ตลาดซื้อขายฟุตบอลที่เปลี่ยนไปอย่างไรนับตั้งแต่ เนย์มาร์ ซบ PSG

โดมิโน่ล้ม : ตลาดซื้อขายฟุตบอลที่เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ "เนย์มาร์" ย้ายซบ PSG

โดมิโน่ล้ม : ตลาดซื้อขายฟุตบอลที่เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ "เนย์มาร์" ย้ายซบ PSG
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปี 2016 ปอล ป็อกบา คือนักเตะคนแรกของโลกที่ค่าตัวเกิน 100 ล้านยูโร หลังจากย้ายจาก ยูเวนตุส มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด คำรบสอง... จริงอยู่ที่ไม่มีสถิติใดในโลกที่จะไม่ถูกทำลาย ทุกคนรู้ว่าสักวันมันจะต้องมีใครสักคนที่แพงกว่า แต่ไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้

คล้อยหลังเพียงปีเดียวสถิตินี้ก็ถูกทำลายด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าถึง 2 เท่า เนย์มาร์ นักฟุตบอลทีมชาติบราซิล ผู้ที่ว่ากันว่าจะมีโอกาสก้าวมาเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลก ย้ายจาก บาร์เซโลน่า มายัง เปแอสเช ด้วยค่าตัว 222 ล้านยูโร...บนความยินดี และความคาดหวังของทีมดังจากเมืองหลวงแดนน้ำหอม พวกเขาไม่รู้ตัวเสียแล้วว่า กำลังทำให้ตลาดซื้อขายเปลี่ยนไปตลอดกาล

 

จริงๆแล้วเนย์มาร์ควรมีค่าตัวเท่าไหร่?

ความร่ำรวยของ เปแอสเช ทำให้ทุกอย่างดูง่ายไปหมด จะเงินสดเงินผ่อนพวกเขาพร้อมจ่ายอยู่แล้วแต่คำถามคือ เนย์มาร์ แพงไปหรือไม่?

 1

ในสายตาของแฟนบอลที่ดูบอลมานมนานเชื่อว่าหลายคนมองว่า เนย์มาร์ แพงไปแน่นอน อาจจะด้วยสาเหตุที่เราคุ้นเคยกับการซื้อขายยุคก่อนๆ แต่นี่คือมุมมองของ ซาอิฟ รูบี้ หนึ่งในเอเย่นต์ฟุตบอลและนักธุรกิจที่มีอิทธิพลที่สุดในวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เขามองว่า 222 ล้านยูโร แพงเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ราคาที่รับไม่ได้ เพราะหลากหลายเหตุผลที่เกิดขึ้นในฟุตบอลยุคปัจจุบัน

"อย่างแรกเลยคุณต้องคิดก่อนว่า เนย์มาร์ คือนักฟุตบอลที่ยืนอยู่บนสุดของยอดปีระมิดในตลาด ณ เวลานั้น" รูบี้ เกริ่นนำ

"ดังนั้นจากมุมมองของผม ผมคิดว่า เนย์มาร์ มีค่าตัวจริงๆ อยู่ที่ราวๆ 150 ล้านปอนด์ แต่เรื่องของธุรกิจมันลึกกว่านั้น มันมีปัจจัยอื่นๆ จากผู้สนับสนุนของ เปแอสเช อย่าง ไนกี้ นอกจากนี้ เนย์มาร์ ยังเป็นแอมบาสเดอร์ของ ไนกี้ ด้วย"

นอกจากจะมีเรื่องของสปอนเซอร์แล้วผลงานของก่อนที่เขาจะย้ายทีมนั้นถือว่าดูดีมาตรฐานไม่มีตก นับตั้งแต่เขามาเล่นให้กับ บาร์ซ่า สตาร์ชาวบราซิเลี่ยนมีแชมป์ติดมือแทบทุกปี ในฤดูกาลสุดท้ายกับทีมเจ้าบุญทุ่ม เนย์มาร์ ยิงไป 15 ประตูและทำไปอีก 13 แอสซิสต์ในเกมลีกจากการลงเล่นเพียงแค่ 30 นัดเท่านั้น (ทั้งฤดูกาลมี 38 เกม) แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคือเขาเป็นผู้เล่นที่พิสูจน์ตัวแล้วว่าฝีเท้าระดับโลกเพราะเซนส์ที่ทันกันกับ 2 รุ่นพี่อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ หากนับในช่วงเวลานั้นไม่มี 3 ประสานชุดไหนที่จะอันตรายเท่ากับ “MSN” ของ บาร์เซโลน่าอีกแล้ว

"เรื่องของสปอนเซอร์นั้นเราสามารถใส่เป็นส่วนสำคัญในดีลนี้ได้เลย ณ สถานการณ์การเจรจาดังกล่าวตัวนักเตะจึงมีเพาเวอร์สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเขามีฤดูกาลที่สุดยอดดังนั้นค่าตัวดังกล่าวถือว่า "ตั้งอยู่บนความเป็นจริงได้แน่นอน" รูบี้ กล่าวปิดท้าย

 2

นอกจากสาเหตุของสปอนเซอร์สโมสรและนักเตะแบบกรณีเนย์มาร์แล้ว สิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่าค่าตัวของเขาไม่ได้แพงเว่อร์จนรับไม่ได้คือ การแข่งขันของฟุตบอลยุคปัจจุบันที่สูงขึ้นมาก การย่ำอยู่กับที่ไม่ต่างอะไรกับการเดินถอยหลัง เพราะคู่แข่งไม่ได้หยุดเหมือนกันกับคุณ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ามูลค่าทางการตลาดของฟุตบอลมันเลยเถิดคำว่ากีฬาไปแล้ว มันคือความบันเทิงที่มีคนเสพทั้งโลก และเมื่อมีคนดูทั้งโลกเม็ดเงินก็สะพัดยั่วใจมากมายให้กับสโมสรต่างๆในยุโรป

ยกตัวอย่างเช่นก่อนที่ฤดูกาล 2018-19 จะเริ่มขึ้นสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ได้ประกาศยืนยันว่าเงินรางวัลที่จะมอบให้กับทีมที่ร่วมแข่งขันในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไม่ว่าจะรอบใดก็ตามรวมแล้วเป็นเงินถึง 1.95 พันล้านยูโร และหากทีมใดที่ไปถึงตำแหน่งแชมป์ทีมนั้นจะได้รับส่วนแบ่งเค้กที่ก้อนใหญ่ที่สุด โดยแชมป์ปีปัจจุบันอย่าง ลิเวอร์พูล นั้นได้เงินรางวัลรวมถึง 135 ล้านยูโร แบ่งเป็นเงินรางวัล 100 ล้านยูโร และมาร์เก็ตพูล หรือเงินที่จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดอีก 35 ล้านยูโร

จะเห็นได้ว่าค่าตอบแทนในการแข่งขันสูงขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะฟุตบอลระดับทวีปหรือฟุตบอลลีกในประเทศ ดังนั้นชัยชนะแต่ละเกมนั้นมีความสำคัญเพิ่มขึ้น และนักเตะระดับเนย์มาร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันด้วยตัวคนเดียวได้ จึงเป็นการลงทุนที่น่าเสี่ยงสำหรับคนที่มีทุนทรัพย์จำนวนมากอย่าง เปแอสเช

ประการสุดท้ายมันมีเหตุผลที่ เนย์มาร์ ต้องมีค่าตัว 222 ล้านยูโร นั่นเพราะว่ามันคือตัวเลขที่เป็นค่าฉีกสัญญาของเขากับ บาร์เซโลน่า ดังนั้นการซื้อขายครั้งนี้จึงเป็นการจบปัญหาเรื่องการต่อรองทันที บาร์เซโลน่า อาจจะอยากเก็บเนย์มาร์ไว้เป็นตัวแทนของ เมสซี่ นักฟุตบอลเบอร์ 1 ของโลกปัจจุบันในอนาคต ทว่าเมื่อสัญญาถูกฉีกด้วยเงินจำนวนที่พวกเขาตั้งไว้เอง บาร์ซ่า ไม่มีสิทธิ์ต่อต้านได้เลย

ยุคที่ ผู้ซื้อ-ผู้ขาย คิดหลายตลบ

โดมิโน่ตัวแรกล้มลงเรียบร้อยเมื่อ เนย์มาร์ กลายเป็นนักเตะที่แพงที่สุดในโลก ตลาดซื้อขายเปลี่ยนไปทันทีหลังจากนั้น ดีลนี้ของเขากลายเป็นมาตฐานใหม่ของโลกฟุตบอล ก่อนหน้านี้ผู้เล่นฝีเท้าดีๆ สักคนอาจจะมีค่าตัวเพียง 30 - 40 ล้านปอนด์ และผู้เล่นเกรดเอจะมีค่าตัวเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เท่าเป็น 70-80 ล้านปอนด์ อาทิ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, แกเร็ธ เบล และ ปอล ป็อกบา เป็นต้น แต่ตอนนี้นักเตะที่พิสูจน์ผลงานได้เพียงฤดูกาลเดียวอย่าง เฟร็ด, นาบี เกอิต้า, แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ หรือ อายเมอริก ลาปอร์ต ที่ไม่เคยติดทีมชาติมาก่อนเลย ก็กลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแตะหลัก 50 ล้านปอนด์ขึ้นไปทั้งนั้น  

 3

ทุกอย่างในตลาดซื้อขายตอนนี้คือความเสี่ยงทั้งนั้น การยอมทุ่มเงินแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนต้องผ่านการคิดวิเคราะห์หลายตลบทั้งจากฝั่งผู้ซื้อและฝั่งผู้ขาย

ตัวเลขอย่างเดียวบอกอะไรไม่ได้ การขายนักเตะแพงๆออกจากทีมใช่ว่าจะดีเสมอไป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายไปอยู่ ยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร ทั้งๆ ที่อายุของเขาก็ปาเข้าไป 33 ปี เรอัล มาดริด อาจจะยิ้มกับสิ่งนี้ในวันที่ดีลสำเร็จ แต่สิ่งที่ตามมา คือ ทีมราชันชุดขาว พังยับสำหรับผลงานในสนาม จนเป็นเหตุให้ต้องรื้อทีมกันใหม่หมด และจะต้องใช้จ่ายเงินอีกมาก เพื่อทำให้ทีมกลับมาเล่นให้ได้เหมือนในสมัยที่มีโรนัลโด้อยู่...และตอนนี้ราชันชุดขาวใช้ไปแล้วเกิน 100 ล้านยูโรกับ ลูก้า โยวิช จากแฟร้งค์เฟิร์ต, โรดริโก้ จาก ซานโต๊ส และ เอแดร์ มิลิเตา จาก เอฟซี ปอร์โต้ แน่นอน มันคงไม่จบแค่นี้แน่ 

นอกการซื้อนักเตะเพื่อหวังให้ประสบความสำเร็จจากผลงานในสนามแล้ว ฟุตบอลยังมีเดิมพันก้อนใหญ่กว่านั้นมันคือเรื่องของ "การตลาด" เมื่อมูลค่าของรางวัลและผลตอบแทนต่างๆ เพิ่มขึ้นแล้ว มูลค่านักเตะก็แพงตามตัวไปด้วย ดังนั้นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องคิดกันหลายตลบว่าจำนวนตัวเลขเท่าไหร่ตนเองถึงจะ WIN ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นฝั่งผู้ขายที่ถือไพ่เหนือกว่า พวกเขามีสินค้าดีอยู่ในมือ และสินค้าชิ้นนั้น มีสิทธิ์ที่จะมีมูลค่ามากขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นมหกรรมการโขกราคาจึงเกิดขึ้น

เซาธ์แฮมป์ตัน กำไรเละเทะจากการขาย เฟอร์กิล ฟาน ไดจค์ ให้ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ แรกเริ่มมีแต่คนมองว่ามันคือราคาที่มากเกินไปสำหรับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟของทีมระดับกลางค่อนล่างของลีก แต่วันนี้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าทำไม ลิเวอร์พูล จึงต้องยอมเล่นตามเกมของ เซาธ์แฮมป์ตัน ในทุกๆหมาก ราคาของ ฟาน ไดจค์ ที่ลิเวอร์พูลพยายามเสนอให้กับ “นักบุญ” มีมูลค่า 50 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์ปี 2017 นั่นคือจำนวนที่ลิเวอร์พูลคิดว่าให้ได้แค่นี้จริงๆ แต่จนแล้วจนรอด เยอร์เก้น คล็อปป์ มองว่าไม่มีกองหลังคนไหนจะเหมาะกับทีมของเขาไปมากกว่า ฟาน ไดจค์ สุดท้ายราคาก็มาจบที่ 75 ล้านปอนด์ตามที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ยืนกราน ส่วนผลที่ออกมา เราคงไม่ต้องเถียงกันให้มากความ การคิดเยอะของผู้ซื้อและผู้ขายของดีลนี้ทำให้เกิดการ วิน-วิน ทั้งสองฝั่ง ลิเวอร์พูล ได้กองหลังที่ว่ากันว่า "ดีที่สุดในโลก" และเป็นนักเตะตำแหน่งกองหลังที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกไปแล้วจากการยืนยันของ transfermarkt ส่วนเซาธ์แฮมป์ตันก็สามารถประคองการเงินของสโมสรไปได้อีกหลายปีจากเงินก้อนนี้ 

 4

อยากได้นักเตะอย่างที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์แบบ ฟาน ไดจค์ ก็ต้องกล้าทุ่ม นี่คือกรณีที่ทำให้เห็นภาพ "เนย์มาร์ เอฟเฟ็กต์" ได้ดีที่สุด แม้ตลาดจะปั่นป่วน และนักเตะราคาสูงแค่ไหน แต่ถ้าผลตอบแทนคุ้มค่าแล้วล่ะก็แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าแพงเกินจริง แน่นอนเพียงแต่ว่าต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะลงทุนกับใครสักคน ... นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าเหตุใดข่าวคราวการซื้อทีมสมัยนี้จึงมักเป็นข่าวแบบมหากาฬ นักเตะคนหนึ่งมีข่าวกับสโมสรๆ หนึ่งได้เป็นปีๆ อาจเป็นเพราะว่าทุกสโมสรต้องคิดทุกครั้งก่อนตัดสินซื้อและขายใครสักคน

เทรนด์การซื้อขายที่เปลี่ยนไป

การจะยอมจับจ่ายเงินก้อนโตนอกจากจะมองเรื่องศักยภาพ ณ ปัจจุบันแล้ว สิ่งที่ตลาดนักเตะเปลี่ยนไปในตอนนี้คือหลายทีมมองไปถึงอนาคตด้วยว่านักเตะที่พวกเขาซื้อมานั้นจะสามารถตอบแทนเงินก้อนโตได้คุ้มค่าหรือเปล่า มาร์ก้า สื่อดังจากสเปนวิเคราะห์ว่าหลังจากการย้ายทีมของ เนย์มาร์ เกิดขึ้นวิธีการซื้อนักเตะก็เปลี่ยนไป

 5

สโมสรแนวหน้าหลายๆ ทีมเปลี่ยนรูปแบบใหม่นั่นคือการทุ่มซื้อนักเตะที่สามารถใช้งานในระยะยาวได้ เพื่อลดการลงทุนในอนาคตเพราะราคานักเตะดีดขึ้นไปอีกเท่าตัวเช่นนี้ นักเตะธรรมดาๆ คนหนึ่งอาจจะมีค่าตัวแตะหลัก 30 ล้านปอนด์ได้สบายๆ มันจึงไม่คุ้มค่านักที่ต้องซื้อผู้เล่นยิบย่อยในทุกตลาดซื้อขายเหมือนกับสมัยก่อน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมนักเตะอายุ 18-21 ปีในเวลานี้มีค่าตัวมากกว่าพวกนักเตะที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว

"ก่อนหน้านี้สโมสรต่างๆ เลือกที่จะซื้อนักเตะค่าตัวไม่แพงมากแต่ใช้งานได้เลย มันคือตลาดระยะสั้นที่ทำได้ในราคาประหยัดมากกว่า นักเตะที่ได้มาก็จะเสริมคุณภาพทีมได้ทันที" อีสตีฟ คัลซาด้า จาก Prime Time Sport อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงนี้

ปัจจุบัน อุสมาน เดมเบเล่, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ มีค่าตัวเกิน 100 ล้านปอนด์ตั้งแต่อายุยังอยู่ในช่วงวัยทีน นอกจากนี้คนอื่นๆ ที่ย้ายทีมในปัจจุบันอย่าง แฟรงกี้ เดอ ยอง (75 ล้านปอนด์ ไป บาร์ซ่า) หรือตัวที่คาดว่าจะย้ายอย่าง มาไธจ์ เดอ ลิกต์, เจดอน ซานโช และ เจา เฟลิกซ์ จึงมีค่าตัวตามข่าวเกิน 100 ล้าน (ปอนด์หรือยูโร) ขึ้นไปทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่หากเอาราคาของพวกเขาเหล่านี้ไปเทียบกับนักเตะเกรดเอมีผลงานดีต่อเนื่องอย่าง เอเด็น อาซาร์, อองตวน กรีซมันน์, คริสเตียน เอริคเซ่น และ เมาโร อิคาร์ดี้ จะเห็นได้ว่ากลุ่มนักเตะที่พิสูจน์ตัวเองแล้วอาจจะมีค่าตัวถูกกว่าด้วยซ้ำ

ราคานักเตะที่กล่าวมานั้นดูสวนทางกับในอดีตที่ยิ่งพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเล่นดี เล่นได้ จะยิ่งแพง ไปอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าซื้อความเสี่ยงกับนักเตะอายุน้อยเป็นสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดในฟุตบอลยุคปัจจุบัน เพราะเมื่อฟุตบอลเป็นธุรกิจที่ใครๆ ก็เข้ามาทำรายได้และขายได้ตลอดกาล ใครจะไปรู้ว่าในอนาคตนักเตะอายุน้อยร้อยล้านเหล่านี้อาจจะมีราคาแพงขึ้นเป็น 2-3 เท่าก็ได้

เพราะมูลค่าที่แท้จริงจะเห็นในภายหลัง

"ขายเสื้อก็คุ้มแล้ว" ทุกครั้งที่มีดีลใหญ่ๆ ของผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสมักจะได้ยินคำกล่าวนี้ตามหลัง หลายคนชื่อว่าการขายเสื้อของนักเตะดังสามารถคืนทุนค่าตัวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว แต่ แดน พลัมลี่ย์ อาจารย์อาวุโสของคณะบริหารธุรกิจกีฬาประจำมหาวิทยาลัย Sheffield Hallam ยืนยันว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด ยอดขายเสื้อไม่ใช่ตัวชี้วัดว่านักเตะคนนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือการซื้อตัว อเล็กซิส ซานเชซ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตลาดฤดูหนาวปี 2017 ณ ตอนนั้นเป็นที่ฮือฮาและเสื้อของ อเล็กซิส มียอดขายเป็นสถิติของสโมสร และทุบสถิติยอดขายเสื้อเบอร์ 6 ของ พอล ป็อกบา ได้ถึง 3 เท่า และยังเป็นยอดขายที่มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก ทว่า 1 ปีหลังจากนั้นเขากลายเป็นนักเตะที่ถูกลืม ผลงานย่ำแย่ ความนิยมลดลง ถึงตอนนี้แม้แต่แฟนของยูไนเต็ด ที่เคยตื่นเต้นกับการมาของเขา คงเข้าใจถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี

 6

"ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะได้ผลการตอบแทนในการลงทุนสำหรับการซื้อนักเตะสักคน อาจจะต้องอยู่ที่ราวๆ 4-5 ปี เราจึงจะได้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของนักเตะคนนั้น ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์สโมสรได้จริงหรือไม่ สิ่งที่สังเกตง่ายที่สุดคือการพาทีมคว้าแชมป์และโทรฟี่ความสำเร็จต่างๆ แต่หากลงรายละเอียดแบบลึกๆ แล้วมันต้องใช้เวลามากกว่านั้นอีก" แดน พลัมลี่ย์ กล่าว

อย่างไรก็ตามแม้เรื่องเสื้อจะต้องรอนานเพื่อจะบอกว่าเขาคนนั้นคุ้มหรือไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่บอกได้ทันที สิ่งนั้นคือการตื่นตัวทางโซเชี่ยล มีเดีย ที่ชี้วัดได้ว่านักเตะคนนั้นมีอิทธิพลมากขนาดไหน โซเชี่ยลมีเดีย คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในฟุตบอลยุคใหม่อย่างแท้จริง ยอดฟอลโลว์ของนักเตะนั้นๆ สามารถวัดได้เลยว่าพวกเขามีชื่อเสียงระดับไหน ยิ่งผู้เล่นอย่าง เนย์มาร์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นั้นล้วนเป็นผู้เล่นที่มีรูปลักษณ์แบบซูเปอร์สตาร์ ปรากฎตามหน้าสื่อทุกวัน  ดังนั้นการย้ายทีมของทั้งสองคนจะชี้ให้เห็นการเติบโตทางโซเชี่ยลได้ดีที่สุด

Instagram, Twitter และ Facebook ของ เปแอสเช มีผู้ติดตามอยู่ 38.1 ล้านคนก่อนที่เนย์มาร์จะย้ายมา แต่ทั้นทีที่การเซ็นสัญญาเรียบร้อยยอดผู้ติดตามทั้ง 3 ช่องทางเพิ่มมาอีกเป็น 49.9 ล้านคน ส่วนโรนัลโด้นั้นไม่ต้องพูดถึง เขาคือบุคคลทรงอิทธิพลของโลกไปแล้ว ยอดติดตาม 144 ล้านคนใน IG ของเขาถือเป็นอันดับ 1 ของโลก และการย้ายมา ยูเวนตุส ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น IG ของ ยูเว่ มีผู้ติดตามเพิ่มอีก 3.5 ล้านคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่หยุดในตอนนี้

 7

ตัวเลขต่างๆ ทางโซเชี่ยลมีเดียสามารถนำไปต่อยอดได้หลากหลายมาก ดังนั้นนักเตะอย่าง เนย์มาร์, โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ (ถ้าย้าย) เท่านั้นที่จะสามารถทำตัวเหนือเทรนด์ใหม่ของโลกลูกหนังได้ ด้วยภาพลักษณ์ที่ขายได้และผลงานที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเงินเปล่า

ความสำคัญของโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้เราเห็นอีกปรากฎการณ์หนึ่งที่ไม่เคยมีในยุคเก่าคือนักฟุตบอลระดับหัวแถวในยุคนี้ทุกคนมี Instagram, Twitter และ Facebook เพื่อสร้างมูลค่าให้ตัวเองทั้งนั้น เพราะถ้าพวกเขาเล่นดี และขายได้ในโซเชียลแล้ว ราคาค่าตัวของพวกเขาก็เพิ่มสูงมากขึ้นไปด้วย และนั่นทำให้ทุกวันนี้นักฟุตบอลคนหนึ่งสามารถมีค่าตัวแพงกว่าการซื้อสโมสรฟุตบอลนั่นเอง ...

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ โดมิโน่ล้ม : ตลาดซื้อขายฟุตบอลที่เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ "เนย์มาร์" ย้ายซบ PSG

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook