"Rocky" : ตำนานหนังมวยที่เดิมพันด้วยชีวิตของคนเขียนบทผู้ตกอับ

"Rocky" : ตำนานหนังมวยที่เดิมพันด้วยชีวิตของคนเขียนบทผู้ตกอับ

"Rocky" : ตำนานหนังมวยที่เดิมพันด้วยชีวิตของคนเขียนบทผู้ตกอับ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

1 ชั่วโมงแรกของภาพยนตร์เรื่อง Rocky หนังที่ใบปิดแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเกี่ยวกับการชกมวย กลับเป็นช่วงเวลาที่ผู้ชมจะได้เห็นการชกในฉากแรกเท่านั้น ฉากเดียวจริงๆ..

ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงการเป็นนักมวยเลย ไม่แม้แต่การซ้อมหรือฝึกฝนใดๆ ผู้ชมจะไม่ได้เห็นมันเลย แต่แล้วหนังเรื่องนี้กลับถูกยกให้เป็นหนังมวยที่มีวิธีการเล่าเรื่องได้น่าประทับใจและยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล Rocky ถูกการันตีด้วยรางวัล ออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1977 

ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ผู้แสดงบท "ร็อคกี้ บัลบัว" พระเอกของเรื่องถ่ายทอดผ่านการแสดงออกมาได้ในฐานะยอดนักชกที่สู้ยิบตาทั้งบนสังเวียนผ้าใบและสังเวียนชีวิต เขาเล่นได้ถึงกึ๋นจนทั่วโลกคิดว่าตัวของเขานั้นคือ ร็อคกี้ บนโลกแห่งความจริงและจากนั้นเขาก็ดังระเบิดในฐานะดารานักบู๊แถวหน้าของฮอลลีวู้ด

 

ทุกอย่างคือความไม่บังเอิญ.. ว่ากันว่านักแสดงจะสามารถแสดงออกมาได้ดีที่สุดเมื่อเขาสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นและเล่นมันออกมาโดยสัญชาตญาณและธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าที่สตอลโลนเล่นได้ดีขนาดนั้นนั่นก็เพราะว่าเขาเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเอง

และนี่คือเรื่องราวที่น่าประทับใจที่สุดของคนๆหนึ่งที่เดิมพันด้วยงานที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต และกำเนิดออกมาเป็น "Rocky" ที่ถูกการันตีด้วยรางวัล ออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก่อนจะกลายเป็นแฟรนไชส์หนังมวยอันดับ 1 ตลอดกาล ติดตามที่มาที่ไปทั้งหมดพร้อมๆ กับ Main Stand ได้ที่นี่

ต้นเหตุจากคนแพ้ 

ย้อนกลับไปในปี 1975 ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน นั้นไม่ได้เป็นมืออาชีพในด้านงานโปรดัคชั่นเลย และเคยเป็นเพียงนักแสดงสมทบเท่านั้น ดังนั้นมันจึงน่าสนใจมากว่าเขาสามารถเขียนบทหนังที่สมบูรณ์แบบอย่าง Rocky ในอีก 1 ปีให้หลังของการสร้างปรากฎการณ์ของ Jaws ของ สตีเว่น สปิลเบิร์ก..

เรื่องราวคือความบังเอิญอย่างแท้จริงเพราะมีมวยคู่หนึ่งกำลังจะขึ้นชกกัน ฝ่ายหนึ่งคือ มูฮัมหมัด อาลี นักชกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ และอีกคนคือ ชัค เว็ปเนอร์ นักชกที่ชั้นวรรณะห่างกับอาลีคนละโยชน์

 1

ในไฟต์นั้น อาลี ได้รับเงินค่าตัวขึ้นชกถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ขณะที่ เว็ปเนอร์ มีค่าตัวเพียง 100,000 ดอลลาร์ แม้จะน้อยสุดกู่แต่นั่นคือจำนวนเงินที่มากที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำได้ … ดังนั้นการลงไปเป็นบันไดให้ อาลี ไล่ถลุงคงไม่เลวนักเมื่อเทียบกับค่าแรงที่มากโข

"ชีวิตผมเฉียดตายมาก็เยอะ หากผมรอดตายจากการเป็นนาวิกโยธินได้ ผมก็คิดว่าผมน่าจะรอดจากแรงหมัดของ อาลี ได้" เว็ปเนอร์ กล่าวก่อนขึ้นชก 

ผู้ชมทุกคนที่เข้าไปชมไฟต์ดังกล่าวที่ ริชฟิลด์ รัฐ โอไฮโอ ต่างก็พร้อมใจกันมาดูการโชว์ความเหนือชั้นของ อาลี ที่จะบรรเลงเพลงหมัดใส่ เว็ปเนอร์ อย่างบันเทิงเริงใจ ตัวของ สตอลโลน ก็เช่นกัน เขาตั้งใจมาดู อาลี ให้เห็นกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก ส่วน เว็ปเนอร์ นั้นเขามองเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้นเอง 

อาลี ทำเหมือนราชสีห์เล่นกับเหยื่อ เขาชกแบบเปิดการ์ดตามสไตล์ถนัดของตัวเอง ท่าทีที่ทีเล่นทีจริงของ อาลี มากพอที่จะทำให้ เว็ปเนอร์ หน้ายับยู่ยี่ได้บ้าง แต่สิ่งที่เหลือเชื่อในไฟต์นั้นคือ เว็ปเนอร์ ที่เป็นมวยรองไม่กลัวอำนาจหมัดของ อาลี เขาอาจจะเอาหน้ารับหมัดไปหลายชุด แต่เขาก็สวนกลับอาลีได้ไม่น้อย นอกจากนี้เขายังทำให้ อาลี เริ่มโกรธเพราะ เว็ปเนอร์ อึดแบบทนทายาด ล้มลงไปกี่ครั้งก็ลุกขึ้นได้ทุกที หนำซ้ำในยกที่เก้าเขายังทำ อาลี ล้มลงกับพื้นอีกต่างหาก  

"อัล (ชื่อพี่เลี้ยง) โว้ย สตาร์ทรถรอเลยเพื่อน เราจะไปธนาคารกัน เราจะเป็นเศรษฐีแล้วว่ะ" เว็ปเนอร์ สะกิดพี่เลี้ยงของเขาหลังหมดยก 9 ทั้งที่เขาหน้าบวมเป่ง เขาเหมือนคนที่เข้าใกล้ความตายแต่ไม่กลัวความตาย หนำซ้ำยังเห็นมันเป็นความท้าทายและพร้อมกระโจนใส่มัน ... ก่อนที่ อัล จะตอบกลับว่า "ซวยแล้วว่ะเพื่อน แกกำลังทำ อาลี โกรธอยู่นะ" 

 2

หลังจากนั้น อาลี เอาจริงทันที ขณะที่คนดูทั่วไปเฮกับการออกหมัดแบบรัวไม่หยุดของ อาลี สตอลโลน นั้นกลับทึ่งในสิ่งที่ตรงกันข้าม และเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น … เขาเห็น เว็ปเนอร์ สู้สุดชีวิตยิ่งกว่าใครในโลกที่เขาเคยสัมผัส  เว็ปเนอร์ โดนอาลีต่อยจนตาทั้ง 2 ข้างบวมเป่งและจมูกก็หักในเวลาเดียวกัน แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาทำตัวเป็นกระสอบทรายที่พยายามตอบโต้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่มวยรองอย่างเขาจะทำได้ แต่สุดท้ายระดับก็ห่างกันเกินไป ... เว็ปเนอร์ เกือบจะสร้างปาฎิหาริย์ยืนครบ 15 ยกอย่างที่บอกไว้ได้ จนกระทั่ง 19 วินาทีสุดท้าย อาลี ปล่อยหมัดชี้เป็นชี้ตายและเขาก็แพ้แบบ TKO ทันที สตอลโลน ยืนขึ้นและปรบมือ แต่การปรบมือของเขามอบให้กับผู้แพ้ผู้ยิ่งใหญ่ เขาเห็นความงดงามของคนๆ หนึ่งที่โดนปรามาสและมองเป็นตัวตลก และแน่นอนที่สุดเขาเห็นตัวละคร ร็อคกี้ บัลบัว ในตัวของ เว็ปเนอร์ เข้าอย่างจัง

"คืนนั้นผมไปดูไฟต์ระหว่าง อาลี กับ เว็ปเนอร์ ผมเห็นชายคนหนึ่งที่พิเศษยิ่งกว่าใครเขาคือเจ้าของฉายา The Bayonne Bleeder เขาคือนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเห็น ในช่วงเวลาแค่สั้นๆ เขาสะกดใจผมได้ด้วยความงดงาม เขายื้อเวลาบนเวทีต่อหน้าหมัดของ อาลี ผมคิดว่าสิ่งที่เขาทำก็เหมือนกับชีวิตของคนเรานี่แหละ" สตอลโลน กล่าวกับ นิตยสารฟอร์บส

 3

เขาดวงตาเห็นธรรมทันที เขาเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยตาของตัวเองจากนั้น สตอลโลน รีบกลับบ้านและไปเขียนบทหนังขึ้นมาใหม่ 1 เรื่อง และเรื่องนั้นชื่อว่า Rocky ขณะที่ภาพของ เว็ปเนอร์ ยังติดตาฝังสมองมันทำให้ไอเดียของเขากระฉูดอย่างหยุดไม่อยู่ สตอลโลน นั่งเขียนบทเรื่อง Rocky รวดเดียว 90 หน้าใช้เวลา 20 ชั่วโมงรวด ก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์ในท้ายที่สุด

ทำไมต้อง เว็ปเนอร์?

เหตุผลที่ สตอลโลน อินกับสิ่งที่ เว็ปเนอร์ ทำจนถึงขั้นต้องเอามาเขียนเป็นบทภาพยนตร์นั้นมีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น นั่นคือเมื่อเขาเห็น เว็ปเนอร์ ชกกับ อาลี เขาเหมือนกับเห็นละครชีวิตของตัวเอง

ไล่ตั้งแต่เกิดมาเขาเป็นชายอเมริกันเชื้อสายอิตาเลี่ยนที่มีชีวิตยากลำบากตั้งแต่เด็กเพราะพ่อและแม่ของเขามีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์จนแยกทางกัน จึงทำให้ต้องไปอาศัยอยู่กับพ่อที่ แมร์รี่แลนด์ และกลายเป็นเด็กมีปัญหาทั้งด้านอารมณ์และการเรียน จนกระทั่งพ่อของเขาหมดความอดทนและส่งกลับไปให้แม่เป็นผู้เลี้ยงดู

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ สตอลโลน ไม่ได้แค่ย้ายไปอยู่กับแม่เท่านั้นเพราะจริงๆ แล้วแม่ของเขามีครอบครัวใหม่จึงทำให้เจ้าตัวได้รับความสนใจน้อยกว่าใครในบ้าน และนำมาซึ่งการถูกส่งเข้าโรงเรียนสำหรับเยาวชนที่มีปัญหา แต่อย่างน้อยๆ เขายังมีฝัน และยังอยากจะอยู่เพื่อตัวเอง สตอลโลน จึงเรียนจนจบมัธยมและไปต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนเกี่ยวกับการแสดงโดยตรง แต่ก็ด้วยเหตุผลอะไรไม่มีใครทราบเขาออกจากมหาวิทยาลัยไมอามี่ ก่อนที่จะเรียนจบ และตัดสินใจเข้าไปตายเอาดาบหน้าล่าฝันในอาชีพนักแสดงในมหานครที่ไม่เคยหลับไหล ... นิวยอร์ค 

 4

ช่วงเวลาที่ยากที่สุดคือช่วงเวลาที่ก่อนจะมีชื่อเสียง สตอลโลน นั้นมีภาระเพิ่มมาอีก 1 อย่างหลังจากย้ายมาในนิวยอร์ค เขามีภรรยาและภรรยาของเขาก็กำลังตั้งครรภ์ ซึ่ง ณ เวลานั้น สตอลโลน ไม่สามารถหารายได้หลักจากการแสดงได้เลยเพราะมีแต่บทนักแสดงสมทบทั้งนั้นที่ได้รับมอบหมาย 5 ปีในนิวยอร์ค เขามีผลงานเด่นๆแค่ 3 เรื่องนั่นคือ The Party at Kitty and Stud's (1970), Woody Allen’s Bananas (1971) และ Klute (1971) นั่นจึงทำให้เขาต้องไปทำงานเป็นคนล้างกรงสัตว์ที่สวนสัตว์เซ็นทรัล พาร์ค ควบคู่ไปด้วย 

ในปี 1974 เขาเข้าไปแคสนักแสดงผ่าน และได้รับบทเป็นนักแสดงนำในเรื่อง The Lords of Flatbush แม้จะมีชื่อเสียงบ้างเล็กน้อยแต่ความจนยังไม่หายไปไหน ...

ความลำบากบางครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวกับโชคลางหรือความซวยอย่างที่ใครอ้าง สตอลโลน เองมีชีวิตที่ไม่ได้ดีนักเพราะเขาเองก็ติดเหล้าและเสเพลสารพัด ชีวิตคู่ของเขาต้องพังทลาย เพราะตัวเขาเองล้วนๆ สตอลโลน เคยเล่าว่าเขาเคยทำเลวกับอดีตภรรยาของเขาเป็นอย่างมากด้วยการขโมยเครื่องประดับของเธอมาขายเพื่อเอามาสนองความสุขของตัวเองเพียงอย่างเดียว รู้ตัวอีกทีชีวิตของเขาก็ไม่เหลืออะไรสักอย่างนอกจากสุนัขตัวเดียว

1 คนกับ 1 ตัว ที่เป็นเพื่อนแท้ไปไหนไปกัน ไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่งต้องใช้ชีวิตอย่างคนเร่ร่อนขนาดนอนที่ป้ายรถเมล์ก็เคยมาแล้ว หมาเป็นเพื่อนคนเดียวของเขา แต่ชีวิตของเขาก็เหลวแหลกพอที่จะขายหมาตัวนั้นไปในราคาแค่ 25 เหรียญด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่มีเงินซื้ออาหารให้มันกินพร้อมๆ กับเพื่อนำเงินมาให้ตัวเองใช้กินอยู่ไปวันๆ ... 

 5

ในวันที่เสนอบทเรื่อง Rocky ให้กับค่ายๆ หนึ่ง เขาได้รับข้อเสนอก้อนโตที่สุดในชีวิต ค่ายนั้นจะซื้อเรื่องของเขาด้วยเงินถึง 125,000 เหรียญในครั้งแรก จากนั้นก็เพิ่มเป็น 250,000 เหรียญในครั้งที่สอง และครั้งสุดท้ายอยู่ที่ 360,000 เหรียญ เหตุที่ต้องยื่นข้อเสนอหลายรอบเพราะมีเงื่อนไขเดียวเท่านั้นที่ สตอลโลน รับไม่ได้ นั่นคือเมื่อขายบทมาแล้ว สตอลโลน จะต้องไม่มาเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้อีกเลย เขาทำไม่ได้เพราะเขารู้ตั้งแต่ตอนเขียนแล้วว่าบท ร็อคกี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเขาต้องเล่นเองเท่านั้น   

เขาปฎิเสธเงิน 360,000 เหรียญ ทั้งๆที่ในขณะที่ตัวเองมีเงินติดบัญชีแค่ 106 เหรียญ แถมยังเพิ่งขายหมาตัวเองแลกข้าวเมื่อไม่นานมานี้ อะไรที่ทำให้เขากล้าปัดเงินนั้นทิ้ง ... ค่ายหนังอยากจะได้บทเรื่องนี้มากแต่ป่วยการที่จะเถียงกับคนอย่าง สตอลโลน สุดท้ายพวกเขายื่นข้อเสนอใหม่ จาก 360,000 เหรียญ เหลือแค่ 35,000 เหรียญเท่านั้น มันคือเงินที่น้อยกว่าเดิม 10 เท่า แต่มันทำให้ สตอลโลน สามารถเล่นบทพระเอกของเรื่องได้ 

"คุณรู้ไหมทำไม?" สตอลโลน กล่าวถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต "ถ้าทำแบบนั้นความจนจะหายไปแต่มันก็แค่นั้นเอง คุณไม่อยากจะใช้ชีวิตของตัวเองอีกแล้วเหรอ? ผมนึกถึงตัวเองเพราะผมไม่เคยใช้ชีวิตที่ดีเลยตั้งแต่เกิดมา ผมขำกับการกระทำของตัวเองเหมือนกันที่กล้าปฎิเสธมัน แต่ตอนนั้นผมเลือกที่จะทอยลูกเต๋าแห่งโชคชะตา ผมอาจจะทำผิดจนเจ๊งไปหมดเลยก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าผมต้องทำมันให้ได้ ผมอาจจะพาคนรอบข้างเจ๊งไปด้วยแต่ผมแค่เชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น"

 6

จริงๆ แล้ว สตอลโลน เล่าไม่หมด เพราะก่อนจะเริ่มทอยเต๋า เขานำเงินที่ขายบทได้ไปซื้อหมาของเขาจากชายแปลกหน้าคืน ครั้งแรกเจ้าของใหม่ไม่ยอมขาย และนั่นทำให้ สตอลโลน ต้องจ่ายเงินถึง 15,000 เหรีญ ให้กับหมาที่เขาเคยขายไปแค่ 25 เหรียญเท่านั้น เพื่อกลับมาเป็นเพื่อนของเขาอีกครั้ง และการสู้ชีวิตก็ดำเนินขึ้นอีกครั้ง  

หนังฟอร์มเล็กและพระเอกตกอับ

บทที่ สตอลโลน ลงมือเขียนไว้คือ ร็อคกี้ นักมวยตกอับที่ต่อยในเวทีเล็กๆ ในเมือง ฟิลาเดลเฟีย ค่าเหนื่อยน้อยนิดระดับที่แค่เอาเงินไปซื้อข้าวกินสักมื้อก็หมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้น ร็อคกี้ จึงต้องทำอาชีพเป็นพวกรับจ้างทวงหนี้ให้กับเจ้าพ่อเงินกู้ชาวอิตาเลียน บทช่วงนี้สะท้อนชีวิตของ สตอลโลน เองในสมัยที่เข้ามานิวยอร์คใหม่ๆ และทำงานเป็นคนขัดกรงสัตว์พร้อมกับเป็นตัวประกอบหนังในกองถ่าย  

จากนั้นเกิดจุดเปลี่ยนเข้ากับ ร็อคกี้ เมื่อ อพอลโล ครีด แชมป์โลกเกิดจำเป็นต้องเปลี่ยนคู่ชกกระทันหัน ด้วยเวลาที่มีน้อยนิดเขาต้องเลือกใครสักคนขึ้นมาชกด้วยเพื่อสังเวยให้คนดูในวันที่  1 มกราคม 1976 ให้ได้เพื่อแก้ขัดไปก่อน จากนั้น ครีด จึงเลือกชื่อ "ร็อคกี้ บัลบัว" แบบหลับตาจิ้ม เพราะอย่างไรเสียมันก็ต้องลงท้ายด้วยชัยชนะอยู่แล้วต่อให้เขาจะเลือกชื่อไหนก็ตาม แต่นั่นคือจังหวะที่บุญหล่นทับ ร็อคกี้ ที่กำลังจะสร้างความประทับใจในส่วนต่อๆ ไปของหนัง

สตอลโลน ได้งบทางโปรดักชั่นมาเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นงบประมาณที่ต่ำมาก แม้กระทั่งในยุค '70 ทำให้ไม่ต้องพูดถึงเหล่าดาราในเรื่องนี้ทีแทบจะไม่เคยมีผลงานดังๆมาก่อน  แต่การรวมตัวของเหล่าโนเนมทำให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่และหวังอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา 

 7

คาร์ล วีทเธอร์ ผู้แสดงเป็น อพอลโล ครีด คือหนึ่งในเหตุผลที่เรื่องนี้กลายเป็นหนังมวยในประวัติศาสตร์ เขาไม่ใช่นักมวยอาชีพแต่เขากลับแสดงได้เหมือนกับนักมวยจริงๆ ไม่ผิดเพี้ยน วีทเธอร์ ทำเวิร์กช็อปด้วยการเร่งความฟิตของตัวเอง, ฝึกความว่องไวและท่าทางของนักมวย จนทำให้ในส่วนของฉากการชกระหว่าง ครีด และ ร็อคกี้ สมจริงสมจังมากขึ้น นอกจากนี้เขายังถอดความเป็นอาลีมาใส่เป็นหัวโขนได้อย่างไร้ที่ติ เพราะทุกฉากที่เขาออกมานั้นตัวละคร ครีด จะแสดงให้รู้สึกถึงความผยองพองขน, ฝีปากกล้า, ความฉลาด และ ความเป็นคนติดประมาท ทุกอย่างเหมือนที่ อาลี ทำในไฟต์กับ เว็ปเนอร์ ไม่มีผิด 

ขณะที่ สตอลโลน นั้นไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว บทนี้ถูกกลั่นมาจากสัญชาตญาณของเขาเอง เขาแค่เอาตัวเองไปใส่ที่บท ร็อคกี้ ที่มีปูมหลังเหมือนกับ ชัค เว็ปเนอร์ โดยบทเด่นคือการแสดงให้เห็นถึงนักมวยส้มหล่นที่ทำเต็มที่กับโอกาสที่ได้มา ร็อคกี้ คือตัวแทนแห่งความยากจน, มวยรองบ่อน, ศูนย์รวมแห่งความชีวิตบัดซบทั้งหมด เรียกได้ว่าทั้ง วีทเธอร์ และ สตอลโลน ต่างก็ทำหน้าที่ในส่วนตัวเองได้ดีเกินที่ใครจะคาดไว้ 

 8

ส่วนที่น่าประทับใจที่สุดในเรื่องนี้คือการที่ ร็อคกี้ เปลี่ยนชีวิตตัวเองตั้งแต่การฝึกซ้อม อะไรที่มันส่งผลดีกับร่างกายและฝีมือเขาตั้งใจทำมันอย่างที่สุด เพื่อเปลี่ยนโอกาสอันน้อยนิดจาก 0% ให้เป็น 0.01% ในการเอาชนะก็ยังดี ... แม้จะถูกเชิญให้ขึ้นชกในฐานะบันได แต่บันไดที่ชื่อว่า ร็อคกี้ ขั้นนี้จะเป็นบันไดที่เต็มไปด้วยเสี้ยนหนามที่จะทำให้แม้แต่แชมป์โลกก็ยังต้องแขยง ... ส่วนชัยชนะจะจบลงเหมือนกับที่ อาลี น็อคเอาต์ เว็ปเนอร์ หรือ จบลงแบบพระเอกชนะตอนจบนั้น ใครที่ยังไม่ได้ดูคงต้องไปติดตามกันเอง รับรองได้ว่า Rocky คือภาพยนตร์ที่คู่ควรกับคำว่า "Old But Gold" (เก่าแต่ทรงคุณค่า) อย่างแน่นอน 

ทำไม Rocky จึงยิ่งใหญ่?

จากทุนสร้าง 1 ล้านเหรียญ เมื่อถูกใส่จิตวิญญาณของเหล่านักแสดงเข้าไป มันจึงแปรเปลี่ยนเป็นหนังทำเงินที่ทำเงิน 225 ล้านเหรียญในปี 1976 เท่านั้นยังไม่พอ Rocky ยังเข้าชิง ออสการ์ ถึง 10 รางวัล ก่อนจะคว้ารางวัลมาได้ 3 สาขาได้แก่ Best Picture (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), Best Director (ผู้กำกับยอดเยี่ยม) และ Best Film Editing (ลำดับภาพยอดเยี่ยม)

 9

ทั้งหมดที่ว่ามาในข้างต้นนั้นเป็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ไม่มีหนังเรื่องไหนจะประสบความสำเร็จในแง่รายได้และรางวัลมากกว่า Rocky อีกแล้วในปีนั้น นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิต ซิลแวสเตอร์ สตอลโลน ให้กลายเป็นดาราแถวหน้าและมีค่าตัวสูงที่สุดในฮอลลีวู้ด (ในยุคนั้น) 

สิ่งสำคัญของที่ให้ Rocky เป็นหนังมวยประวัติศาสตร์คือ สิ่งที่ สตอลโลน แฝงเอาไว้ ... ไม่ใช่แค่ในหนัง แต่เรียกได้ว่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่องเลยนั่นคือการเขียนบทของเขา มันได้สร้างแรงจูงใจระดับมหาศาลที่ขับเคลื่อนเหล่าคนท้อแท้ได้เป็นอย่างดี 

ทุกสิ่งในเรื่องนี้บอกเล่าถึงคือการอย่ายอมแพ้กับความฝันของคุณเพียงเพราะว่าสิ่งนั้นยากและคุณกลัวว่ามันจะเลวร้ายจนไม่กล้าลงมือทำ ท้ายที่สุดคุณจะกลายเป็นคนที่ไม่สนความก้าวหน้าของชีวิต ดังนั้นจงเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ สตอลโลน อาจจะได้เงิน 360,000 เหรียญหากเขาขายบทแต่เขาไม่ทำ เขาเลือกจะพิสูจน์ตัวเองและท้ายที่สุดเขากลายเป็นดาราระดับโลกจากการเสี่ยงและเชื่อมั่นความสามารถในตัวเองครั้งนั้น  และท้ายที่สุด "อย่ารีบคว้าผลประโยชน์ระยะสั้นหากสิ่งนั้นนำมาซึ่งการสูญเสียการใช้ชีวิตของคุณในระยะยาว"

ในสนามชีวิตนั้นมันไม่ได้วัดกันว่าคุณต่อยหนักแค่ไหน แต่มันอยู่ที่คุณรับหมัดหนักได้แค่ไหน แล้วยังลุยต่อไปข้างหน้าต่างหาก ... ภาพยนตร์ที่ดีต้องให้อะไรกับคนดูได้คิดต่อเมื่อเอนด์เดรดิตขึ้น และเราคิดว่า Rocky คือหนึ่งในหนังที่คู่ควรกับคำนิยามนี้มากที่สุด 

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "Rocky" : ตำนานหนังมวยที่เดิมพันด้วยชีวิตของคนเขียนบทผู้ตกอับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook