ไขมันมีผลอย่างไร : ทำไม "แอนดี้ รุยซ์" จึงคว่ำแชมป์โลกเฮฟวี่เวทได้แม้หนัก 122 กิโลกรัม?

ไขมันมีผลอย่างไร : ทำไม "แอนดี้ รุยซ์" จึงคว่ำแชมป์โลกเฮฟวี่เวทได้แม้หนัก 122 กิโลกรัม?

ไขมันมีผลอย่างไร : ทำไม "แอนดี้ รุยซ์" จึงคว่ำแชมป์โลกเฮฟวี่เวทได้แม้หนัก 122 กิโลกรัม?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"คนเจ้าเนื้อพุงพลุ้ยมีโอกาสแค่ไหนที่จะขึ้นชกแบบหนึ่งต่อหนึ่งแล้วเอาชนะนักชกเหรียญทองโอลิมปิกได้?"  หากเราถามคำถามนี้ในช่วง 2-3 เดือนก่อน เชื่อว่าหลายคนคงจะตอบว่า "เป็นไปไม่ได้!" ... ทว่าตอนนี้เรารู้ว่าคำตอบนั้นคือ "มันเป็นไปแล้ว!"

แอนดี้ รุยซ์ จูเนียร์ นักชกชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกันเจ้าของน้ำหนักตัว 122 กิโลกรัม สามารถเอาชนะ แอนโธนี่ โจชัว แชมป์โลกเฮฟวี่เวท 4 สถาบัน WBA, IBF, WBO, IBO ชาวอังกฤษไปได้อย่างสุดช็อค และสร้างความสงสัยว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมนักชกที่ไม่มีซิกแพ็คและมัดกล้ามที่สวยงามกลับเอาชนะ 1 ในยอดมวยรุ่นยักษ์ของโลกตอนนี้ได้? และเราจะไขความข้องใจกันสำหรับเรื่องสุดงงนี้

นักมวยน้ำหนักเกินต่อยไหวได้อย่างไร?

ข้อนี้ต้องทำความเข้าใจใหม่เพราะมวยสากลรุ่นเฮฟวี่เวทนั้นไม่มีน้ำหนักกำหนด เมื่อมาแตะรุ่นนี้แล้วคุณจะหนักเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ใจคุณต้องการ ทว่าสิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดว่าการมีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนนั้นเป็นอุปสรรคต่อการเล่นกีฬา โดยเฉพาะกับมวยสากลที่ไม่มีตัวสำรอง และต้องเคลื่อนที่ตลอดนั้นยิ่งแล้วกันไปใหญ่


Photo : mmajunkie.com

อย่างไรก็ตาม รุยซ์ ไม่ใช่นักมวยเจ้าเนื้อคนแรกที่โลกเคยมี โลกนี้มีนักมวยน้ำหนักเกินมาแล้วมากมายและหลายรายก็เคยไปถึงแชมป์โลกเฮฟวี่เวทมาแล้วด้วย อาทิรุ่นเก่าๆ อย่าง จอร์จ โฟร์แมน ที่เคยเทียบรัศมี มูฮัมหมัด อาลี มาแล้ว, ริดดิค โบว์ นอกจากนี้ยังมี ไทสัน ฟิวรี่ นักชกรุ่นเฮฟวี่เวทผู้มีสถิติไร้พ่ายในยุคปัจจุบัน แถมยังเคยได้แชมป์โลกมาแล้ว ดังนั้นเรื่องของหุ่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณดูถูกพวกเขาได้เสียทีเดียว

จุดอ่อนของนักมวยที่น้ำหนักเกินมาตรฐานและมีค่า Fat หรือไขมันเกินเกณฑ์ปกติของนักมวย (10%โดยประมาณ) คือการไม่สามารถยืนระยะครบยกได้ เพราะอาจจะมีอาการแรงตกลงไป ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เอริค อีสช์ เจ้าของฉายา "บัตเตอร์บีน" ที่ชนะมา 77 ไฟต์ ทั้งๆ ที่มีน้ำหนักตัวเกิน 190 กิโลกรัม แต่จุดอ่อนของเขาคือการหายใจ เพราะขีดจำกัดของการน้ำหนักเกินนั้นทำให้เขายืนระยะได้เพียงแค่ 4 ยกเท่านั้น ขณะที่หลังจากนั้นก็แทบจะยอมแพ้ได้เลย นอกจากนี้น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเป็นปัญหาในการหมุนสะโพกเพื่อเพิ่มแรงเหวี่ยงอันส่งผลต่อน้ำหนักของหมัดซึ่งถือเป็นอาวุธชนิดเดียวในมวยสากลอีกด้วย และต้องทำความเข้าใจอีกว่า "Fat" นั้นไม่ใช่สิ่งที่กลายมาเป็นพลังของหมัดโดยตรง


Photo : houmatimes.com

อย่างไรก็ตามการมีไขมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับนักมวยแต่มันควรมีเงื่อนไขบ้างอย่าง คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคนอ้วนในระดับที่ขึ้นชกในเวทีเฮฟวี่เวทนั้นแตกต่างจากคนอ้วนที่เกิดจากากรกินอาหารหรือดื่มมากเกินไป ไขมันนั้นมีประโยชน์อยู่บ้างเพราะมันเป็นสารอาหารสำหรับสมอง และช่วยให้ความชุ่มชื้นและป้องกันเซลล์ในร่างกายที่เปราะบาง แต่ต้องไม่มากจนเกินไป และสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างพลังงานให้ทั่วร่างกาย ไม่ควรออกกำลังกายเฉพาะจุด เช่นยกน้ำหนักเพียงอย่างเดียว

สิ่งสำคัญของคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะและจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการชกมวยได้นั้นคือการเรียนรู้ที่จะถ่ายเทน้ำหนัก เพื่อส่งน้ำหนักส่วนต่างๆ ในร่างกายไปเพิ่มพลังที่หมัดของของคุณ อาทิเช่นการวางน้ำหนักไว้ที่เท้าหลังจะช่วยให้สามารถทำให้การเคลื่อนไปข้างหน้ามีพลังมากขึ้น และมันยังใช้ได้กับทุกๆ กีฬาอีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้ต้องใช้การฝึกให้เคยชิน และมันจะทำให้หมัดหนักขึ้นได้ ส่วนงานวิจัยที่ยืนยันว่าไขมันในท้องหรือที่ต่างๆ ในร่างกายที่มากเกินไปสามารถส่งผลต่อการเพิ่มพลังการชกได้นั่นยังไม่ปรากฎชัดเจนเท่าไรนัก

ไขมันช่วยรับหมัดได้หรือไม่?

ขณะที่ในส่วนของการป้องกันและการรับน้ำหนักหมัดนั้นปรากฎว่าชั้นไขมันไม่สามารถป้องกันการโดนชก หรือแม้กระทั่งช่วยซับแรงกระแทกได้เลย ต่อให้โดนต่อยที่ท้องซึ่งเป็นบริเวณที่มีไขมันมากที่สุดก็ตาม


Photo : www.watson.ch

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะไขมันนั้นมีสถานะไม่ต่างจากอะไรที่ยุ่ยๆ ไม่มีความแข็งแกร่งอะไรเลย ดังนั้นการมีกล้ามเนื้อสามารถต้านความรุนแรงของการชกได้ดีกว่า เพราะกล้ามเนื้อ 1 กิโลกรัม มีขนาดเล็กกว่าไขมันที่มีน้ำหนักเท่ากันถึง 5 เท่า ความกระชับและเเข็งแกร่งของกล้ามเนื้อทำได้ดีกว่าอยู่เเล้ว

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจากการทดสอบโดยผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ของ โอซาม่า ทาชานี่ ซึ่งชี้ชัดว่าการมีไขมันในร่างกายเยอะไม่ได้ช่วยลดความเจ็บปวดลงแต่อย่างใด แต่กลับยิ่งจะทำให้ไวต่อความรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าการมีกล้ามเนื้ออีกด้วยซ้ำ

สรุปได้ว่าไขมันที่มากเกินไปเป็นภาระต่อข้อต่อและชะลอการตอบสนอง นอกจากนี้ยังทำให้เจ็บปวดมากขึ้นในเวลาที่เคลื่อนไหว ไขมันหนาเเน่นน้อยกว่ากล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อนั้นถือว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เลยทีเดียว

นายตุ้ยนุ้ยไม่ได้ฟลุก

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมา ดูเหมือนว่าโอกาสที่นักมวยร่างหมีอย่าง แอนดี้ รุยซ์ จูเนียร์ จะเอาชนะเหรียญทองโอลิมปิกอย่าง แอนโธนี่ โจชัว นั้นดูจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย แต่แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันล่ะ?


Photo : www.forbes.com

ก่อนไฟต์ดังกล่าวจะเริ่มขึ้น โอกาสชนะของ รุยซ์ นั้นแทบมองไม่เห็น เมื่อเทียบกับ โจชัว แล้วถือว่า รุยซ์ เป็นมวยรองชัดเจน เพราะ โจชัว ชกชนะมารวด 22 ไฟต์และมีจำนวนถึง 21 ไฟต์ที่เขาชนะคู่ชกด้วยการส่งไปกองบนพื้นจนต้องยุติการชก และแน่นอนเขาเคยเป็นเจ้าของเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นรุ่นเฮฟวี่เวทในโอลิมปิกปี 2012 อีกด้วย ที่สำคัญเรื่องของชื่อเสียงฝีไม้ลายมือนั้นเซียนมวยทั่วโลกยังมั่นใจว่าไฟต์นี้ โจชัว กินนิ่ม และจะเข้าไปทำศึก "ซูเปอร์ไฟต์" กับ ดีออนเต้ ไวลเดอร์ แชมป์ของสถาบัน WBC อย่างแน่แท้

อย่างไรก็ตามเมื่อเอาเข้าจริงอะไรมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ขึ้นชื่อว่ากีฬาเมื่ออยู่ในสนามแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ จากที่ โจชัว เป็นต่อตามหน้าเสื่อ กลับกลายเป็นว่ามวยรองบ่อนอย่าง รุยซ์ กลับเดินหน้าดักชกดักถลุงแชมป์ไร้พ่ายจากอังกฤษอย่างเหนือชั้น นี่ไม่ใช่การฟลุ๊กแต่มันคือการแสดงให้เห็นว่านักชกร่างท้วมชาวเม็กซิกันเหนือกว่าอย่างแท้จริง  

รุยซ์ ส่ง โจชัว ลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นลงถึง 4 ครั้ง จนที่สุดแล้วกรรมการต้องตัดสินใจยุติการชกหลังเห็นว่าฝ่ายโดนถลุงท่าจะไม่พร้อมสู้ ... รุยซ์ เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ด้วยผล เทคนิเคิล น็อคเอาท์ ได้เข็มขัดรวดเดียว 4 เส้น ของสถาบัน WBA, IBF, WBO, IBO เทียบเท่ากับที่ ไมค์ ไทสัน, อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ และ มูฮัมหมัด อาลี เคยทำได้แบบที่เจ้าตัวยังไม่อยากเชื่อ "ผมแทบไม่อยากเชื่อเลย ตะกี้ยังหยิกแก้มตัวเองอยู่เลยว่านี่มันเรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย"


Photo : www.latimes.com

จะฟลุ๊กหรือไม่ตอนนี้คงไม่ต้องถามกันแล้ว การทำให้โจชัวโดนถึง 4 นับ คือสิ่งที่ยังไม่เคยมีนักชกคนไหนบนโลกนี้ทำได้ แม้แต่ โจชัว ก็ยอมสิโรราบแต่โดยดี ไม่มีข้อแก้ตัว เขายอมรับว่า รุยซ์ เหนือกว่าจริงๆ เขาพูดสั้นๆ ว่า "ผมถูกนักชกที่ดีกว่าเอาชนะ" นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี

รุยซ์ เป็นใครมาจากไหน? ทำไมจึงได้ชกชิงแชมป์?

นักชกเม็กซิกัน-อเมริกันคนนี้มีสถิติการชกในระดับสมัครเล่นถือว่าเก่งเอาการเพราะชนะไปถึง 105 ครั้งและแพ้เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับเวทีระดับโลกนั้นยากที่จะเอาเรื่องเหล่านี้มาอ้างอิงได้ ...


Photo : www.latimes.com

ฉายาของเขาที่ติดอยู่ที่กางเกงเขียนว่า "The Destroyer" ซึ่งแปลว่าจอมทำลายล้าง ... ดูโหดพอตัวเลยใช่ไหม? ทว่าแท้จริงแล้วฉายานี้ของ รุยซ์ ไม่ใช่ได้มาเพราะเขาชกเก่งหรอกนะ แต่มันติดตัวเขามาตั้งแต่เป็นเด็กแล้วและถูกเรียกเช่นนั้นเสมอมา

"พวกเขาเรียกผมว่าจอมทำลายล้าง เพราะผมเป็นเด็กที่ซุ่มซ่ามหยิบจับอะไรก็พังเละเทะไปหมด ผมมักจะได้ของเล่นใหม่เสมอเพราะตกอีกวันหลังจากวันที่ซื้อผมจะทำมันพังไงล่ะ" รุยซ์ เล่าถึงความหลังผ่าน เดอะ ซัน ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมมวยที่หลุดท็อป 10 อย่างเขาจึงได้มาเจอกับแชมป์โลกชาวอังกฤษเหตุผลนั้นง่ายๆ แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่คู่ชกเบอร์ 1 แต่รุยซ์ เป็นมวยแทนที่ฝ่ายโจชัวจิ้มมาให้โดนถลุงแทนคู่ชกเดิมนั่นคือ จาร์เรลล์ มิลเลอร์ ที่ตรวจโด๊ปไม่ผ่าน ซึ่งตัวของ รุยซ์ นั้นรู้ข่าวว่าจะได้ชิงแชมป์โลกก่อนขึ้นชกจริงเพียงระยะเวลาแค่ 6 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นการฝึกแบบรากเลือดชนิดที่ว่าชีวิตนี้ไม่เคยเจอมาก่อนจึงเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาวางสายจาก โจชัว

อย่าดูถูก รุยซ์

6 สัปดาห์เท่าคือเวลาที่เขาจะได้ชกไฟต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แม้จะถูกมองว่าเป็นบันได แต่อย่างน้อยๆ รุยซ์ ก็ขอเป็นบันไดที่ทำหน้าที่อย่างสมเกียรติ โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยเคร่งเรื่องอาหารการกินมากนัก อาหารทอดคือของโปรด ไม่ต้องห่วงเรื่องฟาสต์ฟู้ดอย่างไก่ทอดหรือพิซซ่า มันคือ 1 ในอาหารโปรดหากเขาไม่ได้มีไฟต์สำคัญๆ จนกระทั่งในช่วงปี 2019 เขาได้เซ็นสัญญากับ อัล เฮย์มอน มาเฟียวงการมวยที่มี แมนนี่ ปาเกียว และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ในสังกัด รุยซ์ จึงเริ่มดูแลร่างกายมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน


Photo : Stuff.co.nz

"ผมเปลี่ยนวิถึชีวิตไปหลายอย่างมาก ผมไม่กินอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือของกินราคาถูกที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลย ไม่เลยแม้แต่เมนูเดียว" เขาเล่าถึงการเริ่มต้นเพื่อความพร้อมสำหรับแชมป์โลก "มีคนบอกว่าต่อให้คุณฝึกหนักแบบเอาเป็นเอาตายแค่ไหนแต่ถ้ายังไม่เลิกกินของห่วยๆ การซ้อมของคุณจะไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย"

เรื่องของการฝึกซ้อมถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะ รุยซ์ เองมีประสบการณ์ชกมวยมาตั้งแต่ 6 ขวบ โดยเริ่มจากที่เขามีนิสัยไฮเปอร์ไม่อยู่สุขจึงทำให้พ่อไปฝากไว้กับค่ายมวยใน ซานตา ครูซ ตั้งแต่เด็ก และเหตุผลที่เขามีชั้นเชิงชกที่ไม่ธรรมดาจนถึงขั้นเอา โจชัว ลงไปนับได้ถึง 4 ครั้งนั่นอาจจะเป็นเพราะ รุยซ์ มีกระดูกมวยที่แข็งพอดู เพราะเจ้าตัวเป็นเด็กอ้วนมาตั้งแต่เด็กดังนั้นเด็กในรุ่นเดียวกันจึงไม่มีใครทำน้ำหนักตัวชกกับเขาได้ เขาจึงต้องไปต่อยกับคนอายุมากกว่าเสมอๆ เขาบอกว่าในช่วงแรกเขาสู้ไม่ได้เลยและร้องไห้หลายครั้ง ทว่าเมื่อผ่านไประยะหนึ่งเขาปรับตัวได้และจากนั้นจึงกลายเป็นสถิติชนะ 105 ครั้งและแพ้เพียง 5 ครั้งตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น นอกจากนี้สถิติในระดับอาชีพยังแพ้ไปแค่หนเดียวเท่านั้น!

เท่านั้นยังไม่พอ รุยซ์ ยังเป็นลูกศิษย์ของ เฟร็ดดี้ โร้ช โคตรเทรนเนอร์ของ แมนนี่ ปาเกียว ยอดนักชกแชมป์โลกชาวฟิลิปปินส์ และยังซ้อมที่ ไวลด์ การ์ด ยิม อันโด่งดังเหมือนกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงไม่ควรดูถูกเขาหลังจากเห็นรูปลักษณ์ภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว

สไตล์ของ รุยซ์ นั้นถูกเล่าขานกันว่าสวนทางกับน้ำหนักตัว แม้เขาจะหนัก 122 กิโลกรัม (263 ปอนด์) ทว่า บ็อบ อารัม โปรโมเตอร์ระดับโลกยังยอมรับว่านักชกคนนี้ออกหมัดไวอย่างไม่น่าเชื่อ

"แม้เขาจะชนะมาเรื่อยแต่ก็ไม่ค่อยมีใครให้เครดิตเขา ทุกคนมองเขาเหมือนเจ้าอ้วนจอมขี้เกียจ … เขาอ้วนจริง แต่มือของเขานี่สิโคตรไวเลย แล้วเขามักจะไม่พอใจทุกครั้งหลังการชกแม้ว่าจะเป็นผู้ชนะก็ตาม" บ็อบ อารัม กล่าว

ขณะเดียวกัน รุยซ์ เองย้ำทุกครั้งที่ถูกสัมภาษณ์ก่อนชกว่า หลายคนมักจะหัวเราะเขา แต่เขานั้นไม่กลัว โจชัว เลยแม้แต่น้อย และยืนยันว่า โจชัว จะเจอกับคู่ชกในสไตล์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน "ผมโดนคนอื่นประเมินไว้ต่ำมาตลอดชีวิต ดังนั้นผมไม่กลัวหรอกผมพร้อมจะเจอมันอยู่แล้ว ผมคิดว่าสไตล์ของผมนั้นอยู่ที่ความเร็วและความเคลื่อนไหวบนสังเวียน ผมไม่เชื่อว่าเขาจะเคยเจอกับใครที่เหมือนผมมาก่อน ไฟต์นี้จะเป็นคนละเรื่องกับที่เขาเคยเจอมา"

ทุกอย่างที่เขาเล่ามาดูเหมือนจะเกินจริงไปหลายเบอร์เมื่อ โจชัว และ รุยซ์ ยืนคู่กันก่อนชกบนเวที ทว่าหลังจากเสียงระฆังยุติการชกดังขึ้นทุกคนรู้แล้วว่า แอนดี้ รุยซ์ จูเนียร์ ไม่ใช่คนที่สมควรดูถูก

การที่ รุยซ์ แบกน้ำหนักตัวและปริมาณไขมันที่เกินเกณฑ์ปกติแต่สามารถเอาชนะ โจชัว ได้นั้นเกิดจากหลายสิ่งประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งความกระหายในชัยชนะ, ความสามารถเฉพาะตัว, การมีวินัยอย่างจริงจังตลอด 6 สัปดาห์ระหว่างก่อนขึ้นชก และการ "คาดไม่ถึง" ของตัว โจชัว เอง ดังนั้นไม่ใช่คนอ้วนทุกคนบนโลกที่สามารถเอาชนะนักชกเฮฟวี่เวทอย่าง โจชัวได้แน่นอน


Photo : www.forbes.com

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่อาจจะกล่าวได้ว่าน้ำหนักตัวของเขามีปัญหาได้เลย เพราะการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีของเขาเอง เขาอ้วนเกินไปบ้างแต่เขาก็เร็วไม่ใช่หรือ? เขาอาจจะดูไม่เหมือนนักกีฬาแต่คางของเขาก็แข็งโป๊กทนหมัดของโจชัวได้ไม่ใช่หรือ? เขาอาจจะกินเยอะแต่เขาก็แข็งแกร่งและอึดพอ (เคยยืนครบยกระดับ 10 และ 12 ยกมาแล้ว)  แม้ร่างกายของเขาจะชวนดูแคลนสำหรับการเป็นแชมป์ แต่ที่สุดแล้ว "ประสิทธิภาพ" ในการชกของเขาเป็นอย่างไรล่ะ? น่าชื่นชมแค่ไหน …

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนักตัว หรือว่าอ้วน-ไม่อ้วนอย่างไร แต่มันขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลมากกว่า รุยซ์ คือนักชกน้ำหนักเกินรู้ว่าจะต้องชกกับใครและจะต้องทำอะไร แต่หากเขาสามารถทำร่างกายให้สมบูรณ์แบบมากกว่านี้ ไม่แน่เขาอาจจะเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทครบทั้ง 4 สถาบันหลัก WBA, WBC, IBF และ WBO ก็เป็นได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook