วัชระ บัวทอง : ประตูทีมชาติไทยที่เล่าทุกช่วงเวลาของชีวิตผ่านการทำเพลงแร็ป

วัชระ บัวทอง : ประตูทีมชาติไทยที่เล่าทุกช่วงเวลาของชีวิตผ่านการทำเพลงแร็ป

วัชระ บัวทอง : ประตูทีมชาติไทยที่เล่าทุกช่วงเวลาของชีวิตผ่านการทำเพลงแร็ป
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชีวิตนักฟุตบอลแต่ละคน แม้จะมีหน้าที่ ในสนามฟุตบอลไม่ต่างกัน แต่เรื่องนอกสนามฟุตบอล ทุกคนล้วนมีกิจกรรมอดิเรก สิ่งที่รัก สิ่งที่สร้างความสุข ในวันว่างแตกต่างกันออกไป 

สำหรับ “วัชระ บัวทอง” ผู้รักษาประตูฝีมือดี จากสโมสร การท่าเรือ เอฟซี อาจมีกิจกรรมส่วนตัว ที่ไม่เหมือนนักฟุตบอลทั่วไป เพราะความสุขนอกสนามฟุตบอลของเขา คือ การทำเพลง ผ่านเนื้อร้อง และทำนองด้วยตัวเอง 

ที่สำคัญ เพลงของเขา ไม่ใช่เพลงธรรมดาทั่วไป แต่เขาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยการแร็ป ผ่านบทเพลงแนวฮิปฮอป ที่เขาต้องการจะสื่อตัวตน และความหมายบางอย่างออกไป ด้วยบทเพลงที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น

นับตั้งแต่ ปล่อยซิงเกิลแรก ในปี 2016 กับเพลงนางฟ้าท่าเรือ วัชระ บัวทอง ยังคงปล่อยเพลงออกมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเพลงอ่อนซ้อม, ท่าเรือคือตำนาน, น้าฉ่วย, ขอเสื้อ, พี่ตี๋ สินทวีชัย, พลังเชียร์ไทย ซึ่งปัจจุบัน เขากำลังอยู่ในช่วงแต่งเพลงพิภพ อ่อนโม้ ให้กับอดีตดาวยิงทีมชาติไทย

Main Stand จะไปพูดคุยกับ วัชระ บัวทอง หรือชื่อในวงการอย่าง W-Hot ถึงจุดเริ่มต้นในฐานะแร็ปเปอร์ เหตุใดเขาถึงต้องลุกขึ้นมาจับไมค์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวผ่านบทเพลง?  สิ่งใดที่เขาอยากจะถ่ายทอดออกไป ไปพบกับมุมมอง แนวคิด และตัวตนที่แตกต่าง ไม่เหมือนใคร ของผู้ชายคนนี้ไปพร้อมกับเรา

เล่าถึงจุดเริ่มต้น ของความชอบด้านดนตรีหน่อยครับ

เริ่มมาจาก ที่บ้านผมเป็นมโนราห์ ขับร้องขับกลอน บวกกับที่บ้าน เปิดร้านคาราโอเกะ ร้องเพลงตอนกลางคืน ผมก็ซึมซับมาจากตรงนั้น ชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก

สมัยเด็กๆ ผมก็ไปร้องเพลงคนอื่นตามคาราโอเกะ แล้วรู้สึกไม่ชอบ เลยลองมาเขียนเนื้อเพลงเอง ทำสนุกๆไว้ร้องเอง หลังจากนั้นผมไปเข้าโรงเรียนกีฬา ก็ชอบร้องเพลง ดีดกีตาร์กับเพื่อน 

วันหนึ่งเพื่อนทำหนังสือเพลงหาย ผมก็เลยแต่งเนื้อร้องด้วยตัวเอง ให้เพื่อนเอาไปร้อง ใส่ทำนองเอา สมัยนั้นแค่เพื่อนเอาเพลงผมไปร้องในห้องน้ำ ก็ดีใจมากแล้วครับ


แสดงว่า เริ่มแต่งเพลงเอง ตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหมครับ?

ใช่ครับ ตอนเด็กผมเริ่มฝึกแต่งเพลง จากการดูคำสัมผัสในเพลงว่า เขาใช้คำแบบไหน สัมผัสคำอย่างไร ผมดูๆไป ก็รู้สึกว่า มันเหมือนกับ การแต่งกลอนแบบที่ผมเคยเรียน สมัยอยู่ชั้นประถม

ช่วงแรกๆ ผมแต่งเพลง โดยอิงจากการเขียนกลอน ผมลองเริ่มต้น ด้วยการแต่งเพลงให้แม่ หลังจากนั้นก็เปลี่ยน ไปเขียนเพลงเกี่ยวกับความรัก แต่เขียนไปเขียนมา รู้สึกว่าไม่ชอบเขียนเนื้อร้อง เกี่ยวกับความรัก มันดูไม่ได้อะไร และคิดว่าตัวเอง อยากเล่าเรื่องแบบอื่นมากกว่า

มีใครเป็นต้นแบบ ในการเขียนเนื้อเพลงครับ

ตอนเด็กผมชอบเพลงของเสก โลโซ เพราะว่าเพลงเขาร้องง่ายๆ เล่าเรื่องง่ายๆ แต่มีเนื้อร้องที่ติดหู ผมก็เรียนรู้การแต่งเพลง จากเสก โลโซ มาโดยตลอด ว่าแต่ละท่อนต้องแต่งยังไง เขียนเนื้อแบบไหน เล่าเรื่องแบบไหน

คุณชอบเสก โลโซ สมัยเป็นเด็ก แสดงว่าเมื่อก่อนไม่ได้ชอบเพลงแนวฮิปฮอป?

ไม่เลยครับ ผมก็ชอบเพลงร็อค เพลงที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีเหมือนคนทั่วไปนี่แหละครับ


ถ้าอย่างนั้น กลายมาเป็นเเร็ปเปอร์ ได้อย่างไรครับ

เล่าย้อนก่อนครับว่า ปกติผมก็เขียนเนื้อเพลง แต่งเพลงของผมอยู่แล้ว เอาไว้ร้องเล่นกันเอง กับคนใกล้ตัว ไม่เคยคิดจะทำเพลงจริงจัง ถึงขั้นเป็นศิลปินเลยครับ เพราะรู้สึกว่าต้องใช้เงินเยอะ

แล้วพอผมมาอยู่ท่าเรือ ผมได้ไปเจอ AK7 พี่เขาเป็นนักข่าว ชอบฟังเพลงฮิปฮอป และเป็นคนใต้เหมือนกัน ผมมีโอกาสได้คุยกับพี่เขา 

ผมบอกพี่เขาไปว่า “ผมอยากทำเพลง แต่ไม่รู้จะทำที่ไหน” พี่เขาก็แนะนำให้รู้จักเพื่อนที่มีสตูดิโอ ผมก็ได้ทำเพลงแรกขึ้นมา ชื่อเพลง “นางฟ้าท่าเรือ” แต่งให้มาดามแป้ง

ช่วงแรกๆ ผมก็ยังทำเพลงปกติทั่วไป จนกระทั่งผมมีโอกาสได้ลองแร็ป แล้วผมก็รู้สึกว่า “เฮ้ย การแร็ปมันง่ายดีนะ” หลังจากนั้นผมเลยแต่งเพลง ด้วยการร้องแบบแร็ปมาตลอด


แสดงว่า คุณเห็นความแตกต่างของการแร็ปกับการร้องปกติ ?

เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดจะแร็ปเลยนะ เพราะรู้สึกว่ามันเร็วไป เราร้องไม่ทัน แต่พอได้มาลองทำจริงๆ ผมก็รู้สึกว่ามันเหมือนการร้องเพลงปกติ ที่สำคัญ การแร็ปสามารถเขียนเนื้อหาเพลง ที่เราอยากจะสื่อออกไป ได้เยอะกว่าด้วย

ผมคิดว่าเพลงแร็ป เราสามารถเล่าเรื่องได้เต็มที่ สมมุติว่า ผมตัดสินใจที่จะเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าผมเขียนเนื้อแร็ปลงไป ผมสามารถใส่รายละเอียดได้เต็มที่ ทำให้เราเล่าเรื่อง ที่อยากจะสื่อผ่านเพลงได้มากขึ้น


คุณต้องการสื่อสารอะไรผ่านเพลงของคุณ

ผมชอบเขียนเพลงเกี่ยวกับชีวิตจริง เล่าเรื่องราว อะไรสักอย่าง ความรู้สึกที่ผมรู้สึกในเวลานั้น ผมอยากเล่าอยากถ่ายทอดออกไป ให้คนได้รู้มากกว่า

มันเป็นความตั้งใจส่วนตัวของผมเอง ทุกเพลงที่ผมเขียนต้องมีความหมาย เนื้อเพลงของผม ต้องมีเนื้อหาที่จะสื่อออกไป

อย่างเช่น เพลง ขอเสื้อ คือมันเป็นเรื่องที่ นักฟุตบอลทุกคนต้องเจอ พี่ยุทธจักร ก้อนจันทร์ เขาพูดคำคำหนึ่งไว้ “คำพูดมากมาย แต่ความหมายเหมือนเดิม” คือ จบลงด้วยการขอเสื้อ ผมชอบคำนี้มากเลย จำมาตลอด พอเขียนเพลงถึงเรื่องนี้ ผมเอาประโยคนี้มาเป็นท่อนฮุคเลย

ส่วนเนื้อร้องที่ผมถ่ายทอดผ่านเพลง ผมถ่ายทอดด้วยประสบการณ์ของตัวเอง สมัยผมเป็นเด็กเก็บบอล ผมก็เคยไปขอเสื้อนักฟุตบอลเหมือนกัน ผมเอาความรู้สึกของตัวเอง ในตอนนั้น มาใช้ในการเขียนเพลง

หรือเพลงน้าฉ่วย ผมก็เอาเนื้อร้อง มาจากคำที่นักบอลส่วนใหญ่ ชอบแซวน้าฉ่วยกัน อย่างท่อน “น้าครับ นักบอลนะครับ ไม่ใช่นักกรีฑา” นักบอลหลายคน ก็เคยพูดกับน้าฉ่วยจริงๆ

เพราะน้าฉ่วยแกให้ฝึกวิ่งหนักจริงๆ แกชอบบอกว่า วันนี้ซ้อมเบาๆ นะ แต่วิ่ง 10 กิโลเมตร วิ่งรอบสนาม 20 รอบแบบนี้ สมัยผมอยู่กับแก ผมเคยวิ่ง จนเกือบจะร้องไห้ เพราะเหนื่อยมากๆ

ทุกวันนี้ เพลงน้าฉ่วย ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพลงได้ยังไงนะ เหมือนเอาคนมาบ่นให้ฟังมากกว่า (หัวเราะ) แต่นี่แหละเป็นเนื้อหาที่ผมอยากเล่า เนื้อหาในชีวิตจริงที่ผมเคยพบเจอมา อยากเอาเรื่องพวกนี้ มาเล่าต่อออกไป ผ่านเพลงของผม


เรื่องในเพลงของคุณ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับฟุตบอล ทำไมคุณถึงชอบเเต่งเพลง เกี่ยวกับวงการฟุตบอลออกมา

เพราะผมคิดว่า เพลงเกี่ยวกับวงการฟุตบอลไทยยังไม่ค่อยมี ทุกวันนี้ไม่มีใคร มาเล่าเรื่องที่เฉพาะเจาะจง เกี่ยวกับฟุตบอลไทย ผ่านบทเพลงสักเท่าไหร่

ผมอยากเป็นคนที่มาเล่าเรื่อง เกี่ยวกับวงการฟุตบอล เรื่องราวเล็กๆที่เกิดขึ้นของวงการนี้  ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ คือสิ่งที่ผมอยากจะสื่อออกไป

ผมคิดว่าฟุตบอล คือตัวตนของผม ผมก็จะเล่า ตัวตนของผมออกไป ผ่านการทำเพลง ในแบบฉบับของผม


การทำเพลงในแบบฉบับของคุณ เป็นอย่างไร

ผมเป็นคนตลก สนุก เฮฮา ผมจะทำเพลงให้ออกมาสนุกด้วย ถึงแม้เนื้อหาเพลงจะจริงจัง แต่คนฟังก็ต้องรู้สึกตลก หรือสนุกไปกับเพลง

ผมพยายามใส่ความสนุกลงไป ในทุกเพลงของผม จริงๆผมคิดว่า ชีวิตนักฟุตบอล มันมีทั้งช่วงสนุกสนาน และช่วงที่จริงจัง ผมเลยอยากทำเพลง ที่มันสื่อถึงตัวตน ถึงความเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วย เพราะชีวิตเรา มีทั้งความสนุกและความจริงจัง ผสมกันไป


การทำเพลง เป็นเหมือนการสะท้อนตัวตนของคุณ?

ใช่ครับ การทำเพลง คือการแสดงออกตัวตนของผม ผมใส่ตัวตนลงไปในนั้น

จริงๆ ตั้งแต่ตอนทำเพลงแล้วครับ ผมเป็นคนที่เขียนเพลงแล้วต้องใช้อารมณ์ ทำตามอารมณ์ เพลงส่วนใหญ่ผมทำเป็นปี แต่ละเดือน ผมนั่งทำเพลงแค่ 1-2 วันเองครับ เพราะผมเชื่อว่า การทำเพลง ถ้ามันจะมา เดี๋ยวมันมาเอง ถ้าบังคับให้ผมมานั่งคิด แต่งเพลงจริงจัง ผมทำไม่ได้

เวลาผมแต่งเพลงเสร็จสักเพลง ผมร้องเพลงให้ฟังหมดทุกคน (หัวเราะ) คนในสโมสร ได้ฟังเพลงของผมกันหมด

ผมไม่รู้หรอกว่า เพลงที่ผมแต่งออกไป คนจะชอบเพลงของผมไหม แต่ผมคิดว่าตัวตนของผมเป็นแบบนี้ ผมก็อยากทำเพลงแบบนี้ ผมจะทำให้คนมาชอบเพลงของผมให้ได้

ถ้าจะให้ผมไปแต่งเพลง เพื่อให้คนมาชอบเพลงของผม ผมไม่ทำ เพลงของผม ต้องเป็นเพลงที่ผมอยากทำ 


ถ้าคุณติดทีมชาติ คุณคิดจะแต่งเพลงออกมาบ้างไหม 

แต่งแน่นอน เพราะผมตั้งใจว่า ทุกช่วงเวลาในชีวิต ที่เกี่ยวกับฟุตบอล ผมจะแต่งเพลงออกมา อย่างน้อย 1 เพลง แต่ก็ไม่รู้จะได้ทำเมื่อไหร่นะ แล้วแต่อารมณ์ (หัวเราะ) ผมอาจจะเริ่มแต่งวันนี้ แล้วเสร็จอีก 2 ปี หลังจากนี้ก็ได้


นอกจากทำเพลง คุณเปิดเพจบนเฟซบุค “ไม่ฮา ให้ด่า ในใจ” ทำไมคุณถึงเปิดเพจนี้

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าผมทำเพจนี้ไปทำไม ส่วนตัวผม เวลาเห็นอะไรที่มันตลกๆ ก็อยากเอามาแชร์ให้คนอื่นได้รับรู้ คือผมเป็นคนช่างสังเกต ชอบวิเคราะห์ ในมุมมองของเรา 

จริงๆอยากเปิดเพจทำสื่อเปรียบเทียบด้วยนะครับ แต่ไม่กล้าทำ ยังเป็นนักบอลอยู่ (หัวเราะ)


คุณเป็นคนชอบเล่าเรื่อง ผ่านสื่ออย่างมาก คุณอยากเล่าเรื่องผ่านสื่ออื่นบ้างไหม นอกจากผ่านบทเพลง หรือเพจของคุณ

ผ่านภาพยนตร์ครับ จริงๆแล้วผมเป็นชอบเรื่องของภาพยนตร์มาก ชอบดูหนัง ชอบเรื่องเกี่ยวกับโฆษณา ภาพยนตร์ ผมเป็นคนชอบด้านนิเทศศาสตร์มาก ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ความชอบ เกี่ยวกับเรื่องหนัง เรื่องเพลง มันเริ่มมาจากไหน

ผมอยากทำหนังสั้นอยู่ตลอด คิดจะทำตลอด แต่ไม่ไม่งบ ไม่มีเวลา และยังไม่มีคนร่วมอุดมการณ์ด้วย จริงๆผมอยากทำหนัง มากกว่าทำเพลงอีกนะ แต่ผมยังไม่มีความรู้ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี


ถ้ามีโอกาสทำหนังสักเรื่อง คุณจะทำหนังเรื่องอะไร 

ใจจริงผมอยากทำหนัง เกี่ยวกับวงการฟุตบอลมากเลยนะ ผมอยากทำหนังเล่าเรื่องราว เป็นจักรวาลของฟุตบอลไทย เป็นโลกอีกโลกหนึ่งไปเลย เหมือนจักรวาลของอเวนเจอร์

ผมอยากทำหนังเล่าชีวิตของเด็กนักฟุตบอล จากต่างถิ่นต่างแดน เล่นคนละตำแหน่ง ฟันฝ่าชีวิต จนมาอยู่ทีมเดียวกัน แล้วจบด้วยการติดทีมชาติ เพราะผมคิดว่า ประเทศไทยยังขาดภาพยนตร์ เกี่ยวกับด้านกีฬาอยู่พอสมควร

และผมก็อยากทำหนังเกี่ยวกับ ฟุตบอลจตุรมิตรด้วย ผมเป็นเด็กของโรงเรียนอัสสัมชัญ ผมอยากเล่าเรื่องฟุตบอลของอัสสัมชัญออกไป สำหรับผม ฟุตบอลจตุรมิตรมีความหมายมากเลยนะ กับนักเรียนทั้ง 4 โรงเรียน


เคยคิดอยากทำหนัง เกี่ยวกับชีวิตตัวเองบ้างไหม

เคยครับ ถ้าผมทำหนังเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ผมคงตั้งชื่อเรื่องว่า “นักบอลล่าฝัน” ผมเคยแต่งเพลงด้วยนะ ชื่อนี้เลย เพลงนั้นคือชีวิตผมเลย แต่ผมว่ามันยังเล่าไม่ละเอียดพอ ผมอยากเล่าให้นานกว่านี้ 

ผมอยากเล่าเรื่องชีวิต ก่อนมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ก่อนหน้านี้ผมเล่นมาทุกกีฬา เป็นนักมวยก็เป็นมาแล้ว แม่ให้ไปต่อยมวยก็ไป พอรู้สึกว่าไม่ใช่ ก็เลิกเล่น ไปเล่นฟุตบอลแทน 

ไปเข้าโรงเรียนกีฬา ขึ้นมาอยู่กทม. ไม่ได้เล่นบอลเลย เพราะลงเล่นนัดแรก ทำพลาดเสียประตู หลังจากนั้นไม่ได้ลงสนาม แถมมีค่าใช้จ่ายเยอะ ผมท้อมาก อยากกลับบ้าน 

แต่พอคิดว่าจะกลับบ้าน อยู่ดีๆ สโมสรโอสถสภา มาเซ็นสัญญาให้ไปร่วมทีม ได้เงินเดือนเฉยเลย ไปคัดทีมชาติชุดเยาวชน ก็ติดอีก เหมือนชีวิตที่กำลังเจอความยากลำบาก อยู่ดีๆก็มีเรื่องที่ดีเข้ามาในชีวิต 


คุณคิดว่าชีวิตของคุณ เหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ?

ผมไม่ได้มองว่า ชีวิตของผมเหมือนภาพยนตร์ แต่ผมมองว่า ชีวิตนักฟุตบอลทุกคน เหมือนภาพยนตร์

เพราะชีวิตนักฟุตบอลส่วนใหญ่ ผ่านความยากลำบาก เจอความผิดพลาด เจออาการบาดเจ็บ มีขึ้นมีลง นี่คือชีวิตนักฟุตบอล ผมมองว่าชีวิตนักฟุตบอลทุกคน มีทั้งจุดที่ขึ้น และจุดลง เหมือนภาพยนตร์สักเรื่อง

อย่างตัวผมเอง มาอยู่ท่าเรือได้ 3 ปี ก็ไม่เคยได้ลงเลย มาปีนี้ ถึงได้รับโอกาสลงสนาม ผมก็มองว่า มันเป็นหนังชีวิตเรื่องหนึ่งเหมือนกัน 


ถึงจะเปลี่ยนมาทำภาพยนตร์ คุณจะเน้นเล่าเรื่องชีวิตของคน เหมือนกับตอนทำเพลง ?

ใช่ ถ้าให้ผมทำหนัง ผมก็อยากทำหนังชีวิต อย่างเวลาผมดูหนัง หรือสารคดีในเน็ตฟลิกซ์ ผมก็จะเลือกดูหนังประวัติชีวิต ที่สร้างจากเรื่องจริงตลอด 


ทำไมถึงสนใจ ที่จะเล่าเรื่องชีวิต ของมนุษย์อย่างมาก

ผมคิดว่าประสบการณ์ของแต่ละคน มันเอามาประยุกต์ใช้ กับชีวิตเราได้ ผมเชื่อว่า ทุกคนเจอเรื่องที่เลวร้ายมาหมด และทุกคน ต้องพยายามหาทางแก้มันไปให้ได้ 

เพราะเวลาผมเจอเรื่องแย่ๆ ผมไปเห็นชีวิตคนอื่น ผมถึงได้รู้ว่า มีคนเคยเจอเรื่องแบบเรา และเขาผ่านมันไปได้ ผมเห็นประสบการณ์ของคนอื่น แล้วเอามาปรับใช้กับชีวิตของเรา ผมก็อยากถ่ายทอดเรื่องพวกนี้ ไปให้คนอื่นได้รับรู้ ผ่านภาพยนตร์ เป็นเเรงบันดาลใจ ในการแก้ไขปัญหาในชีวิต

ผมคิดว่าแก่นในภาพยนตร์ก็เหมือนกัน แค่แต่งตัวละครขึ้นมา แต่ปมของตัวละคร มาจากสิ่งที่คนเราพบเจอในชีวิตจริง

นอกจากอยากทำเพลง กับทำหนัง คุณอยากทำอย่างอื่นอีกไหม 

เยอะครับ ข่าวผมก็อยากทำ ข่าวเกี่ยวกับวงการฟุตบอลไทยนี่แหละครับ ผมคิดว่ามันมีเรื่องอะไรให้เล่าอีกเยอะ วัดจากเท่าที่ผมรู้นะ (หัวเราะ) แต่ไม่มีคนมาเล่า ผมคิดว่าบางเรื่อง แฟนบอลควรจะได้รู้ เวลาผมอ่านข่าว ก็รู้สึกว่า มันยังไม่ลึกพอ บทความเกี่ยวกับฟุตบอลผมก็อยากทำนะ


บทความแบบไหนที่คุณอยากเล่า

ตอบยากนะ แต่ผมมองว่า ถ้าผมเป็นคนนอก ผมอยากติดตามเรื่องราว ที่มา ที่ไปของนักฟุตบอล เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลได้อย่างไร เจออุปสรรคอะไร  กว่าจะมีวันนี้เขาผ่านอะไรมาบ้าง

ผมอยากเล่าเรื่อง 7 วันก่อนแข่งของนักฟุตบอลด้วย ว่าในแต่ละวัน เขาต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ผมว่าเรื่องพวกนี้มันสำคัญ เพราะตัวจริงกับตัวสำรอง ก็มีวิธีการเตรียมพร้อมตัวเองที่แตกต่างกัน ความรู้สึกของผู้เล่นตัวจริง กับตัวสำรองก็แตกต่างกัน

อีกเรื่องหนึ่ง คือผมอยากเล่าเรื่อง ข่าวของสโมสรการท่าเรือ ออกไปบ้าง ผมว่าท่าเรือ มีแต่นักเตะเก่งๆนะ แต่ไม่เห็นเป็นข่าว แบบผู้เล่นทีมอื่นบ้างเลย อย่าง นิติพงษ์ เสลานนท์ ผมว่าโคตรเก่ง โคตรเทพ เลยนะ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเลย ถ้าผมเป็นสื่อนะ ผมจัดหนักแน่นอน (หัวเราะ)


ทำไมคุณไม่ลองทำข่าว หรือเขียนบทความออกมาบ้าง 

ไม่รู้สิ ผมมองว่ามันสื่อตัวตน ของผมออกมาไม่ได้ เพราะการเขียนข่าว หรือบทความ มันมีภาษาเฉพาะที่ต้องใช้ บางทีผมอยากใช้คำนี้ เขาบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนคำ สำหรับผม ถ้าเปลี่ยนคำ ความหมายมันก็เปลี่ยนแล้วครับ ผมก็ไม่อยากทำแล้ว มันไม่แสดงตัวตนของผมออกมา

ทุกวันนี้ ผมทำเพลงแร็ป เพราะผมมองว่า เพลงแร็ป แสดงตัวตนของผมออกมาได้มากที่สุด ผมอยากพูดอะไร ผมเขียนลงไปเป็นเนื้อแร็ป ผมเล่ามันออกไปได้หมดเลย


ตัวตนของคุณเป็นแบบไหน?

ผมมองว่าตัวเอง เป็นคนที่แตกต่างนะ ผมเป็นคนไม่ชอบเหมือนคนอื่น เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว จริงๆหลายคนก็บอกว่า ผมไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งผมคิดว่า สิ่งที่ผมทำอยู่ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน ซึ่งเวลาผมทำอะไรแบบนี้ ผมก็รู้สึกดี

ผมเชื่อว่าคนทุกคน มีมุมที่แตกต่างในตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่ ไม่กล้าจะแสดงออกมา กลัวว่าตัวเองจะแปลก กลัวโดนสังคมตัดสิน แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ผมอยากแสดงตัวตน ในสิ่งที่ผมชอบ ผมไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง ต่อให้ไม่มีใครชอบ ผมก็ชอบของผมอยู่ดี และสิ่งที่ผมทำ ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร 

ที่คุณใส่เสื้อลายมาดามแป้ง คือการแสดงตัวตนของคุณ อีกแบบหนึ่ง

ใช่ คือผมก็มองว่า ทุกวันนี้เสื้อมันลายเหมือนกันไปหมด ผมอยากได้เสื้อลายที่มันแปลก ไม่เหมือนใคร อย่างตัวนี้ ผมก็ใส่อยู่คนเดียว ไม่เหมือนใคร

ส่วนตัวผมก็เป็นคนชอบอวยด้วย ผมก็ขออวยมาดามแป้ง สักหน่อยแล้วกัน (หัวเราะ)


คุณนิยาม สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ในตอนนี้ว่าอย่างไร

ผมไม่ได้มองว่า ตัวเองเป็นศิลปินจริงจัง ผมมองว่าตัวเอง เป็นนักถ่ายทอดมากกว่า ผมอยากถ่ายทอดเรื่องราวของผม เรื่องราวของวงการฟุตบอลไทย ในแบบฉบับของผม ผมก็ไม่รู้นะ ว่ามีคนฟังเพลงของผม บ้างหรือเปล่า แต่คิดว่ามีแหละ คงมีคนที่สนใจเรื่องพวกนี้ 

ผมมองตัวเองเป็นสื่อหนึ่ง ที่เล่าเรื่องของวงการฟุตบอลออกไป ทุกวันนี้ มีสื่อเกี่ยวกับฟุตบอลไทยเยอะแล้วครับ ทั้งข่าว หนังสือพิมพ์ บทความ เว็บไซต์ แต่ยังไม่มีใคร เล่าเรื่องผ่านเพลงเลย ผมก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่เล่าเรื่องราวของวงการฟุตบอลไทย ผ่านบทเพลง ในสไตล์ของผมแล้วกันครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook