงเล่นให้กับ สเปอร์ส อีกเลย ... ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่ดูไม่เข้าพวกซะแล้วในตอนนี้
ว่ากันว่าหากเจอปัญหาในแง่ของเทคนิคในสนามมันยังพอแก้ไขกันได้ แต่ถ้าปัญหาเกิดขึ้นในห้องแต่งตัวแล้วก็ยากมากที่จะจบปัญหาในแบบที่ไม่ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ...
อย่างที่กล่าวไป คาวาย ไม่ได้ลงเล่นเลยหลังจากนั้นทำให้กระแสความไม่พอใจเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ดังนั้นการพิจารณาต่างๆ ของบอร์ดบริหารจึงเปลี่ยนไป ณ ช่วงเวลานั้น คาวาย เหลือสัญญากับทีมอีกไม่มาก เขาจะเป็นฟรีเอเย่นต์หลังจากในปี 2019 จบลง แม้ตอนแรกจะมีข่าวว่า สเปอร์ส เตรียมจะดัน คาวาย เป็นมือ 1 ของทีมเต็มตัวด้วยสัญญาระดับซูเปอร์แม็กซ์ (มากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว) เป็นสัญญาระยะ 5 ปี และได้ค่าจ้างมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ทันทีที่ปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นทุกอย่างก็ชะงักทันที แถมมีแววกระแสตีกลับอีกด้วยนั่นคือจากที่จะได้สัญญาก้อนโต คาวาย จะกลายเป็นคนที่ต้องถูกตัดทิ้งออกจากทีม หลังจากนั้นไม่นานมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะโค้ช เกร็ก โปโปวิช ตัดสินใจนำ คาวาย กับ แดนนี่ กรีน ไปแลกกับ เดอมาร์ เดอโรแซน การ์ดทีม โตรอนโต แร็ปเตอร์ส ดีกรีออล-สตาร์ 4 สมัย ที่เหลือสัญญา 3 ปี 83 ล้านเหรียญ
ณ เวลานั้น โปโปวิช ชอบใจมาก เพราะเขาชื่นชอบการเล่นของ เดอโรแซน ที่ถูกยกให้เป็นเทพเจ้าของ แร็ปเตอร์ส เลยทีเดียว ดังนั้นการแลกตัวกับผู้เล่นที่ได้ลงเล่นแค่ 9 เกมในฤดูกาลก่อนหน้าอย่าง คาวาย แล้วอย่างไรเสียมันก็ไม่แย่จนถึงขั้นรับไม่ได้อยู่แล้ว นั่นคือมุมมองของ โค้ชป๊อป และเมื่อเขาถูกถามว่าเกี่ยวกับการเสีย คาวาย ไปเขาตอบกลับแบบเป็นปริศนาธรรมให้ไปคิดต่อ "ผมไม่อยากจะคุยเรื่องเก่า ไม่แม้แต่เรื่องของ ทิม ดันแคน"
จะพูดอย่างไรก็ช่างแต่ความจริงในตอนนี้คือ สเปอร์ส ได้ผู้เล่นที่เก่งที่สุดของ แร็ปเตอร์ส ไป ขณะที่ คาวาย และ กรีน มุ่งหน้าขึ้นเหนือเพื่อไปอยู่กับ โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส ทีมที่ไม่เคยเป็นแชมป์ NBA เลยแม้แต่ครั้งเดียว ... มี 2 อย่างรอเขาอยู่ที่แคนาดา หนึ่งคือเขาอาจจะเจ็บออดๆแอดๆ และตอกย้ำสิ่งที่เป็นอยู่ที่สเปอร์ส และข้อสองสำคัญที่สุดนั่นคือการลบข้อครหาทั้งหมดที่เคยได้รับ กลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์และส่งแร็ปเตอร์สกลายเป็น "คิง ออฟ เดอะ นอร์ธ"
ซากอ้อยที่หวานเจี๊ยบ
เปรียบสถานการณ์การเทรดครั้งนั้น คาวาย ไม่ต่างอะไรกับซากอ้อยของ สเปอร์ส ที่เคี้ยวจนหมดหวานและคายทิ้ง เพราะแม้จะมีความสำเร็จและช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน แต่เมื่อถึงวันที่แยกจากมันช่างเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างเหลือเกิน แต่นั่นก็ดีเพราะว่า คาวาย ออกจากทีมในสภาพที่ไฟในตัวลุกโชนอีกครั้ง และจะทำสิ่งที่หลายคนอยากเห็นให้ดู
"สิ่งที่ผมจะทำคือการไม่หันหลังกลับไปมองสิ่งเก่าๆ เรื่องพวกนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมมองจุดต่อไปแล้วนั่นคือจุดที่ผมจะต้องเดินหน้า ผมจะสนใจแต่เรื่องทีมบาสเก็ตบอลของเรา ที่นี่มีเรื่องน่าตื่นเต้นเพราะมีดาวรุ่งของเราที่มีศักยภาพหลายคนเลยทีเดียว" คาวาย วางตัวในฐานะพี่ใหญ่ตามแผนการที่ นิค เนิร์ส เฮ้ดโค้ชของแร็ปเตอร์ส วางไว้
เนิร์ส เองไม่ได้แสดงความผิดหวังอะไรนักที่ เดอโรแซน สตาร์เบอร์ 1 ของทีมต้องจากไป แต่กลับเป็นเขาที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ คาวาย มาเป็นพี่ใหญ่ในทีม และเซ้นส์ของเขาก็ไม่พลาด หลังจากการเซ็นสัญญาและจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน เนิร์ส ก็เดินยิ้มแป้นออกมาบอกกับสื่อแบบมั่นใจมากอารมณ์ประมาณว่า "เรื่องน่าตื่นเต้นจะเกิดขึ้นหลังจากรอดูกันให้ดี"
"ผมนั่งลงและถาม เลียวนาร์ด ว่า เอาล่ะสุภาพบุรุษคุณมีอะไรจะถามผมไหม? เท่านั้นแหละเขาก็กลายเป็นเหมือนเด็กหนุ่มที่ยิงคำถามใส่ผมแบบไม่หยุดเลย "โค้ชจะใช้ผมแบบไหนเหรอ? จะให้ผมรับจากจุดไหน? คุณเห็นอะไรในตัวผม?"" คาวาย ทำตัวเหมือนเด็กมหาลัยที่เพิ่งเล่น NBA เป็นครั้งแรก ก่อนที่ เนิร์ส จะตอบกลับแบบเติมสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด สิ่งนั่นคือ "ความเชื่อใจ" กลับไปให้ คาวาย
"ผมตอบเขา เอาล่ะเงียบก่อน ฟังนะสำหรับผมเนี่ยคุณทำอะไรก็สุดยอดทั้งนั้น คุณจะเล่นวงในก็ได้, คุณเลี้ยงก็ได้ คุณจะสกรีนแอนด์โรลล์ได้ไหม? แน่นอนมันได้อยู่แล้ว ที่ผมพูดมาเนี่ยยังขาดอะไรอีกหรือเปล่า? ตอบผมหน่อย… แล้วเขาก็ตอบ "ไม่ครับ" ผมเลยบอกกับเขาก่อนแยกย้ายว่า "เตรียมตัวให้พร้อม อยู่ที่นี่คุณน่าจะได้ทำทุกอย่างที่ผมพูดนั่นแหละ""
นี่คือการเริ่มต้นใหม่ในฝันของ คาวาย เลียวนาร์ด แม้เขาจะเป็นผู้เล่นที่เคยโดนอดีตโค้ชบอกว่าเป็นผู้นำใครไม่ได้ อีกทั้งยังมีนิสัยเงียบๆ จนเพื่อนร่วมทีมไม่ค่อยสนิทสนมด้วย แต่ที่ โตรอนโต้ เขากำลังจะได้เป็นคนใหม่แล้ว ... และจะได้พิสูจน์ว่าระหว่าง โปโปวิช กับ เนิร์ส ใครกันแน่ที่เดาอนาคตได้แม่นยำกว่ากัน
สิ่งที่ไม่เคยมี
หากพูดถึงผู้นำ, กัปตัน หรือลูกพี่ในทีมกีฬาทีมหนึ่ง ภาพที่ปรากฎในหัวของคนทั่วไปจะต้องนึกถึงผู้เล่นที่มีคาแร็คเตอร์ประเภทเป็นนายพล มีอารมณ์ร่วมกับเกมสูง หน้าบึ้ง, กัดกราม, ทุบหน้าอกกรีดร้อง แต่ คาวาย เป็นผู้เล่นแบบตรงกันข้ามกับคุณสมบัติเหล่านี้ หากคุณสนใจเรื่องผู้เล่นที่มีแอ็คชั่นเยอะคุณอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คาวาย เล่นอยู่ใน NBA เพราะเขาเป็นคนที่เงียบๆ แสดงออกทางสีหน้าไม่เก่ง ไม่ว่าสถานการณ์ที่ทีมกำลังจะแพ้ การเล่นในนัดชิงชนะเลิศ หรือแม้แต่กำลังจะเป็นแชมป์สีหน้าของเขาจะไม่บอกอะไรกับคุณเลย ทว่าความเรียบง่ายในแบบของเขากลับทำให้น้องๆ และเพื่อนในทีมรู้สึกว่าคนๆนี้เป็นคนที่พวกเขาสามารถเดินตามหลังได้
ทันทีที่การซ้อมเริ่มขึ้น คาวาย แสดงให้ทุกคนในทีมเห็นว่าทำไมเขาจึงเป็นชายคนที่ทุกคนเชื่อใจได้ เขาใส่เต็มที่ในช่วงการซ้อม และทำให้เห็นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยวินัยที่คงเส้นคงวา แม้จะไม่ได้พูดกันเยอะแยะ แต่มีบางคนรู้สึกได้ถึงสิ่งนี้ นั่นคือ ปาสกาล เซียแคม วัย 25 ปี ที่ยังไม่ได้เป็นตัวเด่นตัวดังมากนักหลังจากเข้ามาเล่นใน NBA ตั้งแต่ปี 2016
"ตอนที่เขาเข้ามาผมคิดว่าทุกคนรู้นะว่าเขาเป็นผู้เล่นประเภทไหน (หมายถึงเป็นคนเงียบๆ เข้าถึงยาก) แต่สิ่งที่ผมเห็นคือเขาซ้อมหนักและขับเคลื่อนเกมอย่างเป็นมืออาชีพมากจริงๆ แค่เห็นสิ่งที่เขาทำทุกวันมันก็ทำให้ผมอยากลุกขั้นมาพัฒนาเกมของตัวเองแล้วล่ะ" เซียแคม เล่าถึงสิ่งที่ลูกพี่คนใหม่เข้ามาสร้างความแตกต่างในทีม "เขามาซ้อมทุกวันเลยแถมยังซ้อมหนักอีกต่างหาก ถ้าเท้าของเขาเหยียบคอร์ทเมื่อไหร่ เรียกไดว่าทุกคนจะได้เห็นว่าเขาใส่หมดแม็กซ์เมื่อนั้น"
เซียแคม ไม่ได้พูดเล่นเพราะการมาของ คาวาย เปลี่ยนบรรยากาศการซ้อมให้จริงจังขึ้น และมันส่งผลให้แร็ปเตอร์สมีพัฒนาการมากที่สุดในฤดูกาล 2018-19 ไม่ใช่แค่ คาวาย, เซียแคม ที่เก่งขึ้น แต่ทุกคนเลย
แน่นอนที่สุดหากวัดเฉพาะตลอดซ้อมหลายคนอาจจะยังไม่เห็นภาพ แต่เมื่อลงสนามจริง คาวาย กลายเป็นผู้นำไปโดยปริยายแม้ไม่มีใครแต่งตั้งหรือลงคะแนนโหวต นั่นเพราะนอกจากเขาจะเป็นผู้ทำแต้มสูงสุดของทีมในเกือบทุกเกมแล้ว คาวาย ยังควบคุมเพื่อนๆ ทุกคนให้อยู่สภาพพร้อมรบเสมอ ด้วยวิธีของเขา ไม่โหวกเหวกโวยวาย แต่พูดกันอย่างหนักแน่นและจริงจัง อย่างในเกมที่ชิงแชมป์สายตะวันออก (ก่อนเข้ารอบชิงชนะเลิศ) ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมขวัญหนีดีฝ่อกับการแพ้ให้ มิลวอกี้ บัคส์ 2-0 เกมทั้งๆ ที่เล่นในบ้าน และหากแพ้อีก 2 นัด แร็ปเตอร์ส จะยุติเส้นทางล่าแชมป์ทันที ก่อนเกมเริ่ม คาวาย ไม่ได้แสดงความตื่นเต้นอะไร เขาพูดกับน้องๆ ในทีมในเชิงที่ว่า "โอเค … ใจเย็นๆ"
"เอาล่ะฟังให้ดีนะ สนุกกับทุกวินาทีที่เล่น เราอยู่ตรงนี้ เราจะช่วยกัน บอกตัวเองเอาไว้ว่าพวกเราเป็นทีมที่ดีไม่แพ้ใครหรอก … เอาล่ะ ไปได้" นี่คือสิ่งที่ นอร์แมน พาวล์ ชื่นชม คาวาย ที่พูดให้เพื่อนร่วมทีมสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ
"คาวาย บอกพวกเราเสมอว่าให้สนุกกับเกมเข้าไว้ อย่าหลุดจากความเป็นตัวเอง เขาเป็นคนที่คุณเชื่อใจได้ในยามที่สถานการณ์ไม่ดี เขามีแต่ท่าทางที่สงบเยือกเย็น แค่มองเขาก็รู้สึกมั่นใจแล้ว ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เวลาที่ผมได้ยืนอยู่บนสนามเดียวกันกับเขา"
จากนั้น แร็ปเตอร์ส ก็ปล้นเกมเหย้าของ บัคส์ จนสิ้นเนื้อประดาตัวและพลิกเข้ารอบด้วยชัยชนะ 4 เกมรวด ... คาวาย คือผู้เล่นในแบบที่ แร็ปเตอร์ส ไม่เคยมี การเป็นคนที่เล่นเกมรุกและรับได้ในเวลาเดียวกันทำให้เขาเป็น เดอะ แบก ไปโดยปริยาย เกมบุกเขาทำแต้ม เกมรับเขาทำเต็มที่ขนาดที่ว่าเคยประกบโคตรผู้เล่นอย่าง เลบรอน เจมส์ จนไปไม่เป็นมาแล้ว และเหนือสิ่งอื่นใดยิ่งกว่าเรื่องของฝีมือคือ เขาทำให้ทีมมีสติจนจบเกม ... เขาเป็นลูกพี่ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ผมเป็นของผมแบบนี้…
ทันทีที่ แร็ปเตอร์ส ที่นำทัพโดย คาวาย เดินส่ายอาดมาถึงรอบชิงทุกสื่อฟันธงตรงกันเกือบหมด ... ไดโนเสาร์จากแคนาดาจะเป็นแค่ไม้ประดับ และ โกลเด้น สเตท วอริเออร์ส อาจะคว้าชัยแบบ 4-0 เกม ด้วยเหตุผลของอะไรหลายอย่างทั้งประสบการณ์ของผู้เล่น ประสบการณ์การเป็นแชมป์ 2 ปีติด และการที่ทัพสะพานทองได้พักถึง 9 วันเต็มๆ ก่อนถึงนัดชิง ทว่าเมื่อเอาเข้าจริงก็อย่างที่เราได้รับทราบกันไป คาวาย แอนด์ เดอะ แก๊ง แสดงให้เห็นถึงคำว่าทีม ... พวกเขาพยายามหนักกว่าเดิมเป็น 2 เท่าและจัดการกับนักรบไร้เทียมทานได้อย่างอยู่หมัด
แม้จะต้องเจอกับผู้เล่นอย่าง สเตฟเฟ่น เคอร์รี่, เคลย์ ธอมป์สัน และ เควิน ดูแรนท์ (และถึง 2 คนหลังจะบาดเจ็บระหว่างซีรีส์ก็ตาม) แต่สุดท้าย แร็ปเตอร์ส ตัวแสบตัวนี้ก็จัดการปราบได้อยู่หมัดด้วยสกอร์ 4-2 เกม ... นี่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และชาวโตรอนโต้ รอคอยมาตลอด 24 ปีที่ก่อตั้งทีม ซึ่งพระเอกของงานทันทีที่เสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นก็ไม่ใช่ใคร คาวาย เลียวนาร์ด นั่นเอง … เขาคว้ารางวัล MVP ไฟนอลส์ เป็นหนที่ 2 ของตัวเองได้สำเร็จ นั่นไม่ใช่เรื่องที่หลายคนแปลกใจนักเพราะรางวัลนี้มันคู่ควรกับคนที่เปลี่ยนทุกอย่างที่ แร็ปเตอร์ส เป็น แต่สิ่งที่หลายคนอดยิ้มไม่ได้คือการที่เห็นไอ้เสือหน้านิ่งอย่างเขาแหกปากดีใจจนหลุดคาแร็คเตอร์ เพราะมันเป็นเหมือนการแสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกประสบความสำเร็จและมีอารมณ์ร่วมแค่ไหนกับแชมป์แห่งการพิสูจน์ตัวเองครั้งนี้ และกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้สั้นๆ ว่า "นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมเล่นบาสเก็ตบอล มันคือเหตุผลที่ทำให้ผมต้องทำงานหนักทุกวัน" สิ่งนี้บอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่แค่คนที่เล่นเก่งแต่เป็นผู้นำไม่ได้เหมือนที่ เกร็ก โปโปวิช เคยปรามาสไว้
การจะถามอะไรจาก คาวาย คงเป็นสิ่งที่ยากหน่อย ดังนั้นสิ่งที่จะบอกได้ดีที่สุดกว่าคำสัญญาต่อแชมป์ประวัติศาสตร์ของ แร็ปเตอร์ส แค่ไหนคงต้องถามคนใกล้ตัว เริ่มจาก โค้ชเนิร์ส ที่นั่งจับเข่าคุยกันตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมา ซึ่งโค้ชยอมรับว่าการเล่นของ คาวาย เป็นเหมือนการแสดงที่ไม่ใครอยากจะพลาดชม เขารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานกับชายคนนี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ไคล์ ลอวรี่ การ์ดของทีมก็ยอมรับลูกพี่ของเขาว่าสำคัญกับทีมชุดนี้ขนาดไหน ถึงขนาดที่ทำให้เขายอมถอยมาหนึ่งก้าวให้คาวายรันทีมด้วยความเต็มใจ
ความเป็นผู้นำของ คาวาย ใน แร็ปเตอร์ส นั้นถูก เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลซ นักเขียนชื่อดังเขียนตีความไว้ว่า "ผู้นำที่แท้จริงคือใครบางคนที่ความสามารถพิเศษและนำสิ่งนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้าง ผู้นำที่แท้จริงคือคนที่สามารถทำให้เราทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีและอยากทำทั้งๆ ที่เราไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ด้วยตนเอง"
บางครั้งคนเราก็มีการแสดงออกที่ยากจะคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ แม้เสียงชื่นชมมาจากทั่วทุกสารทิศและบอกว่าเขาคือฮีโร่ แต่สำหรับ คาวาย แล้วมันก็เท่านั้นเอง ...
"ผมไม่ใช่บาสเก็ตบอลฮีโร่ ผมไม่ได้เล่นเพื่อแฟนๆ ผมไม่ได้ก้าวลงสนามเพื่อทำลายสถิติ แต่ผมเล่นเพื่อชัยชนะ"
จบสั้นๆ แต่ได้ใจความสำหรับลูกพี่ใหญ่และตำนานแห่งแดนเหนือคนนี้
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ