อย่าลบหลู่เชียว : 13 ความเชื่อสุดแปลกในโลกกีฬาที่ทำแล้วมักลงท้ายด้วย "ชัยชนะ"

อย่าลบหลู่เชียว : 13 ความเชื่อสุดแปลกในโลกกีฬาที่ทำแล้วมักลงท้ายด้วย "ชัยชนะ"

อย่าลบหลู่เชียว : 13 ความเชื่อสุดแปลกในโลกกีฬาที่ทำแล้วมักลงท้ายด้วย "ชัยชนะ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รองเท้าเก่าคู่เก่งใส่มันจนขาดวิ่นของ แจ็ค กลีริช เป็นการถือเคล็ดส่วนตัวที่ทำให้เขาช่วย แอสตัน วิลล่า คว้าตั๋วขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สร้างความตื่นเต้นให้กับโลกกีฬาพอสมควร

 

อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องความเชื่อและโชคลางในวงการกีฬามีมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ และบางความเชื่อก็แปลกประหลาดจนคุณไม่มีทางเดาออกว่าพวกเขาทำมันไปเพื่ออะไร

โยนปลาหมึกยักษ์ 8 หนวดลงกลางสนาม, ฉี่ใส่มือ, หุบปากสนิทห้ามร้องเพลงชาติ และ คุยกับแป้นบาส และนี่คือส่วนหนึ่งเท่านั้น ติดตามทั้งหมดได้ที่นี่

1. หมึกยักษ์ในสนามลานน้ำแข็ง

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของหมึกพอล ที่ทำนายการเเข่งขันฟุตบอลโลกมาเเล้ว และคงจำกันได้ว่าตอนนั้นมีการวิจารณ์ว่าเป็นการทารุณสัตว์... อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาได้รู้การถือเคล็ดโยนปลาหมึกยักษ์ลงลานฮ็อคกี้น้ำแข็ง พวกเขาจะเลิกสงสารหมึกพอลผู้ล่วงลับไปเลย

 1

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูจะเหมือนจะตลก แต่จริงๆแล้วมีการเถียงกันเเบบคอเป็นเอ็นระหว่างแฟนฮ็อคกี้ลีกในประเทศแคนาดากับกลุ่มคนที่เห็นใจสัตว์ที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์นำโชค  ซึ่งความซวยของเจ้าหมึกยักษ์คือพวกมันดันมีหนวด 8 เส้น ตรงกับจำนวนแมตช์ที่แต่ละทีมต้องชนะเพื่อให้ได้เป็นแชมป์ในรายการ สแตนลี่ย์ คัพ ... หนวดของปลาหมึกแต่ละเส้นจะถูกตีค่าเท่ากับชัยชนะ 1 เกม และนั่นคือสาเหตุที่แฟนๆฮ็อคกี้ โยนมันลงไปบนน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบก่อนเกมจะเริ่มขึ้น

ตำนานนี้เริ่มตั้งแต่ปีศึกสแตนลี่ย์คัพในช่วงปี 1952 โดยผู้ที่โยนลงไปคือแฟนของทีม ดีทรอยต์ เรด วิงส์ ที่เป็นเจ้าของตลาด อีสเทิร์น มาร์เก็ต และหลังจากนั้นธรรมเนียมการโยนปลาหมึกยักษ์ที่ตายเเล้วลงสนามฮ็อคกี้ก่อนเกมก็สืบทอดมาถึงทุกวันนี้

2. เคราเพลย์ออฟ

เคราเพลย์ออฟ คือการถือเคล็ดที่ได้รับความนิยมมากอเมริกันเกมส์  มันคือความเชื่อเรื่องโชคลางของเหล่านักกีฬาชายที่จะไม่ยอมโกนหนวดโกนเคราของพวกเขาทิ้งตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนกว่าจะได้เข้ารอบเพลย์ออฟ (การแข่งขันแบบแพ้คัดออก)

 2

จุดเริ่มต้นของการไว้เคราถือเคล็ดเกิดขึ้นในกีฬาฮ็อคกี้ในช่วงปี 1980 โดยทีมที่เริ่มใช้ได้แก่ นิวยอร์ค ไอซ์แลนด์เดอร์ส หลังจากนั้นมันก็ส่งอิทธิพลไปทั่วในลีกฮ็อคกี้แถบอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ยังมีทีมฮ็อคกี้ระดับโรงเรียนหลายแห่ง ที่นำเคล็ดวิชาหนวดเพลย์ออฟไปใช้ด้วย

อาจจะเป็นเพราะเมื่อมีคนทำเเล้วได้ผล จึงทำให้เคราเพลย์ออฟฮ็อตฮิต ลามไปยังวงการกีฬาๆอื่นในอเมริกาไม่ว่าจะเป็น อเมริกันฟุตบอล, เบสบอล, บาสเก็ตบอล, ฟุตบอล และแม้แต่เทนนิส ก็ยังมี!

3. กางเกงตัวเฮงจาก ไมเคิล จอร์เเดน

จุดกำเนิดของ ไมเคิล จอร์เเดน มาจากความพยายามอย่างแท้จริงโดยสมัยที่เขาเรียนไฮสคูลเขาเคยโดนตัดออกจากทีมเพราะถูกมองว่าความสามารถไม่ถึง ก่อนที่เขาจะเก็บคำวิจารณ์มาเป็นแรงผลักดันเพื่อฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก เขาเก่งขึ้นจริงๆ เก่งจนได้ทุนเข้ามหาวิทยาลัย  นอร์ธ แครอไลน่า

 3

ช่วงที่เล่นให้กับมหาวิทยาลัย จอร์เเดน เก่งกาจจนกลายเป็นประกายดาวเเห่งความหวัง ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคอบาสเก็ตบอลในอเมริกาต้องรู้จักชื่อเขาตั้งแต่ก่อนที่จะได้เล่นอาชีพเสียอีก ดังนั้นช่วงเวลาที่ นอร์ธ แครอไลน่า ถือเป็นช่วงเวลาการแจ้งเกิดและสร้างชื่อเสียงของ เอ็มเจ อย่างแท้จริง

กางเกงบาสเก็ตบอลที่เขาสวมใส่ในยุคนั้น เป็นกางเกงขาสั้นจู๋ ซึ่งกางเกงตัวนั้นก็กลายเป็นกางเกงตัวเฮงของเขาไปโดยปริยาย เพราะไม่ว่าจะไปเเข่งที่ไหน จอร์เเดน จะสวมใส่มันเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของ ชิคาโก้ บูลส์ เขาเองก็พกกางเกงตัวนี้มาด้วย และสวมมันใส่ภายในอีกชั้นก่อนจะใส่กางเกงของทีม  จะเกี่ยวหรือไม่ก็ไม่ใครทราบ แต่จอร์เเดน ถูกขนานนามว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA มาจนถึงปัจจุบัน

4. ถุงเท้าเน่าของ เซเรน่า

จอร์เเดน อาจจะสวมใส่กางเกงเก่าๆที่มีอายุเกิน 10 ปีลงเเข่งขัน แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความแปลกของ เซเรน่า วิลเลียมส์ อดีตนักเทนนิสหญิงมือ 1 ของโลก ที่ชอบสวมใส่อะไรเก่าๆเหมือนกัน แต่ที่หนักกว่าคือเธอ "เธอไม่ซักมัน" และใส่มันทั้งเน่าๆอย่างนั้นนั่นแหละ!

 4

สิ่งที่เธอถือเป็นโชคลางคือ "ถุงเท้า" 1 ในเครื่องแต่งกายที่เหม็นง่ายที่สุด แต่เธอก็ยืนยันว่ามันคือเคล็ดลับที่ทำให้เธอมั่นใจ เมื่อ เซเรน่า ไปแข่งทัวร์นาเม้นต์ไหน และประเดิมเเมตช์แรกด้วยชัยชนะ เธอจะสวมถุงเท้าคู่ที่ใส่ในเเมตช์แรกต่อเนื่องไปจนถึงรอบชิง เพราะเธอเชื่อว่ามันจะส่งพลังให้เธอเอาชนะคู่แข่งต่อไปได้อีกเรื่อยๆเหมือนที่เคยทำได้เสมอมา

นอกจากนี้ เซเรน่า ยังมีความเชื่ออีกเรื่องนั่น คือ การเดาะลูกเทนนิสกับพื้น 5 ครั้ง หากเธอเป็นคนได้เสิร์ฟเปิดเกม และมันจะเพิ่มเป็น 10 ครั้งหากเธอได้เป็นคนเสิร์ฟทีหลัง

5. อย่าตื่นตูม

คุณคงเคยได้ยินคำว่า “สงครามยังไม่จบอย่างเพิ่งนับศพทหาร” กันมาบ่อยครั้ง มันหมายถึงว่า หากยังไม่ได้รับชัยชนะจริงๆ จงอย่าตื่นตูมและดีใจเว่อร์ เพราะมันจะทำให้เสียสมาธิ และสถานการณ์ที่ดีๆอยู่อาจจะพลิกล็อกก็เป็นได้  

 5

นี่คือความเชื่อที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดในกีฬาแทบจะทุกประเภท นั่นคืออย่าประกาศอะไรที่มั่นใจเกินตัวก่อนเกมการตัดสินสุดท้ายจะมาถึง โดยจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนนั้นไม่มีระบุว่ากีฬาชนิดไหนเป็นชนิดที่ถือเคล็ดเรื่องนี้ แต่มันคือเรื่องที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนแบบเห็นได้ชัดมาก ยกตัวอย่างเช่นคุณกำลังดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลทีมรักของคุณกำลังแข่งและนำอยู่ 1-0 ในขณะที่เวลาเหลืออีกไม่กี่นาที... แม้ถึงตอนนี้มันจะดูค่อนข้างแน่นอน แต่ถ้าคนพากย์เกิดหลุดคำว่า "ทีม AAA จะชนะทีม BBB เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี" รับรองได้เลยว่าช่วงเวลาที่เหลือจะต้องอกสั่นขวัญแขวนและส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยผลการแข่งขันที่แหกโค้งเป็นประจำ

6. กินเเล้วมีพลัง....

นักชก UFC รายหนึ่งมานามว่า เลียวโต มาชิด้า และมีดีกรีเป็นถึงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทมีความเชื่อที่แปลกสุดๆนั่นคือการเพิ่มพลังให้ร่างกายจากสูตรลับที่สืบทอดต่อกันมาในครอบครัว นั่นคือการ "ดื่มฉี่" ของตัวเองในทุกๆเช้าหลังจากตื่นนอน

 6

"พ่อของผมดื่มปัสสาวะตัวเองมานานเเล้ว ตอนผมพูดแบบนี้หลายคนคิดว่าผมโจ๊กเล่นๆ แต่มันคือเรื่องจริง เเละตัวผมเองก็ดื่มปัสสาวะตัวเองทุกเช้าเพราะมันคือยาที่มาจากธรรมชาติ" เลียวโต ยืนยันด้วยตัวเอง

แม้จะดูชวนอี๋ แต่เรื่องแบบนี้มีมานานเป็นพันปีเเล้ว การดื่มหรือการใช้น้ำปัสสาวะของคนหรือของสัตว์เพื่อการบำบัดโรคนั้นมีการใช้กันทั่วโลก มีหลักฐานการจารึกในอิยิปต์โบราณ กรีก โรม คัมภีร์โยคะของอินเดีย ตำราการแพทย์จีน ดังนั้นการดื่ม การใช้น้ำปัสสาวะจึงเป็นภูมิปัญญาของมนุษยชาติที่เก่าแก่หลายพันปี ตามตำนานเรียกฉี่ว่า "ทองคำจากเลือด" เลยทีเดียว

7. เพิ่มความแม่นยำ

เรายังวนเวียนกันในเรื่องของปัสสาวะกันอยู่ แต่ครั้งนี้มีความอี๋ลงน้อยหน่อย มันเป็นเรื่องราวของ มัวเซส อาลู ผู้เล่นของทีม ชิคาโก้ คับส์ ทีมเบสบอลดังในสหรัฐอเมริกา  ที่เคยออกมายอมรับว่าเขามีความเชื่อที่จะทำให้มือของเขาจับลูกได้เเน่นขึ้นด้วยการฉี่ใส่มือตัวเองก่อนลงสนาม เพราะฉี่จะทำให้มือของเขาด้าน และเหมาะกับการคว้าลูกเบสบอลมากกว่าปกติ

 7

แม้เขาจะเชื่ออย่างนั้นแต่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม เพราะมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วการฉี่ใส่มือไม่ได้ทำให้ผิวที่มือด้านขึ้นเลย มันกลับตรงข้ามกันด้วยซ้ำไป...แต่ที่สุดเเล้วความเชื่อมันเปลี่ยนแปลงกันยาก เขายังทำเช่นนั้นต่อไป และมีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเเข่งขันปี 2004 ที่เขาติดทีมออลสตาร์ของลีกอีกด้วย

8. เสื้อเเดงของ ไทเกอร์ วู้ดส์

เดือนเมษายนที่ผ่านมา ไทเกอร์ วู้ดส์ อดีตนักกอล์ฟมือ 1 ของโลกกลับมาคำรามให้ลั่นวงการได้อีกครั้งในรอบ 11 ปีหลังคว้าแชมป์ เดอะ มาสเตอร์มาครองได้สำเร็จ

 8

เขาเล่าเรื่องราวหลังการแจ้งเกิดอีกครั้งว่าเหตุผลมาจากแรงผลักดันและความรักของคนในครอบครัว ทว่าสิ่งที่แฟนๆเห็นและรู้สึกได้คือเมื่อ ไทเกอร์ สวมเสื้อสีเเดง เขาจะมีความสามารถในการตีเพิ่มขึ้นและมักจะจบลงด้วยการเป็นแชมป์ และเดอะ มาสเตอร์ 2019 มันก็จบลงเช่นนั้นจริงๆ

แท้จริงเเล้วชุดเเดงนั้นไม่ใช่เก่งชุดเฮงอะไรของเขาขนาดนั้น แต่มันเกิดจากภาพจำที่เขามักจะสวมมันลงเล่นในวันสุดท้ายของการแข่งขัน และช่วงเวลาสำคัญๆ โดยที่มาของเสื้อแดงของ ไทเกอร์ ไม่ได้ซับซ้อน มันเกิดจากช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่น เขามักจะใส่เสื้อสีเเดงในวันอาทิตย์เป็นประจำอยู่เเล้ว เพราะคุณแม่ของเขาปลูกฝังว่าการใส่สีเเดงในวันอาทิตย์จะทำให้ได้รับพลังเป็นพิเศษสำหรับชาวราศีมังกรอย่างเขา และสุดท้ายมันก็ติดเป็นนิสัยที่เขามักจะทำมันเป็นประจำ  และบังเอิญที่การแข่งขันกอล์ฟแมตช์สำคัญๆ มักจะเเข่งขันกันในวันอาทิตย์อีกด้วย

9. คุยกับเทพเจ้าแป้นบาส

คาร์ล มาโลน เจ้าของ MVP ของศึก NBA 2 สมัยในปี 1997 และ 1999 คือหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล นั่นพอจะยืนยันถึงความเก่งกาจของเขาได้ ทว่าบางครั้งในการเเข่งขัน การเชื่อเรื่องโชคชะตาก็มีผลไม่น้อย

 9

มาโลน มีสถิติทำแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ และมีสถิติการยิงลูกโทษที่แม่นมาก แน่นอนจุดนี้มันอาจจะมาจากากรซ้อมที่หนักหน่วง แต่เขายืนยันว่าพระเจ้าแป้นบาสนั้นมีอยู่จริง เพราะก่อนที่เขาจะชู้ตลูกโทษ เขาจะกล่าวคำอธิษฐาน และทำปากขมุบขมิบเล็กน้อย เพื่อขอให้ตัวเองชู้ตลง  ซึ่งการอธิษฐานถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะ คาร์ล มาโลน มีเปอร์เซ็นต์การยิงลูกโทษแม่นยำถึง 74.2% เลยทีเดียว

เรายังอยู่กันที่นักบาสเก็ตบอลต่อไป และนี่คือเรื่องของ คารอน บัตเลอร์ ผู้เล่นของทีม ดัลลัส แมฟเวอริกส์ ชุดเเชมป์ NBA ปี 2011 ที่ทำลายกฎโภชนาการอย่างเละเทะเลยทีเดียว

อย่างที่รู้กันน้ำอัดลมถือเป็นอาหารขยะของนักกีฬาอาชีพ แต่ไม่ใช่กับ บัตเลอร์ เพราะเขาชอบมันมาก และหาเรื่องทำให้การกินน้ำอัดลมตามความชอบกลายเป็นเคล็ดและโชคลางอย่างหน้าตาเฉย ด้วยการยืนยันว่าตัวเขานั้นจำเป็นต้องกิน "เมาน์เทน ดิว" เป็นจำนวน "2 ลิตร!" ในช่วง 3 ชั่วโมง ระหว่างแข่ง เพื่อที่จะได้เพิ่มพลังในการทำเเต้มและทำลายล้างคู่แข่ง   แต่การที่เขาทำผลงานได้ดีเสมอ มันจึงกลายเป็นเคล็ดที่หลายคนยอมรับ และมีบางคนอยากจะจอยด้วย... โดยเฉพาะ โคบี้ ไบรอันท์ ตำนานผู้เล่นของเลเกอร์ส

ในช่วงที่ บัตเลอร์ อยู่ทีมเดียวกับ โคบี้ เจ้าตัวเล่าว่าเขาเองต้องเก็บขวดเมาน์เท่น ดิว ซ่อนไว้ให้ดีในช่วงที่เกมยังเเเข่งอยู่ เพราะโคบี้มักจะมาแอบดื่มน้ำอัดลมของเขาเป็นประจำ

10. ห้ามร้องเพลงชาติ

มาริโอ โกเมซ คือดาวยิงมากประสบการณ์และเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์โลกในปี 2014 และในทัวร์นาเม้นต์นั้นคุณได้สังเกตพฤติกรรมก่อนลงสนามของเขาคุณจะพบว่า เขาไม่ยอมร้องเพลงชาติ

 10

เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการไม่รักชาติแต่อย่างใด เหตุผลมันง่ายจนเหลือเชื่อ เพราะ โกเมซ เล่าว่าที่เขาไม่ยอมร้องเพลงชาติเยอรมันเหมือนเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ นั่นก็เพราะว่าสมัยที่เขาเป็นนักเตะเยาวชนเมื่อนานมาเเล้ว บังเอิญมีนัดหนึ่งที่เขาดันเผลอลืมร้องเพลงชาติก่อนลงสนาม แม้จะรู้สึกตงิดๆอยู่บ้าง ทว่าหลังจากลงเล่นไปพบว่าเขากลับยิงประตูได้ และทำให้ทีมชนะ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เขาปฎิบัติมาเสมอ จนถึงวันที่ตัวเขาเองได้กลายเป็นเเชมป์โลก

11. ไม่เจ็บตัวเล่นไม่ได้

จอห์น เฮนเดอร์สัน ผู้เล่นในตำแหน่ง ดีเฟ้นซีฟ แท็คเกิล ของทีม แจ็ตสันวิลล์ จากัวร์ มีหน้าที่ต้องไล่ผู้เล่นเกมรุกของคู่แข่งไม่ให้ทำเเต้มได้ และการจะหยุดคู่ต่อสู้ได้นั้น มันต้องมาจากการเล่นที่ดุดัน

 11

ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่นๆพยายามทำสมาธิให้นิ่งก่อนที่จะลงสนามแต่ เฮนเดอร์สัน นั้นชอบจะทำให้ตัวเองฟุ้งซ่านด้วยการเรียกเทรนเนอร์ส่วนตัวของเขาเดินเข้าตบหน้าแรงๆซ้ำๆหลายๆครั้ง เพื่อเป็นการปลุกปีศาจในตัวให้ตื่นขึ้น และเมื่อเขาเกิดความแค้นจากความเจ็บที่เกิดขึ้น เขาจะเอามันไปลงกับผู้เล่นฝั่งตรงข้ามทันที...

12. หมอผีคือโค้ชของเรา

ชาวแอฟริกันเชื่อในเรื่องการสร้างโลกของพระเจ้า และเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีไม่แพ้กับคนไทย จริงหรือไม่นั้นให้ย้อนกลับไปในฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ประเทศ อิตาลี ซึ่งแคเมอรูน สร้างชื่อถึงขีดสุด พวกเขากลายเป็นทีมจากแอฟริกันทีมแรกที่ไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และเรื่องนี้มีการให้เครดิตกับหมอผีประจำทีมไม่น้อยเลยทีเดียว

 12

ณ เวลานั้นมีตำแหน่ง "หมอผี" ประจำทีมที่ถือเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของทีม คอยเดินทางไปยังที่ต่างๆ เมื่อแคเมอรูน ลงสนาม โดยว่ากันหมอผีในคราบเจ้าหน้าที่ จะคอยทำพิธีขอพรจากพระเจ้าให้บันดาลชัยชนะแก่พวกเขา  ซึ่งการไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก็ดูแล้วเป็นผลงานที่เกินคาดจริงๆ

ไม่ใช่แค่ เเคเมอรูน เท่านั้น ในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่ เยอรมัน มีอีกชาติหนึ่งที่ใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วย แต่หนนี้เป็น เอกวาดอร์ ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ พวกเขาให้ "ผู้วิเศษ" คนดังของประเทศที่ชื่อ มาซามาเรนด้า นาชาปี เดินทางมากับทีมด้วยและส่ง นาชาปี ไปทำพิธีในสนามที่ใช้ในการแข่งขันทั้ง 12 สนาม เพื่อกำจัดวิญญาณชั่วร้ายที่จ้องจะทำลายความหวังของทีมชาติเอกวาดอร์

ถามว่ามันเวิร์กหรือไม่ คงต้องตอบว่าเป็นอีกครั้งที่การมีหมอผีประจำทีมทำให้ผลงานออกมาเกินคาด เอกวาดอร์ ผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะถึง 2 นัด แม้ว่าจะแพ้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่สำหรับทีมโนเนมในตอนนั้นแค่นี้ก็เกินคาดเเล้ว

13. ผ้าขนหนูนำชัย

เจอร์รี่ ทาร์คาเนี่ยน คือเฮ้ดโค้ชของทีมบาสเก็ตบอลระดับมหาวิทยาลัยของอเมริกา เขาพาทีม UNLV คว้าชัยชนะมากว่า 990 เกม และถูกจดจำจากแฟนๆบาสเก็ตบอล 2 แบบ อย่างแรกคือในฐานะโค้ชที่เก่งที่สุด และอย่างที่สองคืออัจฉริยะที่แค่ดูดผ้าขนหนูก็ทำให้ทีมชนะได้เเล้ว

 13

ทาร์คาเนียน มักจะเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาคาบและดูดตลอดช่วงเวลาที่เขาคุมทีมลงเเข่งขัน มันเป็นภาพที่แปลกและถูกตีความไปทางจิตวิทยามากมาย หลายคนบอกว่าเขาทำมันเพราะอยากทำลายสมาธิคู่แข่ง แต่จริงๆแล้วเขาได้ผ้าผืนนี้มาจากนักเรียนของเขาพร้อมแนะนำว่าเอาชุบน้ำและกัดไว้เพื่อที่ปากจะได้ไม่แห้งระหว่างคุมทีมเท่านั้นเอง  

ดูเหมือนว่าเวลาที่คนเก่งๆทำอะไรเล็กๆน้อยๆก็ดูจะมีความหมายเต็มไปหมด และการคาบผ้าขนหนูของ ทาร์คาเนี่ยน ถูกยกย่องจนเอามาสร้างเป็นรูปปั้นในมหาวิทยาลัยไปเรียบร้อยเเล้ว

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ อย่าลบหลู่เชียว : 13 ความเชื่อสุดแปลกในโลกกีฬาที่ทำแล้วมักลงท้ายด้วย "ชัยชนะ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook