"เบอร์นาร์ด โทมิช" : แบดบอยแห่งวงการเทนนิสยุคใหม่ ผู้ไม่ต้องการใช้พรสวรรค์

"เบอร์นาร์ด โทมิช" : แบดบอยแห่งวงการเทนนิสยุคใหม่ ผู้ไม่ต้องการใช้พรสวรรค์

"เบอร์นาร์ด โทมิช" : แบดบอยแห่งวงการเทนนิสยุคใหม่ ผู้ไม่ต้องการใช้พรสวรรค์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“คุณจะสนใจอะไรถ้าคุณอายุ 23 และมีรายได้เกินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ?” แบร์นาร์ด โทมิช ลั่นวาจาเอาไว้ หลังถูกต่อว่าจากความไม่ทุ่มเท 

ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นความหวังแห่งวงการเทนนิสออสเตรเลีย จากผลงานในสมัยดาวรุ่ง แม้ถึงทุกวันนี้เขายังอยู่เส้นทางลูกสักหลาด แต่ก็ผิดจากที่คาดกันไว้พอสมควร เขาไปไกลที่สุดในการแข่งขันระดับแกรนด์สแลมคือรอบ 8 คนสุดท้ายวิมเบิลดัน  และคว้าแชมป์ระดับ ATP มาได้ 4 รายการ ทั้งที่น่าจะรุ่งโรจน์กว่านี้

 

อะไรที่ทำให้เขาไปไม่สุด และนี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มฝีมือดี แต่ทัศนคติสวนทาง

เยาวชนเบอร์หนึ่งของโลก

แม้ว่าพ่อจะเป็นชาวโครเอเชีย แม่เป็นชาวบอสเนีย และเกิดที่สตุ๊ตการ์ท เยอรมัน แต่สำหรับเทนนิส โทมิช เลือกเล่นให้กับออสเตรเลีย ประเทศที่พ่อและแม่ของเขาย้ายมาตั้งรกรากตั้งแต่เขาอายุเพียง 3 ขวบ 

โทมิชได้รับการสอนเทนนิสโดย จอห์น โทมิช พ่อของเขา ที่หวังให้เขาและน้องสาวเติบใหญ่เป็นสตาร์ของวงการเทนนิสโลก และเขา ก็ไม่ทำให้ความพยายามของพ่อต้องสูญเปล่า เมื่อสถาปณาตัวเองขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในระดับเยาวชน เดินหน้ากวาดถ้วยรางวัลมาประดับตู้โชว์อย่างมากมาย ด้วยสไตล์การเล่นที่รวดเร็วและเทคนิคที่แพรวพราว 

 1

โทมิช สามารถคว้ามาได้ทั้งแชมป์ออเรนจ์โบล์ว 3 สมัยตั้งแต่ปี 2007-2010 แชมป์ออสเตรเลียนโอเพนจูเนียร์ในปี 2009 ที่กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่คว้าถ้วยนี้ และในปีต่อมาเขายังเดินหน้าความสำเร็จด้วยแชมป์ยูเอสโอเพน จูเนียร์ 

ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2011 เขายังทำสถิติกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทะลุเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายในศึกวิมเบิลดัน นับตั้งแต่ บอริส เบ็คเกอร์ เคยทำได้ตั้งแต่ปี 1986 ด้วยวัย 18 ปี

เขายังได้รับการดูแลจาก IMG บริษัทชื่อดังตั้งแต่ปี 2006  และมีสปอนเซอร์เป็นบริษัทกีฬาข้ามชาติอย่างไนกี้ ทั้งที่เพิ่งอายุเพียง 13 ปี ทำให้เขากลายเป็นความหวังใหม่ของประเทศ ในเวลานั้นทุกสายตาเชื่อว่าเจ้าชายคนใหม่ของวงการเทนนิสแดนจิงโจ้ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว 

แต่เขาก็ทำให้ทุกคนคิดผิด

ปีนเกลียวรุ่นพี่-ขู่หนีจากออสเตรเลีย  

หลังจากเข้าสู่วงการมืออาชีพตั้งแต่ปี 2008 เขาก็กลายเป็นที่สนใจจากคนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาชนะ ยื่อ ซู่ หวัง ชาวไต้หวันในนัดชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน 

ทว่าในปี 2009 ในขณะที่เขารั้งอันดับ 354 ของโลก ตอนที่ลงแข่งในศึก วิมเบิลดัน จูเนียร์ส เขากลับทำเรื่องสุดช็อคด้วยการปฎิเสธลงซ้อมกับ เลย์ตัน ฮิววิตต์ นักหวดรุ่นพี่ชาวออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแชมป์เก่าวิมเบิลดัน ที่กำลังเตรียมลงแข่งในรอบ 4 ของรายการนั้น 

ทีมงานของฮิววิตต์ อ้างว่าพวกเขาได้โทรไปชวน โทมิช หนึ่งวันก่อนหน้านั้น แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ทว่าตอนที่ฮิววิตต์เดินทางไปถึงคอร์ท กลับพบ โทมิช อยู่ที่สนามซ้อมอยู่แล้ว 

 2

อิวาน กูเตียเรซ นักกายภาพของฮิววิตต์ เข้าใจว่า โทมิช วัย 16 ในตอนนั้น รอที่จะลงซ้อมกับรุ่นพี่ แต่ทันทีที่เข้าไปหากลับผิดคาด เมื่อตัวแทนของ โทมิช บอกกูเตียเรซว่า “เขาจะไม่เล่นกับ เลย์ตัน เพราะเลย์ตันฝีมือดีไม่พอ” 

อย่างไรก็ดี ภายหลัง โทมิช ก็มาโต้ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธไอดอลและรุ่นพี่เพียงเพราะฝีมือไม่ดีพอ แต่เนื่องมาจากตอนนั้นเขาป่วยเป็นไข้หวัดหมูมากกว่า 

“สิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่น (ที่วิมเบิลดัน) ถือเป็นความลับ ผมมีไข้หวัดหมู และอาจจะไม่ได้เล่น ดังนั้นมันจึงไม่ยุติธรรมที่จะบอกเลย์ตันเกี่ยวกับอาการป่วยของผม” โทมิชกล่าว

“หมอบอกผมว่า ผมอาจจะไม่ได้เล่น และคุณสามารถตรวจสอบกับหมอได้หากคุณอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น”   

นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของของ โทมิช ที่สร้างปัญหาตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 20 เมื่อในปีต่อมา เขายังสร้างชื่อ (เสีย) อย่างต่อเนื่อง ด้วยขอร้องแกมขู่สมาคมเทนนิสออสเตรเลียให้เปลี่ยนเวลาลงแข่งให้เขาโดยนำเรื่องอายุมาอ้าง

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในศึกออสเตรเลียน โอเพน 2010 เมื่อโทมิช โคจรมาพบกับ มาร์ริน ซิลิค มืออันดับ 14 ของโลก เกมคู่คี่สูสีจนต้องเล่นกันถึง 5 เซ็ต และลากยาวมาจนถึงตีสองของอีกวัน 

 3

ทว่าหลังการต่อสู้อันยาวนานที่จบลงด้วยชัยชนะของคู่แข่ง โทมิช ก็ออกมาโวยว่าการแข่งขันนั้นดึกเกินไปสำหรับเด็กอายุ 17 และขอให้เขาได้แข่งในช่วงกลางวัน ในขณะเดียวกัน พ่อของเขายังขู่สมาคมเทนนิสว่าจะให้ลูกชายไปเล่นให้กับโครเอเชียหากไม่ทำตามที่ร้องขอ 

“สำหรับคนทั่วไป ผมอยากขอร้องให้เล่นตอนกลางวัน และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ผมคิดว่ามันตลกมาก โดยเฉพาะผม ในวัยนี้มันยากมาก” โทมิชกล่าว

เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักเทนนิสจอมโวย แต่นั่นไม่ใช่วีรกรรมสุดท้ายของเขา 

Tomic the Tank Engine

หลังเทิร์นโปร โทมิช เริ่มก้าวขึ้นมาเป็นที่สนใจในวงการเทนนิสโลก นอกจากการเข้าไปถึงรอบ 8 คนสุดท้ายในศึกวิมเบิลดันเมื่อปี 2011 เขายังเดินหน้าสานความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศระดับ ATP เป็นครั้งแรกใน บริสเบน อินเตอร์เนชั่นแนล ในปี 2012 ต่อด้วยการคว้าแชมป์ ATP ในปีต่อมาจนทำให้เขาขึ้นไปรั้งอันดับ 51 ของโลกในวัย 21 ปี 

แม้ว่าในคอร์ทจะเริ่มประสบความสำเร็จ แต่นอกสนามกลับตรงกันข้าม เขาสร้างปัญหาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะการควบ BMW M3 เร็วเกินกำหนดจนถูกใบสั่ง 3 ครั้งรวด ก่อนจะหนีเข้าบ้านและขังตัวเองอยู่ในนั้น เมื่อปี 2012 จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แถมยังมาถูกจับเรื่องขับรถเร็วอีกครั้งในปีต่อมา ซึ่งครั้งนี้ถึงขั้นโดนยึดใบขับขี่เลยทีเดียว 

เขายังเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายอีกมากมาย ทั้งมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่ Surfers Paradise ในห้องสปา จนต้องเรียกตำรวจมาระงับเหตุ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเพิ่งเคลียร์คดีขับรถเร็วเกินกำหนดของปี 2012 เพียงแค่หนึ่งวัน หรือการที่พ่อของเขาเอาหัวไปโขกคู่ซ้อมระหว่างการแข่งขันมาดริดโอเพน จนถูกตัดสินจำคุก 8 เดือน รวมไปถึงการถูกจับที่ไมอามี หลังปาร์ตีจนเกือบเช้าและพยายามปฏิเสธการจับกุมจากเจ้าหน้าที่เมื่อปี 2015 

 4

นอกจากนี้เขายังมีปัญหาเรื่องทัศนคติ โทมิช มักถูกวิจารณ์เรื่องความทุ่มเท ในศึก ยูเอส โอเพน 2012 รอบที่สอง เขาพ่ายให้กับ แอนดี ร็อดดิค 3 เซ็ตรวด ซึ่งฟอร์มของเขาในวันนั้นถึงขั้นรับไม่ได้จน จอห์น แม็คเอ็นโร  อดีตนักเทนนิสระดับตำนานของโลกชาวอเมริกันต้องออกมาตำหนิ 

“โทมิช กำลังทำมัน มันเหมือนกับการเล่นไม่เต็มที่ มันน่าละอายมาก คุณคงไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้” แม็คเอ็นโร ให้ความเห็น 

โทมิช มักจะทิ้งเกมหากเขารู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะได้ในเกมนั้น ซึ่งทัศนคติของที่เลวร้ายแบบนี้ทำให้เขาถูกแบนจากทีมชาติออสเตรเลีย ในศึกเดวิส คัพ ในช่วงปลายปี 2012 และปี 2015 ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาคือผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ติดทีมชาติออสเตรเลียในวัย 17 ปีเมื่อปี 2010 

“(แพท ราฟเตอร์ กัปตันเดวิสคัพ) ตัดสินใจก่อนที่จะแข่งนัดแรกในปีหน้า เบอร์นาร์ดจะไม่ถูกรับเลือก” เครก ไทเลย์ จากสมาคมเทนนิสออสเตรเลียกล่าว

“ในฐานะทีม เราเพียงรู้สึกว่าส่วนหนึ่งของพันธสัญญาที่เราทำระหว่างนักกีฬากับนักกีฬา คือการทำให้กีฬาลงแข่งอย่างเต็มร้อยอยู่เสมอ และทุ่มเทในการแข่งขันเพื่อประเทศของเรา” 

ความทุ่มเทของเขายังเป็นคำถามอย่างต่อเนื่อง ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกโห่จากแฟนในสนาม หลังขอถอนตัวโดยอ้างว่ามีอาการบาดเจ็บ ในเกมพบกับ ราฟาเอล นาดาล ยอดนักเทนนิส และขอถอนตัวจากทีมชาติในโอลิมปิก 2016 โดยอ้างว่ามีภาระงานมากเกินไป  

แต่ที่โด่งดังที่สุดคือในศึกมาดริด โอเพน 2016 ที่พบกับ ฟาบิโอ ฟ็อกนินี ในแมตช์พอยท์ โทมิช ทำเรื่องไม่น่าเชื่อด้วยการถือแร็คเก็ตทางด้านตาข่ายและหงายด้านมือจับขึ้น แน่นอนว่าหลังเกมวันนั้นเขาถูกวิจารณ์อย่างหนักจากสื่อในออสเตรเลียและถูกตั้งฉายาว่า “Tomic the Tank Engine” 

 5

“คุณคือคนที่มีชื่อเสียงด้วยหัวใจขนาดถั่วลิสง เป็นคนถูกประทานพรสวรรค์ที่เกินคนธรรมดา แต่กลับใจเสาะ ไม่สามารถเอากึ๋นออกมาใช้” ปีเตอร์ ฟิตซ์ไซมอน คอลัมนิสต์จาก Sydney Morning Herald กล่าว

“คุณกำลังแบกอะไรอยู่ อะไรอยู่ในหัวของคุณ มันช่างน่าอายสำหรับประเทศของเรา” 

อะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้? 

มีพรสวรรค์แต่ไม่อยากใช้ 

แพท ราฟเตอร์ กัปตันเดวิสคัพ เคยกล่าวเอาไว้เมื่อปี 2013 ว่า โทมิช น่าจะขึ้นไปถึงอันดับ 10 ของโลกได้หากเขาใช้ตั้งใจมากกว่านี้ ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่เขาทำนายไว้ เมื่อนักหวดพรสวรรค์รายนี้ไปไกลที่สุดแค่เพียงอันดับ 17 ของโลกเมื่อปี 2016 

อย่างไรก็ดี มันอาจจะเป็นสิ่งที่โทมิชตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เพราะที่จริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้ชอบเทนนิสมากนัก แต่ที่เล่นอยู่เพราะรายได้ของมัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะไม่ปรับปรุงตัวเองจากเสียงวิจารณ์ 

“ผมไม่แคร์เกี่ยวกับแมตช์พอยท์ คุณจะสนใจอะไรถ้าคุณอายุ 23 และมีรายได้เกินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” โทมิชกล่าวหลังแมตช์อื้อฉาวในมาดริดโอเพนเมื่อปี 2016 

 6

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ โทมิช เป็นแบบนี้เพราะว่าเขาเริ่มเบื่อเทนนิส เขายอมรับว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มร้อย หากเฉลี่ยแล้วเขาใช้ความสามารถไปเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

“เทนนิสเลือกผม มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยตกหลุมรัก” โทมิชกล่าวกับ Australia's Channel Seven

“ตลอดชีวิตอาชีพผมให้เต็มร้อย แต่บางทีผมก็ใช้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณอยากให้มันสมดุล ผมคิดว่าตลอดชีวิตอาชีพของผมน่าจะใช้ความสามารถไปราว 50 เปอร์เซ็นต์ 

“ผมไม่เคยเหนื่อยจริงๆ และยังคงประสบความสำเร็จ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งน่าทึ่งที่ผมทำได้” 

สำหรับนักเทนนิสทั่วไป การคว้าแชมป์คือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด หากได้มีโอกาสลงแข่ง แต่สำหรับโทมิชกลับต่างออกไป 

“ผมรู้สึกว่าการได้ยกถ้วย หรือทำผลงานได้ดี ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพอใจอีกต่อไป” โทมิชกล่าวต่อ

“ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น ผมไม่สนใจว่าผมจะเข้ารอบ 4 ยูเอสโอเพน หรือตกรอบแรก สำหรับผมทุกอย่างก็เหมือนกัน” 

ฟังดูเหมือนว่าเขาจะหมดไฟ และจะเลิกเล่นในอีกไม่ช้า แต่กลับไม่ใช่ โทมิช ยืนยันอย่างหนักแน่นเมื่อปี 2017 ว่าเขาจะยังเล่นต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปี หรือจนกระทั่งอายุ 34 ปี 

“อย่างที่คุณรู้ ผมจะเล่นต่อไปอีก 10 ปี ผมรู้ว่าหลังจากผมเลิกเล่น ผมจะไม่สามารถทำงานได้อีกครั้ง” 

 7

ทุกวันนี้ โทมิช ยังคงไล่ล่าความสำเร็จ (หรือเงินทอง) ต่อไป เขามีผลงานที่ดีเมื่อปี 2018 ด้วยการคว้าแชมป์ระดับ ATP ในเฉิงตูโอเพน แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงรอบลึกแกรนด์สแลมได้อีกเลย นับตั้งแต่ทำได้ตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน

นับเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับวงการเทนนิสออสเตรเลีย และเทนนิสโลก ที่มีนักหวดดาวรุ่งอนาคตไกล เพียงแต่ไม่ได้ใช้พรสวรรค์ในทางที่ถูก ทั้งที่ด้วยฝีมือน่าจะก้าวขึ้นไปรั้งอันดับต้นๆของโลกได้

“ชาวออสเตรเลียพยายามให้อภัย แต่เขาไม่เคยยอมรับ และยังทำนิสัยเแย่ๆต่อไปเรื่อยๆ” ราฟเตอร์กล่าว 

“ผมอยากจะคิดว่าเขาสามารถยอมรับความผิดพลาดในอดีต และเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตระหนักว่า หลังจากนี้เขาสามารถกลับมาเป็นคนดีได้”  

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ "เบอร์นาร์ด โทมิช" : แบดบอยแห่งวงการเทนนิสยุคใหม่ ผู้ไม่ต้องการใช้พรสวรรค์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook